ถังชิงอวี่บุตรสาวของไท่พูซื่อชิงถังลี่
ใช่แล้ว ไท่พูซื่อชิงเป็ขุนนางใหญ่ขั้นสาม หากนางจะมาปรากฏอยู่ที่นี่ก็ไม่ได้น่าแปลกใจ
คิดถึงบทสนทนาในวัดของพวกนางนายบ่าวขึ้น เจินจูจึงพิจารณานางอย่างละเอียดหนึ่งรอบ
วันนี้ถังชิงอวี่มวยผมวงระย้าห้อย [1] ปักเพียงปิ่นไม้ยู่หลันเคลือบเงามัน บนติ่งหูใส่ต่างหูดอกมะลิดอกเล็ก บนกายสวมชุดกระโปรงผ้าต่วนสีผลซิ่งอมแดงค่อนข้างใหม่ คนทั้งกายมองแล้วดูงดงามนุ่มนวล
แต่คิ้วของนางสีอ่อนจาง ท่าทางน่าสงสารอย่างไซซีกุมใจ [2] ใบหน้างดงามทั้งดวงมีความทุกข์ขมขื่นขึ้นมาโดยปริยาย
บนโต๊ะของนาง มีหญิงสาวสองคนที่อายุใกล้เคียงกันนั่งอยู่ด้านข้าง โครงหน้าและการแต่งกายรวมทั้งเครื่องประดับคล้ายคลึงกันอย่างมาก คิดๆ ไปแล้วคงเป็พี่สาวน้องสาวที่นางเคยกล่าวเสียดสีและปั้นแต่งเื่ของนางกระมัง
เจินจูชำเลืองมองอยู่สองที จึงละสายตาออกมาอย่างหมดความสนใจ
ยามซวีเป็เวลาที่เมืองหลวงจะเริ่มปิดประตูเมือง ด้วยเหตุนี้ภายในงานจึงจุดดอกไม้ไฟอยู่พักหนึ่งก็เป็อันจบสิ้นงานเลี้ยงลง
โหยวอวี่เวยเป็แขกชุดแรกที่เอ่ยอำลา เจินจูติดตามอยู่ด้านหลังนาง แต่ในใจกลับเป็กังวลเล็กน้อย เื่ขององค์ไท่จื่อน่าจะถูกพบเข้าแล้วกระมัง อย่างไรเสียงานเลี้ยงก็เลิกแล้ว สาวใช้ของโหยวเสวี่ยชิงน่าจะกังวลใจแน่ที่ยังไม่เห็นนายสาวกลับมา
พวกนางออกมาจากประตูคฤหาสน์ นอกประตูใหญ่จุดตะเกียงเล็กไว้มากมายแน่นขนัด ทำให้ส่องสว่างบริเวณใกล้เคียงจนสว่างไสว
รถม้าของจวนท่านโหวเหวินชางมารออยู่หน้าประตูใหญ่อยู่แล้ว
“น้องสาวเจินจู รถม้าของเ้าอยู่ที่ไหน?” โหยวอวี่เวยกวาดสายตาไปที่รถม้าด้านหน้า ไม่พบรถม้าของนางก็อดขมวดคิ้วขึ้นไม่ได้
“พี่สาวสกุลโหยว ท่านขึ้นรถม้าไปก่อนได้เลย พวกเขาหยุดอยู่ข้างริมฝั่งทางนั้น ข้าจะไปหาเอง” เจินจูตอบเสียงเบา
รถม้าที่หยุดอยู่ข้างหน้าล้วนเป็ของครอบครัวระดับสูงที่สุด คนขับรถม้าก็มีความฉลาดเฉลียวมองสิ่งต่างๆ ส่วนของครอบครัวที่มีระดับล่างลงไปก็จะยิ่งลดหลั่นกันไปอยู่ด้านหลัง
“เช่นนั้นไม่ได้ รถม้ามากมายเพียงนี้ เ้าหาคนเดียวอันตรายเกินไป”
นางชี้ผู้คุ้มกันที่ขี่ม้าอยู่สองคน ให้พวกเขาคุ้มครองเจินจูไปตามหารถม้า
เจินจูไม่้าหยุดอยู่ตรงนี้นาน จึงรีบขอบคุณนางและนำทางผู้คุ้มกันสองคนสาวเท้าไปยังพื้นที่รถม้าด้านหลัง
โหยวอวี่เวยขึ้นรถม้า และสั่งให้คนบังคับเกวียนเร่งเกวียนไปรออยู่ปากทางแยก
หลังจากนั้นสตรีครอบครัวขุนนางที่อำลากลับ ต่างก็ทยอยกันขึ้นรถม้าของตนเอง เรียงกันออกจากคฤหาสน์ไป
จังหวะเท้าของเจินจูฉับไวเป็อย่างมาก ความสามารถในการได้ยินของนางดีเยี่ยมยิ่งนัก ตรงบริเวณที่ค่อนไปทางเหนือแว่วเสียงกรีดร้องเล็กแหลมวุ่นวายขึ้นบางเบา
คาดว่าผ่านไปอีกสักพัก หากอยากจะออกจากคฤหาสน์ก็คงยากแล้ว
สายตาของนางแวววาว มองกวาดไปรอบๆ ตลอดเส้นทาง ตรงริมสุดของพื้นที่ด้านหลังก็เห็นเข้ากับหลิวอี้
เจินจูรีบวิ่งเข้าไป และปีนขึ้นขอบเกวียนอย่างรวดเร็ว
“คนขับรถหลิว รีบไปเร็ว คุณหนูโหยวรออยู่ด้านหน้า”
“ขอรับ ท่านรีบเข้าไปนั่งให้เรียบร้อยก่อน”
หลิวอี้บังคับเกวียนให้หมุนไปยังทิศทางที่จะไปได้ พร้อมสะบัดแส้ม้าหนึ่งที รถม้าเริ่มขึ้นไปบนเส้นทางอย่างมั่นคง
ผู้คุ้มกันที่ขี่ม้าสองคนตามติดอยู่ด้านหลัง
“ท่านพี่ เป็อย่างไรบ้าง?”
เสียงของผิงอันดังขึ้นอยู่ภายในเกวียนที่มืดสนิท เขาเชื่อฟังคำพูดของผู้เป็พี่สาวอยู่ตลอด ได้แต่รออยู่ภายในเกวียนไม่ได้ออกเดินเล่นไปทั่ว
“ชู่” เจินจูเลิกม่านรถเปิดขึ้น และมองไปทางด้านเหนือของคฤหาสน์
ที่นั่นมีแสงไฟสว่างโร่ เสียงดังจอแจวุ่นวายอย่างมาก
ส่วนประตูใหญ่ของคฤหาสน์ องครักษ์หนึ่งหน่วยปรากฏออกมากะทันหัน ล้อมสตรีที่เตรียมขึ้นรถม้าและกำลังจะออกไปทั้งหมด ที่แห่งนั้นอลหม่านขึ้นทันที เสียงร้องหวีดของสตรีดังต่อเนื่องกันเป็ระลอก
ซื่อจื่อเฉิงเอินโหวสวมชุดผ้าไหมคลุมยาวลายเมฆสีน้ำเงินเดินออกมาจากในประตูใหญ่สีหน้าเขียวคล้ำ เขาะโเสียงแหบพร่า “ฮูหยินและคุณหนูทุกท่านโปรดอยู่ในความสงบด้วย ต้องขออภัยเป็อย่างมากที่รบกวนการเดินทางของพวกท่าน ภายในคฤหาสน์มีแขกคนสำคัญถูกลอบสังหารเสียชีวิต ปัญหาใหญ่โตเกี่ยวเนื่องกับบุคคลสำคัญ เื่ราวต้องกราบทูลฮ่องเต้ และรอตัดสินพระราชหฤทัยจากฮ่องเต้ ขอให้ฮูหยินและคุณหนูทุกท่านให้ความร่วมมือด้วย…”
เมื่อคำพูดของเขาเอ่ยจบก็มีคนซักถามขึ้น “ซื่อจื่อ ความหมายของท่านคือให้พวกข้ารอและพักค้างอยู่ที่นี่เช่นนั้นหรือ?”
“เช่นนั้นจะได้อย่างไร พวกข้ามาร่วมงานเลี้ยงวันเกิดเท่านั้น เหตุใดจวนเฉิงเอินโหวของท่านจึงใช้กำลังบังคับคนให้อยู่ที่นี่ด้วย?”
“ใช่ๆ พวกท่านไม่ไปจับนักฆ่าล่ะ รั้งพวกข้าให้อยู่นี่ทำไมกัน?”
“พวกข้าล้วนเป็สตรีในครอบครัวขุนนางกันทั้งนั้น ซื่อจื่อ ท่านมาจัดการผิดที่หรือไม่?”
“…เป็ผู้ใดถูกลอบสังหารกันนี่?”
รถม้าเดินทางออกห่างมาเรื่อยๆ เสียงก็เริ่มไกลออกไปเช่นกัน
เจินจูผ่อนลมหายใจค่อยๆ ปล่อยม่านรถลง หันกลับมาเห็นดวงตาสามคู่กระทบแสงสว่างระยิบระยับต่างกันอยู่ในความมืดมิด คู่หนึ่งดำประกายมีชีวิตชีวา คู่หนึ่งสะท้อนส่องสว่างเขียวลุ่มลึก คู่หนึ่งกลมลื่นดังเม็ดถั่ว
เ้าตัวเล็กทั้งสามของนางล้วนอยู่กันครบ เจินจูยิ้มปลื้มใจยิ่งนัก
“ท่านพี่ ไม่เป็อะไรใช่ไหม?”
“ไม่เป็ไร พวกเรากลับไปแล้วค่อยว่ากัน”
รถม้าของโหยวอวี่เวยหยุดรออยู่ตรงปากทางแยก ผู้คุ้มกันสองคนที่ได้รับคำสั่งให้คุ้มครองเจินจูได้เห็นความเคลื่อนไหวหน้าประตูคฤหาสน์ด้วยเช่นกัน
พวกเขาตบม้าเข้าไปใกล้รถม้าผู้เป็นายและรายงานขึ้น
“คุณหนู ภายในคฤหาสน์มีนักฆ่า ซื่อจื่อเฉิงเอินโหวระดมกำลังองครักษ์มาชุดใหญ่ดักอยู่หน้าประตู สตรีมากมายขึ้นรถม้าไม่ทันจึงถูกล้อมเอาไว้ เพื่อความปลอดภัยพวกเราควรออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุดจะดีกว่าขอรับ”
หัวหน้าผู้คุ้มกันหันกลับไปมองทางเข้าคฤหาสน์ วุ่นวายไปหมดจริงๆ
เขาทำการตัดสินใจอย่างเด็ดขาดทันที ให้คนเร่งเกวียนควบออกห่างไปจากที่นี่เดี๋ยวนั้น
แม้โหยวอวี่เวยจะใ แต่เมื่อทราบว่ารถม้าของเจินจูตามมาอยู่ด้านหลัง จึงไม่กล่าวอะไรมาก
รถม้าสองเกวียนล้วนเร่งอย่างรวดเร็ว ไม่นานก็ล้ำหน้ารถม้าที่เดินทางออกมาก่อนหน้านี้แล้ว
กระทั่งเข้าสู่ประตูเมืองทางตะวันตก ในที่สุดความเร็วของรถม้าถึงได้ค่อยๆ ช้าลง
ต่อให้ซื่อจื่อเฉิงเอินโหวจะกล้าหาญมากเพียงใด เขาก็ไม่กล้าเข้ามาสกัดสตรีจากจวนขุนนางภายในกำแพงเมืองหลวงอย่างเปิดเผยได้
เจินจูมองสภาพการณ์โดยรอบจากม่านรถม้า โคมไฟตามถนนแขวนไว้สูง ส่องสว่างอย่างสลัวๆ มองเห็นได้ไม่ค่อยชัด บนถนนยังมีกลุ่มคนที่หาของกินในตอนกลางคืนไม่น้อย เมื่อเข้าสู่ถนนหลักภายในประตูเมืองตะวันตก จวนท่านโหวเหวินชางก็อยู่ภายในพื้นที่ฝั่งตะวันตกของกำแพงเมืองแห่งนี้
แจ้งหลิวอี้ให้หยุดรถม้า
นางลงมาด้านล่างและวิ่งไปข้างรถม้าของโหยวอวี่เวยเพื่อบอกลากับนาง
โหยวอวี่เวยลังเลใจ นางอยากให้ผู้คุ้มกันไปส่งเจินจูถึงโรงเตี๊ยม แต่เจินจูกลับไม่ยอม ถนนเหล่านี้อยู่ภายใต้การดูแลของเมืองหลวงมีทหารทางการลาดตระเวน ความสงบเรียบร้อยตลอดมาไม่ได้บกพร่อง
โหยวอวี่เวยจึงพยักหน้ายอมให้ สองคนนัดแนะว่าค่อยมารวมตัวกันในวันพรุ่งนี้ แล้วจึงแยกกันออกเดินทาง
เมื่อกลับมาถึงโรงเตี๊ยม เจินจูหยิบผ้าคลุมหน้าสตรีออกมาปิดบังครึ่งใบหน้า สีผิวของนางเปลี่ยนไปมาก เพื่อป้องกันเหตุการณ์ยุ่งยากเพิ่มมากขึ้น ดังนั้นควรอำพรางไว้หน่อยจะดีกว่า
เจินจูอุ้มเสี่ยวเฮย ผิงอันนำเสี่ยวฮุยใส่เข้าในส่วนบนของเสื้อคลุม สองคนกลับมาถึงห้องพัก
“เฮ้อ ข้าเหนื่อยจะตายอยู่แล้ว”
นางเอนศีรษะหงายหลังลงบนที่นอนอันอบอุ่นอ่อนนุ่ม ความกังวลตื่นเต้นและอารมณ์กระวนกระวายเ่าั้ผ่อนคลายลง
“ท่านพี่ เื่เป็อย่างไรบ้าง?”
ผิงอันเดินเข้ามาใกล้ ก่อนออกเดินทางไปคฤหาสน์แม้ผู้เป็พี่สาวของเขาจะไม่ได้บอกกล่าวจุดประสงค์ของการเดินทางแก่เขา แต่คนเฉลียวฉลาดเช่นเขาจะเดาไม่ออกได้อย่างไร
เจินจูชำเลืองมองเขาปราดหนึ่ง ยิ้มกริ่มพร้อมทั้งทำท่าชูสองนิ้วแห่งชัยชนะไปทางเขา
“สำเร็จแล้ว? จัดการอย่างไรกัน?” ดวงตาของเขาเป็ประกายวิบวับ องค์ไท่จื่อผายลมสุนัขอะไรนั่นจบสิ้นแล้วหรือ? ท่านพี่ของเขานี่ร้ายกาจเกินไปแล้ว
“อื้ม ก็แค่เห็นว่าองค์ไท่จื่ออยู่ในคฤหาสน์พอดี เพราะอย่างนั้นก็เลยให้เสี่ยวฮุยโปรยผงใส่เขา เอ่อ... ปริมาณมากนิดหน่อย เ้าน่าจะรู้ผลของมัน” ผิงอันยังเด็ก เจินจูไม่อยากปลูกฝังด้านไม่ดีให้เขามากเกินไป
ผิงอันพยักหน้า เขารู้ดีเลยล่ะ ผงชนิดนั้นที่ครั้งก่อนพี่สาวของเขาโปรยออกมา ความร้ายแรงของพิษรุนแรงมาก นักฆ่าที่วรยุทธ์ไม่ธรรมดาล้วนติดกับทั้งหมด
องค์ไท่จื่อผายลมสุนัขอะไรนั่น เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าฮ่องเต้เป็บิดาของเขา ใช้เสี่ยวเฮยของเขาให้ช่วยตามหาโสมคนมารักษาอาการป่วยจนหายได้ ไม่เพียงไม่ซาบซึ้ง แต่ยังส่งหน่วยกล้าตายมาลอบฆ่าทั้งครอบครัวเขาด้วย เพ้ย มโนธรรมย่ำแย่ยิ่งนัก ครั้งนี้ก่อกรรมอย่างไรก็รับกรรมอย่างนั้นไปเสียเถอะ เหอะๆ คิดว่าชาวบ้านธรรมดารังแกง่ายก็ให้เขาได้รู้จักจุดจบของการมาล่วงเกินครอบครัวเขาเสีย
“ผิงอัน พวกเราไม่ได้ทำอะไรทั้งสิ้น เข้าใจหรือไม่? พวกเราเพียงมาเมืองหลวงเยี่ยมเยียนสหาย แล้วก็ถือโอกาสมาเปิดหูเปิดตาให้มากเสียหน่อย รอวันข้างหน้าหากเ้าจะสอบเข้าจวี่เหริน ตอนเดินทางเข้าเมืองหลวงมาสอบจะได้ไม่รู้สึกผู้คนแปลกตาที่ทางไม่คุ้นเคย”
เจินจูนั่งขัดสมาธิบนเตียงอิฐ กล่าวกับผิงอันอย่างเป็นัย
ผิงอันพยักหน้าติดต่อกันแสดงว่าเข้าใจ
“ใช่ พวกเราไม่ได้ทำอะไรทั้งสิ้น แค่มาเยี่ยมเยียนสหาย อืม... เมืองหลวงมีพี่ชายกู้อู่กับพี่สาวสกุลโหยว แล้วยังมีพวกพี่ชายเซียวด้วย วันข้างหน้าข้ามาเมืองหลวงจะมาเยี่ยมเยียนพวกเขาอีก”
“เ้าเป็เด็กมีอนาคตสั่งสอนได้ยิ่งนัก!” เจินจูขยิบตาใส่เขา
ผิงอันยิ้มแป้นเกาศีรษะ
“เหมียว” เสี่ยวเฮยะโจากด้านล่างเตียงอิฐขึ้นมาบนขาของผิงอัน และร้องประท้วงขึ้น
“โอ้ะ เสี่ยวเฮยหิวแล้ว ก็น่าจะเป็เช่นนั้นอยู่หรอก วิ่งมาครึ่งค่อนวันแม้แต่อาหารเย็นพวกเราก็ยังไม่ได้ทานกันเลย” เจินจูลูบท้องแบนราบของตัวเอง “ผิงอัน เ้าไปสั่งอาหารที สั่งอาหารประเภทเนื้อมากหน่อย ให้เสี่ยวเอ้อเอามาส่งในห้อง ไม่รู้ว่าพี่ชายยู่เซิงของเ้ากลับมาหรือยังด้วยสิ เ้าไปดูหน่อยเถอะ”
“รับทราบ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”
ผิงอันรีบลงจากเตียงอิฐและวิ่งออกไป
รอจนเขาออกจากประตูห้องไปแล้ว เจินจูกลับมาล้มตัวลงนอนหงายอีกครั้ง
หัวใจเต้นเร็วมากกว่าปกติเล็กน้อย นางยังละจากความรู้สึกตื่นเต้นระคนกังวลไปทั้งหมดไม่ได้เลย อย่างไรเสียก็เป็การวางแผนเพื่อเอาชีวิตคนคนหนึ่ง แม้ชีวิตคนผู้นี้ถึงจะตายไปก็ไม่น่าเสียดายก็เถอะ
แต่ความรู้สึกภายในใจของนางยังค่อนข้างสลับซับซ้อนอยู่มาก
พรุ่งนี้ข่าวการตายขององค์ไท่จื่อน่าจะแพร่ออกไปทั่วเมืองหลวง
นางตะกายขึ้นมานั่งอีกครั้ง พวกนางต้องหนีออกไปจากเมืองหลวงล่วงหน้าไหมนะ? อืม ไม่ดีเท่าไร นั่นไม่ใช่ว่าที่ตรงนี้ไม่มีเงินสามร้อยเหลียงหรือ [3]
อีกอย่างได้ยินมาว่าองค์ไท่จื่อหานเซี่ยนอุปนิสัยอารมณ์ร้ายไม่เหมาะกับคุณธรรมความดีงามของโอรส์ ทิศทางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของประชาชนก็ไม่ดี เมื่อเขาสิ้นแล้ว ไม่แน่ว่าอาจเป็ที่ชอบอกชอบใจของคนทั่วไปก็ได้ เพราะจะได้เปลี่ยนองค์ชายที่จะมาเป็ฮ่องเต้ได้พอดิบพอดี
“จี๊ดๆ” หลังจากเสี่ยวฮุยกลับมาก็พักอยู่บนโต๊ะทานอาหารอย่างน่าเอ็นดู ขณะนี้มันอุ้มขวดไม้ใบเล็กบนลำคอและหันมาร้องทางเจินจูอยู่สองที
ฮ่าๆ เ้าตัวน้อยนี่ ช่างน่ารักเกินไปแล้วจริงๆ ความหมายที่มันร้องออกมาคือด้านในไม่มีผงยาแล้ว ต้องเติมเข้าไปสักหน่อยหรือไม่?
เจินจูลงจากเตียงอิฐ เดินเข้าไปปลดเชือกบนลำคอของมันออก เก็บขวดไม้ใบเล็กเข้าในมิติช่องว่าง
“เสี่ยวฮุย วันนี้เ้าทำได้ดีมากๆ ยอดเยี่ยมยิ่งนัก สมควรได้รับการชมเชย นี่... ให้เ้า”
นางล้วงเอาผักกวางตุ้งออกมาหนึ่งก้านและยื่นให้มันพลางยิ้มจนตาหยี
เสี่ยวฮุยเชื่อฟังและว่าง่ายกว่าเสี่ยวเฮยมากนัก มันกะพริบดวงตาเท่าเม็ดถั่วสีดำมืดของมันและมองมาที่นาง ให้ความรู้สึกน่ารักน่าเอ็นดูอย่างมาก
มันรับก้านผักกวางตุ้งไปอย่างดีใจ เริ่มแทะอาหารคำเล็กขึ้น วิ่งมาครึ่งวันแล้วมันจึงหิวอยู่นานมาก
“เหมียว” ในเสียงร้องเบาๆ ของเสี่ยวเฮยมีความโมโหอยู่ด้วย
เจินจูรีบวิ่งกลับมาข้างเตียงอิฐ ปั้นหน้าประจบแล้วส่งผักกวางตุ้งไปให้มันหนึ่งก้านเช่นกัน
“เสี่ยวเฮย วันนี้เยี่ยมมากเป็พิเศษเลย ช่วยข้าไว้เยอะมาก เ้าเก่งที่สุด รอกลับหมู่บ้านไปแล้ว ข้าจะใช้น้ำแร่จิติญญาตุ๋นน้ำแกงปลาให้กินนะ”
ลูกตาสีเขียวเข้มของเสี่ยวเฮยจ้องเขม็งมาทางนางอยู่ครู่หนึ่ง ถึงได้คาบก้านผักกวางตุ้งไป
โอ้แม่เ้า ห้ามละเลยความสนใจในการมีอยู่ของบรรพบุรุษตัวน้อยนี่เด็ดขาดเชียว เมื่อมันโมโหขึ้นมาช่างทำให้คนปวดหัวจริงๆ
เจินจูหยิบเอาผงยาล้างหน้าออกมาจากมิติช่องว่าง เทเพียงเล็กน้อยใช้น้ำผสมให้เข้ากัน หลังจากนั้นยกหน้าม้าขึ้นและเริ่มทำความสะอาดใบหน้ารูปไข่ของตนเอง
จนกระทั่งนางล้างทำความสะอาดเสร็จ เสี่ยวเอ้อก็ยกอาหารเข้ามาพอดี
ผิงอันสั่งอาหารมาหกอย่างน้ำแกงหนึ่งอย่าง กับข้าวร้อนกรุ่นเรียกความอยากอาหารของสองคนขึ้น ในวันที่อากาศหนาวหนัก การได้ทานอาหารร้อนกรุ่นช่างเป็เื่ที่มีความสุขยิ่ง โดยเฉพาะหลังจากประสบกับการผจญภัยที่เสี่ยงอันตรายตึงเครียดมา
สองคน... คนหนึ่งทานเนื้อซดน้ำแกงเข้าไปคำใหญ่ คนหนึ่งเติมอาหารเนื้อในถ้วยให้เสี่ยวเฮยกับเสี่ยวฮุย
ขณะที่ทานอย่างเอร็ดอร่อย ในลานก็แว่วเสียงฝีเท้ากระชั้นเข้ามา
เจินจูได้ยินก็รู้ได้ทันที หลัวจิ่งกลับมาแล้ว
“เจินจู ผิงอัน”
เป็ไปดังคาด เขายังไม่ทันเดินเข้ามาถึงหน้าประตูก็เริ่มะโเรียกชื่อของพวกนางขึ้น
ผิงอันลุกขึ้นทันที ดึงประตูห้องเปิดออก
“พี่ชายยู่เซิง อยู่ทางนี้ มาทานข้าวกัน”
อารมณ์ของหลัวจิ่งเยือกเย็นและจริงจัง ในดวงตาเกิดความตื่นตระหนกระคนสงสัยไม่คงที่ขึ้นไปอีก เขาสาวเท้าเข้าในห้องหลังจากนั้นปิดประตูลง
“พวกเ้า ไม่ได้เป็อะไรกันใช่ไหม?”
เชิงอรรถ
[1] มวยผมวงระย้าห้อย คือ มวยผมสำหรับหญิงสาวที่ยังไม่ได้ออกเรือน วิธีจัดทรงคือแบ่งผมและผูกเป็วง้า ไม่ต้องประดับสิ่งใด ส่วนผมที่เหลือมัดห้อยหางผมลงมาด้านล่างคล้ายหางนกนางแอ่น
[2] ไซซีกุมใจ เป็การอุปมาถึงความงามของหญิงสาวจะเพิ่มขึ้น เมื่อตกอยู่ในสภาวะทุกข์ใจหรือความทุกข์ทรมาน
[3] ที่ตรงนี้ไม่มีเงินสามร้อยเหลียง หรือที่ตรงนี้ไม่มีเงินสามร้อยตำลึง หมายถึง การปกปิดซ่อนเร้นกลับกลายเป็การเผยให้โลกรู้ โดยสำนวนนี้มาจากประโยคเต็มๆ ว่า ‘ที่ตรงนี้ไม่มีเงินสามร้อยตำลึง หวังเอ้อที่อยู่ข้างบ้านไม่ได้ขโมย’ เื่เล่ามาจากมีคนชื่อจางซานซ่อนเงินโดยการฝังไว้หลังบ้าน เขากลัวคนมาขุดเจอจึงติดป้ายไว้ว่า ‘ที่ตรงนี้ไม่มีเงินสามร้อยตำลึง’ หวังเอ้อที่อยู่บ้านข้างๆ เห็นเขาทำท่าทางลับๆ ล่อๆ เมื่อจางซานจากไปเขาจึงมาดูและเกิดความสงสัย จึงขุดดูและพบเงินเข้าจนเกิดความละโมบ กลัวว่าจางซานจะรู้ว่าตนขโมยเงินไป จึงเลียนแบบด้วยการติดป้ายไว้ว่า ‘หวังเอ้อที่อยู่ข้างบ้านไม่ได้ขโมย’ ถัดจากข้อความของจางซาน