นี่เป็ครั้งแรกที่ฉินข่ายได้พบกับท่านอ๋องและต้าซือหม่าหรงจิ่งอย่างเป็ทางการ
ความสัมพันธ์ของไป๋มู่และคนเหล่านี้ เขารับรู้เรียบร้อย
ฉินข่ายกับไป๋มู่หันมาสบตากัน ก่อนจะก้มศีรษะแล้วกล่าวด้วยความเคารพ “ขอบพระทัยท่านอ๋องที่ได้ช่วยชีวิตกระหม่อม และอนุญาตให้กระหม่อมได้อยู่ร่วมกับไป๋มู่”
“นั่นเป็เพราะความโชคดีของพวกเ้าทั้งสอง” อวี้ฉู่จาวเอ่ยด้วยสีหน้าเรียบเฉย “การค้าตงเยวี่ย ข้าได้ให้เป็ชื่อของไป๋มู่แล้ว”
ไป๋มู่กับฉินข่ายตะลึงเมื่อได้ยิน ทรัพย์สินจำนวนมหาศาลดังกล่าวถูกมอบให้กับไป๋มู่แล้วหรือ
อวี้ฉู่จาวกล่าวต่อ “การค้าตงเยวี่ยเป็ของไป๋มู่เรียบร้อย อีกทั้งไป๋มู่เป็คนของเปิ่นหวัง...ต่อไปหากไป๋มู่ดูแลด้านการเงิน เ้าก็จัดการบริหาร การค้าตงเยวี่ยอยู่ในมือของพวกเ้าทั้งสอง พวกเ้าต้องแสดงความสามารถออกมา เช่นนี้พวกเ้าคงจะอาศัยอยู่ที่ตงเยวี่ยได้ระยะหนึ่ง”
หลังจากนั้น น้ำเสียงของอวี้ฉู่จาวก็เปลี่ยนไปจริงจังมากขึ้น “ฉินข่าย”
ฉินข่ายมิกล้าที่จะแสดงท่าทีไม่เคารพ เขาเงยหน้าสบตาอวี้ฉู่จาว แสดงถึงความชัดเจนและตรงไปตรงมา
เขากำลังเตรียมพร้อมรับฟังสิ่งที่อวี้ฉู่จาว้าจะเอ่ย
“เมื่อเ้า้าไป๋มู่ ฉะนั้นในสายตาของเปิ่นหวัง เ้าสองคนคือสามีภรรยากันแล้ว เปิ่นหวังหวังว่าจะได้รับข่าวเื่การแต่งงานของเ้าทั้งสอง หากเปิ่นหวังรู้ว่าเ้าทำให้เขาต้องบอบช้ำ ชีวิตในอนาคตของเ้านั้นคงคาดเดาได้ไม่ยาก” ถ้อยคำของอวี้ฉู่จาวเป็การย้ำเตือน
ฉินข่ายฟังเพียงแค่นั้นก็เข้าใจได้โดยพลัน
ไป๋มู่เกรงว่าอวี้ฉู่จาวอาจยังคงมีความรู้สึกไม่พอใจฉินข่ายจึงเริ่มอยู่ไม่สุข
“ท่านอ๋อง เจ๋อิเขา…”
“มู่เอ๋อร์”
ไป๋มู่ไม่คิดว่า เพียงแค่เขา้าจะเอ่ยปากช่วยฉินข่าย กลับถูกอีกฝ่ายเอ่ยขัดขึ้นมาเสียก่อน
ฉินข่ายเงยหน้ามองไปทางอวี้ฉู่จาว “ท่านอ๋องได้โปรดวางพระทัย มู่เอ๋อร์คือรักเดียวในชีวิตของกระหม่อม กระหม่อมจะดูแลเขาเป็อย่างดีพ่ะย่ะคะ วันนี้ ชีวิตนี้ของกระหม่อมอยู่เพื่อรับใช้ท่านอ๋องแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
แววตาของฉินข่ายเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น เขาเอ่ยออกมาด้วยความแน่วแน่ “กระหม่อมไม่มีทางปฏิบัติไม่ดีต่อมู่เอ๋อร์ ชีวิตนี้กระหม่อมไม่้ามีบุตร ดังนั้น กระหม่อมจะไม่หลายใจและไม่มีทางนอกใจเป็อันขาดพ่ะย่ะค่ะ”
จากนั้นฉินข่ายจึงได้หันไปหามู่เอ๋อร์ก่อนบอก “มู่เอ๋อร์ รอให้เราจัดการเื่ที่ตงเยวี่ยลงตัวแล้ว เราสองคนค่อยแต่งงานกันนะ”
ไป๋มู่ไม่เคยร้องขอที่จะแต่งงานเป็สามีภรรยากับฉินข่ายมาก่อน เขาคิดแค่อยากใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน คอยช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เื่หลังจากนี้ ใครจะบอกได้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น
หากเวลาผ่านไป…หากไม่เกิดความรู้สึกต่อกันจนต้องแยกจากกันไป ก็คงต้องปล่อยให้เป็เช่นนั้น
ทว่าในยุคนี้ การมีทายาทสืบสกุลถือเป็เื่สำคัญ ส่วนตัวเขาไม่ได้สนใจอยู่แล้ว ตลอดชีวิตที่ผ่านมาเขาคิดเพียงแค่ว่า เขาต้องทำเพื่อผู้เป็นายกับท่านอ๋อง รวมไปถึงชายผู้นี้ซึ่งมีนามว่าฉินข่าย และเขาก็เตรียมใจเอาไว้ก่อนแล้วหากฉินข่ายจะต้องไปสู่ขอภรรยาและมีทายาทด้วยกัน
ทั้งที่ควรจะเป็อย่างนั้น ฉินข่ายกลับให้คำมั่นสัญญาเช่นนี้ จึงทำให้ไป๋มู่ตกตะลึงหนัก
นี่ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะคิดว่าเขาคงจะสามารถเป็สามีภรรยาจริงๆ ได้ เฉกเช่นท่านอ๋องกับพระชายา
ไป๋มู่ไม่กล้าคิดจริงๆ แต่ฉินข่ายได้ให้คำมั่นสัญญาต่อหน้าหรงจิ่งกับท่านอ๋องแล้ว โดยที่เขาไม่มีท่าทีลังเลแม้แต่น้อย
น้ำตาของไป๋มู่ร่วงหล่นลงมาทันที “เจ๋อิ”
ฉินข่ายยกมือขึ้น เขาช่วยเช็ดหยาดน้ำตาใสที่กำลังไหลรินลงมาอาบแก้มสองข้างของไป๋มู่คนงาม
หรงจิ่งที่ฟังอยู่ด้านข้างรู้สึกพอใจยิ่งนัก
ไป๋มู่คือเด็กที่เขาเลี้ยงดูมาจนเติบใหญ่ ดังนั้น ความรู้สึกย่อมแตกต่างจากคนทั่วไป ถึงแม้ว่าอายุอานามเขาอาจไม่ถึงขั้นนั้น แต่ก็รู้สึกราวกับอีกฝ่ายเป็บุตรชายของตนเอง
ไป๋มู่เป็เด็กดีเชื่อฟังมาโดยตลอด หรงจิ่งให้อีกฝ่ายไปอยู่ที่หอนางโลมเพื่อคอยสืบข่าวมา ซึ่งอีกฝ่ายก็ไม่เคยแสดงท่าทีไม่เต็มใจทำ หลายปีมานี้นับว่าช่วยเหลือเขาได้มากพอควร
การได้พบเจอกับฉินข่ายก็ถือเป็ความโชคดีของไป๋มู่แล้ว หรงจิ่งจึงรู้สึกยินดีกับทั้งคู่เช่นเดียวกัน
การจัดการใส่ชื่อไป๋มู่ให้เป็ผู้ดูแลการค้าตงเยวี่ย นี่เป็สิ่งที่หรงจิ่งได้ทำการปรึกษากับอวี้ฉู่จาวเป็ที่เรียบร้อยแล้ว
ไป๋มู่กับฉินข่ายอายุยังน้อย อาจคาดการณ์เื่ความสัมพันธ์อะไรไม่ได้นัก หากเป็แบบนี้ไปตลอดก็คงจะดี แต่ถ้าวันหนึ่งฟ้าลิขิตให้ทั้งคู่ต้องพรากจากกัน การใส่ชื่อการค้าตงเยวี่ยในนามของไป๋มู่ก็ถือเป็เครื่องยืนยันอีกหนึ่งอย่าง เป็ผลดีทั้งกับไป๋มู่และพวกเขาด้วย
อีกทั้งอวี้ฉู่จาวกับหรงจิ่งล้วนแต่ไม่ใช่คนของราชสำนัก ทว่าเป็ทหารชั้นสูง การค้าตงเยวี่ยไม่เหมาะที่จะอยู่ในมือของพวกเขา
แต่กระนั้น ฉินฉือกับอวี้ฉู่หลิงรู้เื่การค้าของตงเยวี่ยเป็อย่างดี หากวันไหนเอาเื่นี้ไปกราบทูลต่อฮ่องเต้ฉงเต๋อ ด้วยนิสัยช่างสงสัยของพระองค์ ต้องทำให้เื่เล็กกลายเป็เื่ใหญ่อย่างแน่นอน
ไม่ว่าอย่างไรไป๋มู่ก็ถือว่าเป็คนของเขา มีลายลักษณ์อักษรที่ชัดเจนเช่นนั้น คงไม่มีใครกล้าที่จะเข้ามาตรวจสอบปัญหา
ที่เื่จบลงเช่นนี้ก็เป็เพราะไป๋มู่ พวกเขาถึงได้มีการค้าตงเยวี่ยอยู่ในมือ
“เช่นนั้นเปิ่นหวังก็จะจดจำคำพูดวันนี้ของเ้าเอาไว้ ไป๋มู่…” อวี้ฉู่จาวหันไปเอ่ยกับไป๋มู่ต่อ “เ้าไม่ต้องรู้สึกน้อยใจในตนเอง ข้างหลังเ้ามีนายท่านหรงของเ้าและเปิ่นหวังค่อยช่วยเ้าอยู่”
“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง” ไป๋มู่รู้สึกประทับใจ
ก่อนหน้านี้เขาเป็เพียงคนไร้ค่าคนหนึ่ง ไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่าหรงจิ่งกับอวี้ฉู่จาวจะวางแผนเอาไว้ให้เขาเช่นนี้ นี่ส่งผลให้เขารู้สึกตื้นตันใจจนหาอะไรมาเปรียบไม่ได้
“เอาละ ทุกอย่างเตรียมพร้อมแล้ว พวกเ้าไปกันเถิด” เมื่อหรงจิ่งเห็นว่าได้สั่งเสียกันเป็ที่เรียบร้อย จึงเตรียมทำการส่งฉินข่ายกับไป๋มู่ออกเดินทาง
หลังจากทั้งคู่ร่ำลากันเสร็จ ก็ได้ไปขึ้นรถม้าคันหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลนัก ซึ่งถูกเตรียมเอาไว้ให้แล้ว
ภายหลังรอให้พวกเขาอยู่ห่างออกไป หรงจิ่งถึงได้หันไปมองอวี้ฉู่จาวแล้วกล่าวขึ้น “ท่านอ๋องทรงเปลี่ยนไปนะพ่ะย่ะค่ะ”
“เปลี่ยนไปอย่างไร?” อวี้ฉู่จาวถามกลับ
หลังได้ยินคำพูดของหรงจิ่ง หลินหร่านที่อยู่ในอ้อมแขนของท่านอ๋องจึงมองทั้งสองฝ่ายด้วยความแปลกใจและพร้อมตั้งใจฟัง
เขาเองก็รู้สึกแปลกใจเช่นกัน ต้าซือหม่าหรงจิ่งคิดว่าท่านอ๋องของเขาเปลี่ยนไปอย่างไรนะ
อวี้ฉู่จาวกระชับบังเหียน ดึงให้หั่วเนี่ยหันกลับไปอีกด้านเพื่อเดินทางกลับ หรงจิ่งก็ตามหลังมาด้านข้างอวี้ฉู่จาว
“ท่านอ๋องทรงมีมนุษยธรรมมากขึ้นพ่ะย่ะค่ะ หากเป็เมื่อก่อนพระองค์คงไม่ใส่ใจกับผู้ใต้บังคับบัญชาเช่นนี้”
“อย่างนั้นหรือ?” อวี้ฉู่จาวไม่ได้ปฏิเสธ
“หากเป็ท่านอ๋อง่ก่อนหน้านี้ ใบหน้าจะเ็าราวกับน้ำแข็ง แม้แต่ชิงเฟิงหรือกระหม่อมก็แทบไม่ได้เห็นท่าทีอ่อนโยนของท่านอ๋องเลย หากทรงตรัสแล้ว คำไหนก็ต้องเป็คำนั้น เข้มงวดทุกวัน มีสติปัญญา แต่ไม่ค่อยสนใจรับฟังเหตุผล ผู้คนในค่ายทหารต่างพากันขลาดกลัวท่านทั้งนั้น” หรงจิ่งเอ่ยก่อนจะหยุดพูดเล็กน้อย
ที่กล่าวมาข้างต้นราวกับ ณ ตอนนี้เขาไม่ได้เกรงกลัวอะไรอวี้ฉู่จาว หากเป็เมื่อก่อนคงไม่มีทางเอ่ยคำพูดเช่นนี้ออกมาแน่
“แต่ว่า ั้แ่ที่ท่านอ๋องพบกับพระชายา…” หรงจิ่งหันไปสบตาหลินหร่าน
หลินหร่านที่ถูกพูดถึงใไม่น้อย
อวี้ฉู่จาวยังคงเป็เช่นเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ฝ่ามือหนึ่งโอบกอดหลินหร่าน ส่วนอีกมือดึงบังเหียนไว้
หรงจิ่งเอ่ยต่อ “ั้แ่มีพระชายา อุปนิสัยของท่านอ๋องก็อ่อนโยนขึ้น มีมนุษยธรรมมากขึ้นเรื่อยๆ พระชายารู้สึกเช่นนั้นหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
หรงจิ่งรู้ดีว่าหากเอ่ยถามอวี้ฉู่จาว ท่านอ๋องคงไม่ตอบอะไรแน่ จึงได้หันไปหาหลินหร่านแทน
พระชายาไร้เดียงสาและพูดเยอะกว่าท่านอ๋องมากทีเดียว
“หือ?” หลินหร่านในิดหน่อย
เขาจะรู้ได้อย่างไรกันล่ะ เขาไม่รู้จักนิสัยของท่านอ๋อง่ก่อนหน้านี้ว่าเป็เช่นไร
แต่ว่า...เมื่อนึกถึงการพบเจอที่ผ่านมา ดูจากท่าทีของท่านอ๋องแล้วก็ดูเป็คนที่ไม่ค่อยชอบสนทนาเท่าไรนัก
ท่านอ๋องเป็คนที่มีนิสัยเอาจริงเอาจัง ทว่าหลังจากได้รู้จัก ท่านอ๋องกลับเป็คนที่อ่อนโยนมาก ทั้งยังดีกับเขามากด้วย
“ท่านอ๋อง…ท่านอ๋องดีกับข้ามาตลอด” หลินหร่านบอกด้วยความลังเล ซึ่งคำพูดของเขาอัดแน่นไปด้วยความรู้สึกมากมาย ดังนั้น คำตอบที่เอ่ยออกมาจึงปะปนไปกับความรู้สึกเขินอายไม่น้อย
----------------------------------------
