หลัวเลี่ยไม่ให้ความสนใจหลี่จิ้งอีกต่อไป นอกจากนี้เขายังรู้สึกรังเกียจและขยะแขยงด้วยซ้ำ
ไม่ใช่สิ่งผิดที่ใครสักคนจะทำเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง เพราะมันคือธรรมชาติของมนุษย์ และหลัวเลี่ยก็จะไม่ทำตัวสูงส่งด้วยการดูถูกคนเ่าั้ แต่คนๆ นี้ทั้งๆ ที่เห็นว่าหลัวเลี่ยไม่ยอมกราบอวี้ติงเจินเหรินเป็อาจารย์ และเื่นี้ก็มีแค่หลี่จิ้งเท่านั้นที่รู้รายละเอียด ดังนั้นการที่มันถูกแพร่งพรายออกไปก็อาจมาจากปากของหลี่จิ้ง ถ้าเป็เช่นนั้น ความหวังดีจอมปลอมที่หลี่จิ้งหยิบยื่นมาให้หลัวเลี่ยก็น่าขยะแขยงยิ่งนัก
หลัวเลี่ยไม่อยากพูดคุยกับคนอย่างหลี่จิ้งอีกต่อไปแม้เพียงประโยคเดียว เขาจึงเดินตรงไปที่จัตุรัสเหยียนหลง
ไม่ใช่ว่าพวกเขา้าให้หลัวเลี่ยออกจากการฝึกฝนก่อนกำหนดเพื่อเปิดโอกาสแสดงจุดยืนของตัวเองหรือ ดี หลัวเลี่ยจะมอบโอกาสนี้ให้พวกเขาเอง
เื่นี้ทำให้เขาได้เห็นธาตุแท้ของคนอย่างชัดเจนยิ่งขึ้น
และนี่ก็คือเหตุผลที่ทำให้หลัวเลี่ยรู้สึกว่าดินแดนนี้เ็าเกินไป
ทุกคนล้วนไม่มีความเป็มนุษย์!
เขาก็อยากจะเห็นว่าทุกคนมีเนื้อแท้เช่นไร
และหลังจากการต่อสู้ที่ชี้ชะตานี้จบลง เขาจะรอดูว่าคนเ่าั้จะมีสีหน้าอย่างไร
ดังนั้นแม้ว่าหลัวเลี่ยจะเกลียดคนเหล่านี้ที่ใช้เหตุผลมากมมายเพื่อบีบบังคับให้เขาออกจากการกักตัวฝึกฝนพลัง แต่เขาก็สงบสติอารมณ์และมองทุกอย่างให้ชัดเจน
ตลอดเส้นทางนี้ของหลัวเลี่ย สิ่งแรกที่เขามองเห็นคือผู้าุโห้าไป๋หลี่ชางแห่งหอการค้าฟ้านเทียน
คนผู้นี้ครั้งหนึ่งเคย้าขโมยตราข่งเชวี่ยไปจากหลัวเลี่ยอย่างไร้ยางอาย เขาปรากฏตัวต่อหน้าหลัวเลี่ยด้วยใบหน้าที่มีความสุข
และคนที่มาพร้อมกับไป๋หลี่ชางก็ทำให้ทุกคนแปลกใจเช่นกัน เพราะเขาคือชงโหวหู่อ๋องซวนหลงแห่งแคว้นเป่ยสุ่ย
“เ้าคงไม่เคยคิดมาก่อนสินะว่าจะมีวันที่ผู้คนทั้งหลายทอดทิ้งเ้า” ไป๋หลี่ชางพูดอย่างมีความสุข “แต่ข้าคิดเอาไว้แล้ว ั้แ่ตอนนั้นที่เ้ากล้าปฏิเสธข้า ข้าก็รู้ในทันทีว่าเ้าโอหังมากเกินไป มั่นใจในตัวเองมากเกินไป และไม่สนคนอื่น ไม่เห็นคนที่แข็งแกร่งอยู่ในสายตา ไม่โอนอ่อนผ่อนตาม ดังนั้นไม่ช้าก็เร็วคงมีสักวันที่เ้าได้มาถึงจุดที่เป็อยู่ในตอนนี้”
หลัวเลี่ยหัวเราะเยาะ “ในเมื่อเ้าทำนายอนาคตได้ ทำไมเ้าไม่รู้แต่แรกเล่าว่าข้าจะใช้ตราราชันข่งเชวี่ยทำให้เ้าฉี่รดกางเกงได้”
ไป๋หลี่ชางเอ่ยเสียงเย็นเหยียบว่า “ความตายใกล้เข้ามาแล้ว เ้ายังจะกล้าปากดีอยู่อีก!”
“เ้าก็แค่คนที่น่ารังเกียจคนหนึ่ง”
ในสายตาของหลัวเลี่ย ไป๋หลี่ชางเป็คนที่น่ารังเกียจคนหนึ่ง ถ้าเขาให้ความเคารพตัวเองจริงๆ เขาคงจะไม่ทำตัวเหมือนสุนัขเช่นนี้ จากนั้นหลัวเลี่ยก็หันไปหาชงโหวหู่
ชงโหวหู่ไม่ได้สงวนท่าทีที่อยากสังหารหลัวเลี่ยเอาไว้ “หากท่านบรรพชนไม่ได้กำหนดให้ไก้อู๋ซวงสังหารเ้าโดยการต่อสู้กันอย่างยุติธรรม ข้าคงสังหารเ้าเพื่อแก้แค้นให้ลูกชายของข้าไปแล้ว”
“แม้ว่าเ้าจะน่ารังเกียจและไร้ยางอาย แต่อย่างน้อยเ้าก็ยังแสดงความคิดที่แท้จริงของตัวเองออกมา ซึ่งนับว่าเ้าก็ยังดีกว่าไป๋หลี่ชาง” หลัวเลี่ยกล่าว “เ้าออกจากแคว้นเป่ยสุ่ยแล้วหรือ?”
“หึ! แม้ข้าจะไม่รู้ว่าความสัมพันธ์ของเ้ากับหลิวจื่ออั๋งผู้าุโเจ็ดแห่งหอเซียวเหยาเป็อย่างไร แต่เ้าก็แบกคำว่าแคว้นเป่ยสุ่ยไปด้วยทุกที่ แล้วข้าจะแบกรับความอัปยศนี้ไปด้วยกันกับเ้าได้อย่างไร ข้าเลยต้องออกจากแคว้นเป่ยสุ่ยที่ข้าเพียรสะสมอำนาจมานานหลายสิบปีแล้วเข้าร่วมกับหอการค้าฟ้านเทียน แต่ว่าเ้าไม่ต้องกังวลไปนะ หลังจากที่เ้าตาย ข้าจะต้องลากหลิวหงเหยียนลงนรกไปกับเ้าด้วยแน่นอน เพราะนางก็เป็ส่วนหนึ่งที่ทำให้ลูกชายของข้าต้องตายเช่นกัน” ชงโหวหู่พูด
“ถึงคราวที่เ้าต้องพ่ายแพ้แล้ว”
หลัวเลี่ยไม่สนใจพวกเขาอีก เขาเดินตรงต่อไป
เป้าหมายของหลัวเลี่ยคือจัตุรัสเหยียนหลง
เมื่อหลัวเลี่ยเดินเลี้ยวตรงหัวมุมถนน ชายชราอีกคนหนึ่งก็ปรากฏตัวต่อหน้าเขาโดยไม่ได้ปกปิดไอสังหารของตัวเองเอาไว้ ชายชราพูดอย่างเ็าว่า “หลัวเลี่ย ในที่สุดเ้าก็จะตายแล้ว”
“เ้าเป็ใคร” หลัวเลี่ยไม่ตอบสนองใดๆ กับคนคนนี้
“ข้าคือผู้นำตระกูลเลี่ยแห่งแคว้นซวนิ เลี่ย...” ชายชราแนะนำตัวเอง
หลัวเลี่ยเหยียดริมฝีปากตรงและพูดขัดจังหวะการแนะนำตัวของชายชรา “ก็แค่ตระกูลขี้ขลาดที่หลังจากเลี่ยหงหยุนถูกข้าสังหารจนตายไปแล้วกลับไม่กล้าแม้แต่จะออกมาประกาศตัวแก้แค้นข้า แต่วันนี้กลับโผล่ออกมาเหมือนตัวตลกคนหนึ่ง เ้าทำให้ข้าขบขันเหลือเกิน”
เมื่อหลัวเลี่ยพูดจบประโยค เขาก็ออกเดินทางต่อ
ผู้นำตระกูลเลี่ยโกรธจนมีสีหน้าคล้ำเขียว เขาขบกรามขณะที่มองตามแผ่นหลังของหลัวเลี่ย แต่เมื่อเขาคิดได้ว่าขนาดองค์ชายทั้งสองแห่งแคว้นจินหลานยังถูกตัดหัว เขาก็ไม่กล้าลงมือแก้แค้น เื่นี้คงต้องพึ่งบรรพชนทั้งสองแล้ว
ตลอดทางที่จะไปจัตุรัสเหยียนหลง
ผู้คนที่ได้ยินข่าวต่างทยอยเดินทางมารวมตัวกันที่นี่ พวกเขามีจำนวนมากมายจนไม่สามารถนับได้
ทั่วทั้งบริเวณจัตุรัสต่างเต็มไปด้วยเสียงดังและความวุ่นวาย
จนกระทั่งหลัวเลี่ยปรากฏตัวขึ้น ในที่สุดเสียงพูดคุยที่ดังก็เงียบลง จากนั้นทุกคนก็เงียบสนิท
ทุกคนพากันแหวกทางให้หลัวเลี่ย
หลัวเลี่ยเดินผ่านทุกคนเข้าไป
ฝูงชนทั้งสองข้างทางต่างมองไปที่หลัวเลี่ยเป็สายตาเดียว
ั์ตาของพวกเขามีทั้งเยาะเย้ย เหยียดหยาม ดูถูก สมใจ และมีแม้แต่รูปปากที่พูดออกมาอย่างไม่มีเสียงว่า “สมควร” เป็ต้น
หลัวเลี่ยไม่สนใจสายตาเ่าั้ คนแบบนี้ไม่ควรค่าให้เขามอบความสนใจให้ พวกเขาไม่กล้าแม้แต่จะขึ้นมาต่อสู้กับเขา เป็เหมือนหมาที่ดีแต่เห่า
ในที่สุดหัวเลี่ยก็เดินมาถึงจุดศูนย์กลาง รอบๆ สถานที่นี้เต็มไปด้วยคนของกลุ่มเต่าสุพรรณ
หลัวเลี่ยเดินมาหยุดอยู่ที่ตรงกลาง
“ไม่ใช่ว่าพวกเ้าบีบให้ข้าออกมาเพื่อแสดงจุดยืนของตัวเองที่จะประจบบรรพชนทั้งสองหรือ” หลัวเลี่ยกวาดตามองไปรอบๆ อย่างแน่วแน่และกล่าวอย่างไม่ไว้หน้าใคร “ออกมาแสดงจุดยืนของพวกเ้าเสียสิ”
คนเ่าั้ที่บีบบังคับให้หลัวเลี่ยออกจากการฝึกตนก่อนกำหนดต่างแสดงความโกรธออกมา
เป็ความจริงที่พวกเขาทำเช่นนั้น แต่การที่หลัวเลี่ยพูดออกมาตรงๆ เช่นนี้ก็นับว่าไม่ไว้หน้าและหักหน้าพวกเขาเกินไป และนี่ก็เป็จุดเริ่มต้นที่หลัวเลี่ยทำให้พวกเขาเริ่มกรุ่นโกรธ
หลัวเลี่ยเยาะเย้ย “ทำไม ไม่มีใครกล้าออกมาแล้วหรือ พวกเ้าคิดว่าข้าหักหน้าพวกเ้ามากเกินไปหรือ? ถุย!” หลัวเลี่ยถ่มน้ำลายลงพื้นอย่างยั่วยุ “เ้ามีคุณสมบัติอะไรที่จะทำให้ข้าไว้หน้าเ้า พวกเ้าใช้ข้าเพื่อแสดงถึงจุดยืนของตัวเองโดยไม่มีความละอายใจแม้แต่น้อย แล้วยังอยากรักษาหน้าเอาไว้อีก พวกเ้าช่างน่าขยะแขยง!”
“บังอาจ!”
หนึ่งในองค์ชายที่เคยดูถูกหลัวเลี่ยในโรงเตี๊ยมก้าวออกมา “หลัวเลี่ย นอกจากไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงแล้วเ้ายังกล้าสบประมาทพวกเราอีกหรือ”
“ทำไมข้าต้องไม่กล้าหักหน้าพวกเ้าด้วย พวกเ้าวิเศษมาจากไหน หรือพวกเ้ามีจมูกมีปากมากกว่าคนอื่น หรือพวกเ้าคิดว่าตัวเองสูงส่งเลยเพิกเฉยต่อคนที่ด้อยกว่า หรือพวกเ้าคิดว่าทุกคนต้องก้มหัวให้พวกเ้าเหมือนสัตว์เลี้ยงของพวกเ้า” หลัวเลี่ยล้อเลียน “ข้าว่าเ้าเหมือนคนไร้สมองมากกว่า พวกเ้าคิดว่าข้าต้องตายแน่ๆ แต่กลับกลัวว่าคนที่จะตายจะมาล้างแค้นพวกเ้าอยู่อีก!”
สีหน้าขององค์ชายแห่งอาณาจักรชางเขียวคล้ำด้วยความกรุ่นโกรธ เขาขบกรามแน่นและะโด้วยความโกรธเกรี้ยวว่า “ข้า ชางจื่อเฟิง ขอประกาศอย่างเป็ทางการว่าหลัวเลี่ยถูกห้ามเข้าอาณาจักรชางโดยเด็ดขาด อาณาจักรชางของข้าไม่ต้อนรับเ้า”
หลัวเลี่ยกลอกตา “แสดงจุดยืนเรียบร้อยแล้ว เ้าออกไปได้”
ชางจื่อเฟิงพูดเสียงแค้นเคือง “เ้าอย่าได้ใจมากจนเกินไปนัก เ้าจะต้องเสียใจในเร็วๆ นี้แน่ๆ”
หลัวเลี่ยเอ่ยเสียงเย็น “ออกไป!”
ชางจื่อเฟิงขบกรามแน่นและหุบปาก เขาจ้องมองหลัวเลี่ยอย่างขุ่นเคืองและรอดูวันที่หลัวเลี่ยจะเสียใจ
มีคนอีกคนเดินออกมา
การปรากฏตัวของบุคคลนี้ทำให้หลายคนเริ่มกระซิบกระซาบกันทันที
เขาคือต้วนเหยียนเจี๋ยเป็องค์ชายแห่งแคว้นเหยียนหลง และอีกฐานะหนึ่งคือเป็ตัวแทนของกองกำลังจากแคว้นทางตอนกลางและตอนเหนือของแปดร้อยแคว้น
พันธมิตรของแคว้นแปดร้อยแคว้นแท้จริงแล้วคือหอการค้าฟ้านเทียน หอเซียวเหยา สำนักเซียหยาง เมืองเฉี่ยนเฮ่อ และตระกูลซือคง กองกำลังหลักทั้งห้า้าแน่ใจว่าทั้งแปดร้อยแคว้นจะไม่ถูกสองอาณาจักรใหญ่กลืนกิน จึงตั้งกองกำลังอีกหนึ่งกองขึ้นมาเพื่อเป็หน่วยประสานงานกัน อย่างไรก็ตามกองกำลังหลักทั้งห้ายังคงเป็ผู้ที่อยู่เื้ั แม้มองผิวเผินพวกเขาอาจกำลังต่อสู้เพื่อผลประโยชน์ของแคว้นทั้งแปดร้อยแคว้น แต่แท้จริงแล้วพวกเขากำลังต่อสู้เพื่อผลประโยชน์ของแคว้นที่แข็งแกร่งที่สุดไม่กี่แคว้น พวกเขาไม่สนใจแคว้นที่อ่อนแอเลย
ต้วนเหยียนเจี๋ยประกาศต่อสาธารณะว่า “ในนามของพันธมิตรแปดร้อยแคว้น ข้าขอประกาศอย่างเป็ทางการว่า แคว้นทั้งแปดร้อยแคว้นไม่ต้อนรับหลัวเลี่ย!”
หลังจากที่ต้วนเหยียนเจี๋ยพูดจบ ทุกคนก็ตกอยู่ในความเงียบชั่วขณะหนึ่ง
ชางจื่อเฟิงพูดว่า “เหลยเจิ้นจื่อ ถึงตาเ้าแล้ว”
“หา!”
เหลยเจิ้นจื่อถอนหายใจอย่างขมขื่น เขามองไปที่หลัวเลี่ยแล้วพูดว่า “สหายหลัว ข้าไม่มีทางเลือก”
หลัวเลี่ยกล่าวอย่างใจเย็น “พูดมาเถิด”
หลัวเลี่ยพอจะมองออกว่าเหลยเจิ้นจื่อไม่เหมือนชางจื่อเฟิง เพราะเหลยเจิ้นจื่อไม่ค่อยใช้ความเป็องค์ชายของเขากดข่มผู้อื่น
“ข้าขอโทษด้วยนะ” เหลยเจิ้นจื่อกล่าว “อาณาจักรโจวไม่ต้อนรับหลัวเลี่ย”
แต่สุดท้ายเหลยเจิ้นจื่อก็ไม่ได้พูดออกมาว่าห้ามหลัวเลี่ยเข้าอาณาจักรโจว เขาได้รับแรงกดดันอย่างมาก และชาวอาณาจักรโจวที่อยู่ข้างกายก็กดดันให้เขาพูดต่อไปด้วยเช่นกัน
หลัวเลี่ยเห็นว่าเหลยเจิ้นจื่อก้มหัวให้เขาหนึ่งครั้ง และเขาก็รู้สึกขอบคุณเหลยเจิ้นจื่อสำหรับการกระทำนี้มาก
หลังจากที่ชางจื่อเฟิงได้ยินเช่นนี้ เขาก็หัวเราะเสียงดังและพูดว่า “หลัวเลี่ย เ้าคงเสียใจแล้วสินะ ตอนนี้ทั้งอาณาจักรใหญ่และแคว้นเล็กๆ ต่างไม่ต้อนรับเ้าแล้ว นอกจากนี้เ้ายังทำให้บรรพชนทั้งสองท่านขุ่นเคืองอีก ตอนนี้ทั่วทั้งดินแดนเหยียนหวงไม่มีที่ให้เ้ายืนแล้ว!”