เล่มที่ 8 บทที่ 211 ห้วงมิติแห่งความเป็ตาย
“ห้วงมิติแห่งความเป็ตายงั้นหรือ?”
เมื่อหลินเฟยตั้งสติได้ เขาก็เข้าใจว่าเมื่อครู่นี้ที่ได้เข้าไปคุยกับปีศาจร่วนสือในห้วงมิติแห่งความเป็ตายนั้น สำหรับผู้บำเพ็ญที่บรรลุขั้นจิงตัน จะถือว่าได้ก้าวผ่านประตูแห่งความเป็ตายแล้ว พวกเขาจึงมีชีวิตยืนยาวราวกับเทพเซียน และตบะพลังทั้งหมดก็ยังหลอมรวมจนเกิดเป็ลูกแก้วสีทองภายในร่างกายอีกด้วย สุดท้ายก็จะเกิดเป็ห้วงมิติแห่งความเป็ตายนี้ขึ้นนั่นเอง
และนี่ก็เป็ห้วงมิติสำหรับผู้บำเพ็ญขั้นจิงตันโดยเฉพาะ จะว่าไปในบางมุมของห้วงมิติดินิถู่ซึ่งเกิดจากอักขระกระบี่หยินหลีก็มีความคล้ายคลึงกับห้วงมิติแห่งนี้อยู่เหมือนกัน…
สิ่งเดียวที่แตกต่างกันก็คือ ห้วงมิติดินิถู่นั้นเกิดจากอักขระกระบี่หยินหลี ต่อให้ห้วงมิติแตกสลาย ก็ย่อมเป็เพียงการทำลายอักขระกระบี่หยินหลีเท่านั้น จึงไม่อาจส่งผลกระทบต่อหลินเฟยแม้แต่น้อย แต่ห้วงมิติแห่งความเป็ตายไม่เหมือนกัน เพราะหากห้วงมิตินี้แตกสลายไป ต่อให้เป็ปีศาจร่วนสือซึ่งมีพลังขั้นเยาหวังก็อาจแตกดับไปได้ด้วย
ห้วงมิติแห่งความเป็ตายแห่งนี้นี้จึงสำคัญสำหรับเหล่าผู้บำเพ็ญจิงตันเป็อย่างมาก
โดยปกติแล้วหากระดับพลังไม่ได้แตกต่างกันราวฟ้ากับเหวเช่นนี้ ย่อมไม่มีผู้บำเพ็ญขั้นจิงตันคนใดยอมให้คนอื่นเข้ามาให้ห้วงมิติของตนนี้ได้หรอก…
ทว่าความแตกต่างของพลังของหลินเฟยกับปีศาจร่วนสือนั้น ไม่ได้ห่างชั้นเช่นนั้นเสียหน่อย…
เพราะในตอนแรก หลินเฟยก็สามารถหนีรอดจากเงื้อมมืออสุรกายกุ่ยหวังได้ อีกทั้งหลังจากมาถึงที่พิภพซ่างจงแห่งนี้ เขาก็ยังฝ่าเคราะห์อัสนีและไฟติดกัน นอกจากนี้หลินเฟยยังอาศัยพลังของค่ายกลคุ้มกันเมืองตลบหลังอสุรกายกุ่ยหวังและยังชิงมีดบินฮั่วอู๋มาได้อีกด้วย หากมีใจคิดร้ายจริง ต่อให้เป็ปีศาจร่วนสือเองก็อาจจะตกเป็เบื้องล่างหลินเฟยได้ด้วยซ้ำ แต่ถึงอย่างนั้นปีศาจร่วนสือก็ยังเสี่ยงให้หลินเฟยเข้ามาที่นี่อีก…
‘เพื่ออะไรกันแน่?’
‘หรือว่าเพื่อประโยคสุดท้ายนั่น?’
‘เนื่องจากห้วงมิติแห่งความเป็ตายเป็ห้วงมิติเฉพาะตัวของผู้บำเพ็ญขั้นจิงตัน หากเข้ามาที่ห้วงมิตินี้แล้ว ต่อให้เป็ผู้บำเพ็ญขั้นฟ่าเซี่ยงเองก็ยากที่จะแอบฟังได้ หรือว่าปีศาจร่วนสือจะ้าเช่นนี้?’
“ระวังสำนักกระบี่หลีซาน…”
สิ่งที่ปีศาจร่วนสือได้ทิ้งท้ายไว้ก่อนที่ห้วงมิติจะสลายไป
‘ว่าแต่ จะให้ระวังอะไรล่ะ?’
หลังจากคิดทบทวนอยู่นาน หลินเฟยก็ยังหาคำตอบไม่ได้ สุดท้ายจึงได้แต่ส่ายหน้าไปมา ก่อนจะเดินลงจากหุบเขาร่วนสือ เพื่อมุ่งหน้าไปยังท่าเรือของเมืองวั่งไห่ด้วยความรู้สึกคาใจ
เพราะเขาเห็นด้วยกับประโยคหนึ่งของปีศาจร่วนสือ ‘ใช่แล้ว…บัดนี้เหลือเวลาน้อยลงเต็มที ทุกๆวันมีผู้บำเพ็ญแห่เข้าไปที่เกาะนี้มากมาย ต่อให้เมืองโบราณนั่นจะลี้ลับเพียงใด สุดท้ายก็จะต้องถูกค้นพบเข้าสักวัน หากถูกคนชิงตัดหน้าไปก่อนละก็ เกรงว่าจะต้องสูญเสียชิ้นส่วนประตูมิติไปแน่นอน…’
ก่อนหน้านี้หลินเฟยยังได้ต่อรองราคากับปีศาจร่วนสืออีกด้วย ว่าหากต้องจ่ายราคาแพงจริงๆเ้าตัวก็จะยอมตัดใจเสีย ไม่้าชิ้นส่วนประตูมิตินี้อีก
ทว่าเงื่อนไขนี้กลับเป็ความจริงเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น
เพราะท่ามกลางอักขระกระบี่จิ่วหยินทั้งหมด มีอักขระกระบี่ตัวหนึ่งที่เรียกว่าชื่อเม่ย ซึ่งถือว่าเป็สุดยอดวิชาแห่งห้วงมิติ ดังนั้นที่หลินเฟยยอมทุ่มหินิญญาจำนวนมากเพื่อ่ชิงชิ้นส่วนประตูมิตินี้จากนักพรตเฮยซาน ก็เพราะ้านำมาฝึกอักขระกระบี่ชื่อเม่ยนั่นเอง
แน่นอนว่าหลินเฟยไม่ได้โกหก เพราะการฝึกอักขระกระบี่ชื่อเม่ยนั้น ใช้ชิ้นส่วนประตูมิติแค่ชิ้นเดียวก็เพียงพอแล้ว แต่หากมีอีกชิ้นก็ถือว่าดีกว่าเดิมเท่านั้น
อย่างไรก็ตามหลินเฟยไม่ได้บอกปีศาจร่วนสือว่านอกจากจะฝึกอักขระกระบี่ชื่อเม่ยแล้ว หลินเฟยยังคิดจะเปิดขุมทรัพย์ลับทั้งเจ็ดแห่งของสำนักเวิ่นเจี้ยนอีกด้วย…
และชิ้นส่วนประตูมิติเพียงชิ้นเดียวก็ย่อมไม่เพียงพอสำหรับแผนนี้
อย่าว่าแต่ชิ้นเดียวเลย…
ต่อให้เป็สองชิ้นหรือห้าชิ้นก็เกรงว่าจะไม่พออยู่ดี สำหรับหลินเฟยแล้ว ชิ้นส่วนประตูมิติถือว่าเป็สมบัติแสนล้ำค่า ดังนั้นยิ่งเยอะก็จะยิ่งดี ต่อให้มีเป็สิบชิ้น ก็ยังเพียงพอแค่ถูไถเท่านั้น…
ชิ้นส่วนประตูมิติเองก็ใช่ว่าจะหากันง่ายๆ และการที่หลินเฟยได้มาสองชิ้นจากพิภพซ่างจง ก็ถือว่าโชคดีมากแล้ว…
เื่ตัดใจอะไรนั่น ก็แค่พูดส่งๆไปเท่านั้น…
หลังจากมาถึงท่าเรือเมืองวั่งไห่ หลินเฟยก็ไม่รอช้า รีบหาเรือเพื่อไปยังเกาะปริศนาทันที และหลินเฟยเองก็ถือว่ากระเป๋าหนักพอตัว เขาถึงกับจ่ายสามพันหินิญญาเพื่อเหมาห้องโดยสารอันหรูหราห้องหนึ่งเอาไว้ ทว่าเรือที่ดูธรรมดาลำนี้ เมื่อเทียบกับยอดเรือรบอย่างเซินหลัวและเฟยเซียนแล้ว ถือว่าเทียบไม่ติดฝุ่นแม้แต่น้อย ภายในเรือนับว่าคับแคบเลยทีเดียว และเพื่อจุคนให้ได้มากที่สุด ถึงกับต้องถอดอาวุธบนเรือทิ้ง และเหลือไว้เพียงปืนใหญ่หยางเหยียนเท่านั้น…
ส่วนผู้บำเพ็ญส่วนมากที่ขึ้นเรือนี้มานั้น ก็ไม่ได้มีหินิญญามากมายเช่นหลินเฟย แต่เพื่อการเดินทางระยะสั้นนี้แล้ว ถึงกับยอมทุ่มหินิญญาจำนวนหลายพันเพื่อเหมาห้องโดยสารทั้งห้อง และส่วนมากก็ไปยืนเบียดกันอยู่ที่กระดานเรือ แต่ยังดีที่ระยะทางจากเมืองวั่งไห่มาถึงเกาะปริศนาไม่ได้ไกลมากนัก อีกทั้งยังไม่มีคลื่นลมแรงอะไร เหล่าผู้บำเพ็ญนับร้อยที่ยืนเบียดกันจึงไม่ได้ทรมานเท่าไรนัก
หลังจากขึ้นเรือมา หลินเฟยก็เอาแต่หมกตัวอยู่แต่ในห้องโดยสาร…
บัดนี้กล่องกระบี่เจิงหนิงและกระบี่ดาวอัปมงคลทั้งสี่กำลังหลอมละลายมีดบินฮั่วอู๋ทั้งวันทั้งคืน หลินเฟยจึงไม่ต้องเป็กังวล แต่ในทุกวันเขาจะต้องเข้ามาระบายไออสูรในห้วงมิติบ้าง ไม่อย่างนั้นจะเป็เหมือนครั้งก่อน เนื่องจากมีไออสูรเข้มข้นเกินไป จึงทำให้ห้วงมิติเกือบแตกสลาย
จากนั้นหลินเฟยก็เริ่มโคจรเคล็ดวิชาหมื่นกระบี่จูเทียนอีกครั้ง หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจทั้งหมดก็ย่ำค่ำแล้ว หลินเฟยจึงเดินออกมาจากห้องโดยสาร
ทว่าเมื่อเห็นว่ายังไม่มืดค่ำสำหรับเขาเท่าไรนัก หลินเฟยก็ยังไม่รีบพักผ่อน หลังจากหาอะไรรองท้องเสร็จ เขาก็ออกไปเดินเล่นที่กระดานเรือ เพื่อสำรวจว่ามีผู้บำเพ็ญคนใดสามารถนำทางได้บ้าง…
และผลก็คือเมื่อทุกคนเห็นหลินเฟยที่เดินมาถึง ทั้งที่เ้าตัวยังไม่ทันเอ่ยปากถามอะไร ก็มีคนเสนอตัวเข้ามาก่อนแล้ว
“ศิษย์พี่ท่านนี้…” คนที่เสนอตัวเข้ามาเป็ผู้บำเพ็ญอายุประมาณยี่สิบกว่าปี มีขั้นบำเพ็ญไม่ต่ำมากนักจ ประมาณมิ่งหุนเคราะห์หนึ่งเห็นจะได้ ทว่าท่าทางดูเก้ๆกังๆไปหน่อย คงเป็ครั้งแรกที่ออกจากสำนักมาท่องโลกกว้าง หลังจากเอ่ยเรียกแล้ว เขาก็ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ ได้แต่ยืนทื่อทำตัวไม่ถูกอยู่กับที่
“…” หลินเฟยรู้สึกตลกกับภาพตรงหน้า ถึงอย่างไรก็เป็ผู้บำเพ็ญมิ่งหุนเคราะห์หนึ่ง ต่อให้เป็สำนักเวิ่นเจี้ยนหรือสำนักกระบี่หลีซานก็ตาม การที่มีขั้นบำเพ็ญมาถึงระดับนี้ได้ ย่อมจะต้องพบเจออะไรมาไม่น้อย มีหรือที่จะท่าทีเก้กังเช่นนี้?
หลังจากเอ่ยปากรั้งอีกฝ่ายไว้ แต่กลับไม่รู้จะพูดอะไรต่อ แถมยังได้แต่ยืนทำตัวเบื้อใบ้อยู่แบบนั้นอีก หลินเฟยเห็นเช่นนั้นก็อดส่ายหน้าด้วยความระอาไม่ได้ ‘เสียดายขั้นบำเพ็ญจริงๆ สุดท้ายก็เป็เพียงเด็กน้อยที่ไม่เคยเห็นโลกกว้าง หากคนเช่นนี้ไปถึงเกาะปริศนานั่นแล้วละก็ เกรงว่าจะต้องเจอเคราะห์ร้ายมากกว่าเคราะห์ดีเป็แน่…’
หลินเฟยพินิจชั่วครู่ จะปล่อยให้อ้ำอึ้งแบบนี้ต่อไปคงไม่ดีเท่าไร เขาจึงตัดสินใจเป็ฝ่ายเอ่ยปากออกมาก่อน
“ไม่ทราบว่าศิษย์น้องมีอะไรหรือ?”
“เอ่อ คือ… เื่มันเป็อย่างนี้…” หลังจากได้ยินหลินเฟยเอ่ยถาม ผู้บำเพ็ญหนุ่มก็ได้สติขึ้นมา ก่อนจะชี้ไปยังเหล่าผู้บำเพ็ญที่อายุไม่มากอีกกลุ่มซึ่งอยู่ไม่ไกลกันนัก
“พวกข้ามาด้วยกัน เดิมคิดจะเช่าอยู่ที่ห้องโดยสารขนาดสี่คน แต่ตอนนี้มีเพียงสาม ดังนั้นการเช่าอยู่ห้องโดยสารที่จุได้สี่คนในราคาหกร้อยหินิญญาจึงถือว่าสิ้นเปลืองเกินไปหน่อย พอดีข้าเห็นศิษย์พี่มาคนเดียว เลยคิดจะมาถามว่าสนใจจะแชร์กับพวกข้าหรือไม่?…”
----------------------------------------------------------------------------------------------------------