ราตรีที่เมฆาบดบังจันทรา ไอหมอกปกคลุมทั่วผืนน้ำ ท่ามกลางสายหมอกปรากฏแสงไฟสีส้มเหลืองริบหรี่ เรือประมงลำน้อยแล่นฝ่าผืนน้ำทะลุหมอกออกมา
บนเรือมีชาวประมงคนหนึ่งแอบหย่อนอวนไปในทะเลสาบ พลางพึมพำกับตัวเองว่า “ข้าไม่ได้โลภมาก ขอแค่จับปลากระดี่มุกได้สักสองสามตัว ตัวละสามชั่งขึ้นไป ข้าก็พอใจแล้ว”
ว่าจบก็พนมมือขึ้นอธิษฐานกับดวงจันทร์ที่มองไม่เห็น ส่วนชาวประมงชราที่สูบยาเส้นอยู่ท้ายเรือได้ยินคำพูดของสหายก็อดหัวเราะไม่ได้ ตอบกลับไปว่า “ทะเลสาบัทมิฬ่นี้ แม้แต่ปลาตัวหนึ่งชั่งก็ยังหายากด้วยซ้ำ ปลากระดี่มุกตัวละสามชั่งขึ้นไป? เ้าฝันไปหรือเปล่า!”
ชาวประมงผู้นั้นเถียงกลับ “ของหายากก็ย่อมมีราคาแพงไม่ใช่หรือ ข้าอธิษฐานไปแล้ว หรือเ้าอยากจะจับได้ปลาตัวเล็กๆ กัน”
ชาวประมงชราหัวเราะ เคาะก้นกรองยาเส้นกับขอบเรือสองสามครั้ง เขี่ยเขม่าออก หลับตาลงพลางหวนนึกถึงความหลัง “ตอนที่ข้ายังหนุ่ม ปลากระดี่มุกในทะเลสาบัทมิฬชุกชุมนัก พวกมันะโไปมาบนผิวน้ำ ตอนนั้นแค่ทิ้งอวนไปก็จับปลาได้มากมาย ได้ตัวใหญ่หกเจ็ดชั่งก็ไม่ใช่เื่แปลก”
น้ำในทะเลสาบใสสะอาด มองเห็นต้นกกและสาหร่ายใต้น้ำ บางครั้งก็มีฝูงปลาว่ายน้ำผ่านมาจากที่ไกลๆ
ชาวประมงอีกคนที่กำลังทิ้งอวนพลางพูดว่า “ตาแก่ นั่นมันเื่เมื่อสามสิบปีก่อน ทำไมเ้าไม่...เอ๊ะ?”
ทันใดนั้น แสงสีเขียวที่ส่องมาจากก้นทะเลสาบก็ดึงดูดความสนใจของเขา เขาชะโงกหน้ามองออกไปนอกเรือพบว่าก้นทะเลสาบที่ลึกจนสุดหยั่งมีแสงสีเขียวแปลกประหลาดส่องประกายระยิบระยับ เมื่อแสงเ่าั้รวมตัวกัน ก็ดูราวกับใบหน้ามนุษย์ขนาดั์ที่กำลังยิ้มให้กับเขา
“ตะ...ตาแก่!” ดวงตาของชาวประมงไม่อาจละไปจากใบหน้าอันน่าสะพรึงนั้นได้ เขารีบโบกมือเรียกเพื่อน “ในน้ำมีใบหน้าน่าเกลียด!”
“นั่นก็เพราะใบหน้าของเ้าสะท้อนลงไปบนผิวน้ำยังไงเล่า” ชาวประมงชราพูดติดตลก
“ไม่ใช่!” ชาวประมงอีกคนยืนกราน “ข้าหมายถึงที่ก้นทะเลสาบ!”
“ใอะไรนักหนา” ชาวประมงชราคิดว่าเพื่อนกำลังเล่นอะไรแผลงๆ อีก จึงเดินไปหาอย่างไม่ใส่ใจ
ไม่นึกว่าเมื่อชาวประมงชราเดินมาถึงข้างๆ แล้วก้มลงมอง เขากลับเห็นแสงประหลาดส่องประกายอยู่ที่ก้นทะเลสาบจริงๆ ชาวประมงชราที่หาปลาในทะเลสาบัทมิฬมาทั้งชีวิตเพิ่งเคยเห็นเื่แปลกประหลาดเช่นนี้ แม้แต่เขาที่อดประหม่าไม่ได้ก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเทา “นี่...นี่มันอะไรกัน”
ชาวประมงอีกคนที่ถูกใบหน้าที่ก้นทะเลสาบจ้องมองจนใจคอไม่ดี เอ่ยถามชาวประมงชรา “ไม่งั้นพวกเรากลับกันเถิด”
ทันใดนั้นเรือก็โยกไหวอย่างรุนแรง ราวกับใต้น้ำถูกอะไรบางอย่างชน
“เฮ้ย!” ชาวประมงผู้นั้นเสียหลักตกลงไปในทะเลสาบอันมืดมิด
“เฮ้ย! เ้าเป็อะไรหรือไม่” ชาวประมงชรารีบยื่นมือไปที่กราบเรือ หวังจะดึงเพื่อนขึ้นมา แต่บนผิวน้ำกลับมีเพียงแค่ระลอกคลื่น ไร้วี่แววของสหายราวกับหายตัวไปในอากาศธาตุ
“เ้าหนู! ยังจะมาแกล้งข้าอีก ระวังข้าทิ้งเ้าไปจริงๆ นะ!” ชาวประมงชราใจหาย เพราะเขาหาปลามาทั้งชีวิต ไม่เคยเจอเื่แบบนี้มาก่อน ขณะที่เขากำลังจนปัญญา บนผิวน้ำก็มีฟองอากาศผุดขึ้นมา ตามมาด้วยมือข้างหนึ่งยื่นขึ้นมาขอความช่วยเหลือ
ชาวประมงชราโกรธปนดีใจ โกรธที่เ้าหนูนี่ยังมาแกล้งเขา ดีใจที่แค่ใไปเอง เขาไม่รีรอคว้ามือของอีกฝ่ายออกแรงดึงขึ้นมาทันที แต่กลับพบว่าน้ำหนักเบากว่าที่คิด เพราะสิ่งที่เขาดึงขึ้นมา เป็เพียงแค่กระดูกส่วนแขนเท่านั้น รอยตัดขาดไม่เรียบ ราวกับถูกอะไรบางอย่างกัดขาดไป
ชาวประมงชราใแทบหัวใจวาย ตัวสั่นเทา ยาเส้นในมือร่วงลงไปในน้ำก่อนดับลง รอบๆ ตกอยู่ในอนธการทันใด
ท่ามกลางความมืด แสงประหลาดใต้ทะเลสาบกลายเป็แหล่งกำเนิดแสงเพียงหนึ่งเดียว ใบหน้าที่ซ่อนตัวอยู่ที่ก้นทะเลสาบจึงยิ่งดูน่าขนลุก
ชาวประมงชราตัดสินใจทันที ไม่สนใจแม้แต่อวนตน คว้าไม้พายขึ้นมาพยายามพายเรือกลับเข้าฝั่ง ทว่าพายไปได้ไม่กี่ที น้ำหนักบนมือก็เบาหวิว เมื่อเขามองดูไม้พายในมือ ก็พบว่าส่วนปลายถูกอะไรบางอย่างกัดขาดไปแล้ว รอยตัดขาดไม่เรียบ เหมือนกับรอยแผลบนแขนข้างนั้นไม่มีผิดเพี้ยน
ยังไม่ทันที่เขาจะตั้งสติก็มีเสียงเสียดสีดังมาจากด้านนอกของเรือ ความเย็นยะเยียบแผ่ซ่านจากฝ่าเท้าขึ้นมา เมื่อชาวประมงชราก้มลงมองก็พบว่าเรือกำลังค่อยๆ จมลง! มีอะไรบางอย่างใต้น้ำกัดท้องเรือจนทะลุ!
ชาวประมงชราคิดจะโดดน้ำหนี แต่เมื่อนึกถึงจุดจบของเพื่อนที่ตกลงไปก่อนหน้านี้ เขาก็ต้องชะงัก ทำได้เพียงตัวสั่นเทายืนอยู่ที่ท้ายเรือ มองดูเรือค่อยๆ จมลง ก่อนที่เรือจะถูกน้ำทะเลกลืนกินไปจนหมด เขาก็เปล่งเสียงกรีดร้องเป็คราสุดท้ายในชีวิต
วันรุ่งขึ้นชาวเมืองัทมิฬต่างพูดเป็เสียงเดียวกันว่า พวกเขาตื่นขึ้นมากลางดึกเพราะได้ยินเสียงกรีดร้อง แต่ทุกคนกลับไม่ใส่ใจ ใช้ชีวิตต่อไปโดยไม่รู้เลยว่าหายนะกำลังคืบคลานเข้ามา
*****
แสงแดดเจิดจ้า เสียงจักจั่นร้องระงม
ลู่เต้าสะพายกระบี่อสูรเดินออกมาจากป่า เขายังคงคิดถึงกู่เสี่ยวอวี่อยู่ไม่เลิก ดูเหมือนว่าความในใจทั้งหมดจะเผยออกมาทางสีหน้า ไม่เป็อันฝึกวิชา จน่นี้ฝีมือไม่ก้าวหน้าขึ้นเลย
เห็นได้ชัดว่าเขากำลังเหม่อลอยจมอยู่ในห้วงความคิด ไป๋เสียที่อยู่ในร่างเห็นเข้าก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ “แค่ถูกกอดครั้งเดียว ต้องเป็ถึงขนาดนี้เลยหรือ อีกอย่างเ้าก็เปลี่ยนแปลงอนาคตไปแล้ว ในโลกนี้ไม่เพียงแต่เ้าไม่เคยถูกนางกอด เ้ากับนางยังไม่รู้จักกันด้วยซ้ำ เป็แค่คนที่เคยพบกันแวบเดียวเท่านั้น!”
เมื่อได้ยินไป๋เสียพูดเช่นนี้ ลู่เต้าได้สติกลับมาเล็กน้อย ความโศกเศร้าผุดขึ้นในใจจางๆ หัวใจพลันบีบรัด
ในชาติที่แล้ว กู่เสี่ยวอวี่ถูกจู้หลงสังหารด้วยค่ายกลโลหิตเพราะเขา แม้แต่ตัวเขาเองก็ถูกฆ่าตายด้วย แต่โชคดีที่ลู่เต้าได้รับการสืบทอดจากปฐมบรรชนวิถีอสูร ปลุก “วัฏสงสาร” ขึ้นมาได้ ด้วยความช่วยเหลือของกระบี่อสูรที่ไป๋เสียทิ้งเอาไว้ก่อนถูกผนึก ก็สามารถสังหารจู้หลงได้สำเร็จ ผนึกิญญามันไว้ในยันต์สีขาว ป้องกันไม่ให้มันก่อกรรมทำเข็ญหลังความตายได้อีก
ทว่าพลังอันแข็งแกร่งเช่นนี้ย่อมแลกมาด้วยบางสิ่งบางอย่าง ส่วนสิ่งที่ลู่เต้าต้องเสียไปในครั้งนี้ก็คือ ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับกู่เสี่ยวอวี่ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนสลายไปราวกับควันที่ไม่อาจหวนคืน
มีเพียงลู่เต้าเท่านั้นที่จดจำเื่ราวในชาติที่แล้วได้อย่างละเอียด ส่วนไป๋เสียแม้จะได้รับข้อมูลที่ไม่ครบถ้วนจากลู่เต้า แต่ด้วยสติปัญญาอันเฉียบแหลม เพียงแค่ข้อมูลเล็กน้อย เขาก็สามารถคาดเดาสถานการณ์ทั้งหมด รวมถึงหาวิธีแก้ไขได้แล้ว
ใบหน้าของลู่เต้าแดงก่ำ เห็นได้ชัดว่าพูดแทงใจดำ แต่ก็ยังปากแข็งก้มหน้ามองไปที่หน้าอกเถียงกลับ “ทะ...ทะ...ทะ...ที่ไหนกัน! จะ...จะ...เ้าพูดจาเหลวไหล!”
สายลมพัดผ่านเบาๆ ไป๋เสียปรากฏตัวขึ้นบนกิ่งไม้ มือเท้าคางเหลือบมองลู่เต้าด้วยหางตา “ถ้าเช่นนั้น ทำไมตอนเ้าฝัน ถึงเอาแต่เรียก ‘เสี่ยวอวี่’ ‘เสี่ยวอวี่’ เล่า”
ลู่เต้ากำลังจะเถียง กระบี่อสูรที่อยู่ข้างหลังกลับสั่นอย่างรุนแรง เขาเอียงศีรษะถามด้วยความประหลาดใจ “ฉิวหมัว?”
ไป๋เสียเหลือบมองกระบี่อสูรที่เขาสร้างขึ้นมากับมือก่อนจะตอบ “กระบี่อสูรกินิญญาร้ายเป็อาหาร เกรงว่าแถวนี้จะมีภูตผีก่อกวน มันถึงได้มีปฏิกิริยาเช่นนี้”
ดูเหมือนว่าลู่เต้าอยากจะหนีจากหัวข้อสนทนาเมื่อครู่ เมื่อได้ยินว่ามีภูตผีเขาก็รีบร้อนอยากจะไปจัดการทันที
แน่นอนว่าไป๋เสียไม่ได้โง่ พฤติกรรมที่เห็นได้ทนโท่ขนาดนี้ นอกจากตัวลู่เต้าเอง คงไม่มีใครหลงกล แต่ไป๋เสียไม่ได้คิดจะขัดขวางเขา เพราะ่นี้การฝึกวิชาของลู่เต้าแทบจะไม่มีความคืบหน้า ถือโอกาสนี้ให้เขาฝึกฝนทำความเข้าใจข้อบกพร่องของตัวเองก็เป็เื่ดี
บริเวณรอบๆ เมืองัทมิฬ คงไม่มีภูตผีตนไหนเก่งกาจเกินไป หากลู่เต้ารับมือไม่ไหว ยังมีเขาและกระบี่อสูรคอยช่วยเหลืออยู่ ดังนั้นเขาจึงกลับเข้าไปในร่างลู่เต้า
ลู่เต้าเดินตามการนำทางของกระบี่อสูร ยิ่งเข้าใกล้ต้นตอของรังสีอสูร กระบี่อสูรก็ยิ่งบ้าคลั่ง เกือบจะหลุดจากการควบคุมของลู่เต้าหลายครั้ง
ไม่นานนัก ทะเลสาบัทมิฬอันกว้างใหญ่ก็ปรากฏแก่สายตา น้ำในทะเลสาบสีครามใสสะอาด มีเรือประมงหลายลำกำลังทิ้งอวนจับปลา บางครั้งก็มีบัณฑิตหรือผู้มีฐานะดีดีดพิณบนเรือลำน้อย เสียงพิณอันไพเราะเสนาะหูทำให้ผู้คนรู้สึกสงบ
ส่วนเมืองัทมิฬที่ตั้งอยู่ริมทะเลสาบ ก็คึกคักไม่แพ้กัน ชาวเมืองกำลังซื้อขายปลาอยู่ที่ท่าเรือ ผู้คนเดินสวนกันไปมา บางครั้งก็มีกองคาราวานสิบกว่าคนลากเกวียนที่บรรทุกสินค้าเต็มคัน ออกเดินทางไปค้าขายยังเมืองอื่นๆ อย่างคึกคัก
“ที่นี่หรือ” ลู่เต้ามองไปรอบๆ ริมทะเลสาบ ตอนนี้ทุกอย่างดูสงบสุขดี แต่กระบี่อสูรกลับยังคงสั่นไม่หยุด ทำให้เขาอดสงสัยไม่ได้ว่ากระบี่อสูรคิดผิดหรือเปล่า
ทันใดนั้นเื้ัก็มีเสียงร้องขอความช่วยเหลืออันแ่เบา
“...ช่วยด้วย!”
