มองจากด้านนอกของหอประมูลพยัคฆ์รัตติกาลว่ามีพื้นที่กว้างขวางแล้ว ชั้นใต้ดินด้านล่างก็มีพื้นที่มากมายไปไม่แตกต่างกันเสียด้วยซ้ำ เพราะั้แ่ก้าวเท้าเข้ามาในบริเวณหนิงอ้ายก็พบว่าทั้งชั้นใต้ดินนี้มีที่คุมขังสัตว์อสูรมากมาย แน่นอนว่ากรงขังต่าง ๆ เหล่านี้ต่างถูกกำกับด้วยบทเวทย์ป้องกันและบทเวทย์ที่ใช้ข่มพลังของสัตว์อสูรโดยเฉพาะ
นอกจากนั้นยังมีกรงเหล็กขนาดน้อยใหญ่แตกต่างกันไปที่มีการจำแนกสัตว์อสูรเป็ประเภทของแต่ละปราณธาตุสังกัด ด้วยความที่ผู้ฝึกตนสามารถทำการผูกพันธะกับสัตว์อสูรซึ่งอาจจะเพียงแค่หนึ่งครั้งในชีวิต ดังนั้นการเลือกสัตว์อสูรรับใช้ดังกล่าวผู้ฝึกตนจะเลือกโดยการอิงตามปราณธาตุที่ตนเองถนัดเพื่อจะเป็ประโยชน์ในการต่อสู้ของตนเองมากที่สุด
“แล้วต้องมีพลังิญญาระดับใดกันจึงจะสามารถทำการผูกพันธะกับสัตว์อสูรได้?” หนิงอ้ายถามกลับลู่ซีไปอีกครั้ง
“ความจริงแล้วผู้ฝึกตนระดับแรกเริ่มหรือระดับก่อเกิดิญญาก็สามารถทำการผูกพันธะกับสัตว์อสูรได้แล้วขอรับ แต่เงื่อนไขคือสามารถทำได้เพียงหนึ่งครั้งเท่านั้นจนกว่าจะมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งซึ่งคือผู้ผูกพันธะหรือสัตว์อสูรได้ตายลงไป ที่สำคัญคือขึ้นอยู่กับสัตว์อสูรว่าจะยินยอมให้ผูกพันธะหรือไม่? แต่ก็มีไม่น้อยที่ผู้ฝึกตนระดับสูงจะบังคับสัตว์อสูรระดับที่ด้อยกว่าให้ยินยอมผูกพันธะกับตนก็มีให้เห็นขอรับ...” ลู่ซีเอ่ยตอบข้อสงสัย
“ท่านผู้ดูแล ไม่ทราบว่าที่นี่มีสัตว์อสูรระดับมายาหรือไม่ขอรับ?” หนิงอ้ายคิดว่าเพื่อไม่เป็การเสียเวลาในการหาสัตว์อสูรรับใช้อย่างคาดเดาก็ควรสอบถามไปให้รู้เสียเลยดีกว่า
“…” บุรุษชุดดำที่ถูกหนิงอ้ายถามนั้นหาได้ตอบสิ่งใด ร่างกายสูงใหญ่ได้หันประจันหน้ามองเด็กหนุ่มอย่างไม่ละสายตา
“ท่านผู้ดูแล คุณชายของข้าถามว่าที่นี่มีสัตว์อสูรระดับมายาหรือไม่?” ลู่ซีถามย้ำชายหนุ่มตรงหน้าไป เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายมัวแต่จดจ้องคุณชายของตน
“ไม่มี...สำหรับสัตว์อสูรระดับมายาแม้จะเป็ระดับต่ำก็ยังไม่ใช่เื่ง่ายที่จะคร่ากุมได้ นาน ๆ ครั้งเมื่อพบเจอจึงจะเปิดการประมูลสัตว์อสูรระดับนี้...” ชายหนุ่มคนดังกล่าวตอบไป โดยที่ไม่ละลายตาไปจากหนิงอ้าย ในใจคิดว่าคนผู้นี้น่าสนใจยิ่งนัก กริยาท่าทางคล้ายดั่งคุณชายน้อยที่ได้รับการอบรมจากตระกูลใหญ่ แต่กลับไม่ใช้อำนาจข่มขู่ผู้คนที่มีฐานะด้อยกว่าและให้เกียรติผู้อื่นอีกด้วย แม้จะเข้าใจฐานะของเขาผิดไปก็ตาม...
“ขอบคุณท่านขอรับ...” ลู่ซีเป็ฝ่ายตอบกลับและพยักหน้าด้วยความเข้าใจ ก่อนที่จะเดินนำหนิงอ้ายไปยังกรงขังอสูรในสังกัดปราณธาตุน้ำ เนื่องจากว่าท่านเยว่ซินมารดาของคุณชายไม่้าให้ความสามารถเกี่ยวกับปราณสุริยะธาตุของคุณชายได้รับรู้โดยทั่วไป ดังนั้นการเลือกอสูรรับใช้ในสังกัดปราณธาตุน้ำจึงเป็ทางเลือกที่ดีที่สุด
“สงสัยข้าต้องกลับเรือนมือเปล่าเป็แน่...” หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นกับลู่ซีด้วยความอ่อนใจ เพราะผ่านไปนับชั่วยามแล้วเขายังไม่ถูกใจสัตว์อสูรตัวไหนเลย
“อย่าพึ่งถอดใจ ตรงด้านในสุดยังมีสัตว์อสูรอีกกลุ่มหนึ่งที่ไม่ปรากฏทราบถึงประเภทและไม่รู้ว่าอยู่สังกัดปราณธาตุ ดังนั้นสัตว์อสูรเหล่านี้จึงรอเพียงวันเวลาที่จะขายไปทั้งสำหรับการนำไปใช้แรงงานหรือถูกขายไปยังเหลาอาหารต่างๆ ที่้าเนื้อสัตว์อสูร สนใจลองไปดูก่อนดีหรือไม่?” ชายหนุ่มที่เดินตามติดมานั้นเอ่ยขึ้นราวกับ้าหาทางออกในปัญหานี้ พร้อมกับเดินนำไปยังบริเวณกรงขังดังกล่าวที่อยู่ไปไม่ไกล
“นั่นเป็สัตว์อสูรเช่นกันนั้นรึ?” หนิงอ้ายเอ่ยถามชายหนุ่มที่คิดว่าเป็ผู้ดูแลในส่วนนี้ไปอย่างสงสัย เนื่องจากว่าตรงด้านหน้าเขามีกรงขังในนั้นมีอะไรบางอย่างยืนต้นอยู่ไม่คล้ายกับสัตว์อสูรเลยแม้เเต่น้อย
“เป็เช่นนั้น ทางผู้เชี่ยวชาญของทางหอประมูลไม่สามารถที่จะระบุได้ว่าเป็สัตว์อสูรหรือไม่...”
หนิงอ้ายมองเข้าไปก็เห็นเป็สิ่งที่คล้ายคลึงกับต้นไม้ยืนต้นไร้ใบที่มีลำต้นสูงใหญ่กว่าตัวเขาไปอีก่ตัว เมื่อมองไปยังจุดตรงกลางคล้ายกับว่าเห็นดวงตาของมันที่มองมาที่ตนด้วยความสิ้นหวังโดดเดี่ยวคล้ายกับยอมรับในโชคชะตาของตน เมื่อคิดเช่นนี้หนิงอ้ายพลันรู้สึกเ็ปอยู่ในใจอย่างบอกไม่ถูก
“ข้าตัดสินใจได้แล้ว ข้า้าซื้อสัตว์อสูรตัวนี้!!” หนิงอ้ายขอเชื่อในความรู้สึกของตนเอง พร้อมกับบอกชายหนุ่มที่ย้ายฝั่งมายืนข้างตนโดยที่ไม่ทันสังเกต
“คุณชายขอรับ! ข้าว่า...” เสียงของลู่ซีดังขึ้นด้วยความใ
“ข้าตัดสินใจดีแล้ว ต่อให้มันไม่ใช่สัตว์อสูรหรือเป็เพียงต้นไม้ธรรมดาข้าก็จะดูแลมันให้ดีที่สุด...” หนิงอ้ายยกยิ้มเล็กน้อย เพราะเนตรแห่ง์ได้ส่งข้อมูลบางอย่างให้เขารับรู้
“หากเ้า้าสัตว์อสูรตัวนี้ เช่นนั้นข้ามอบให้โดยไม่คิดเงิน...” ชายหนุ่มคนเดิมเอ่ยขึ้นพร้อมกับจ้องมองใบหน้าของหนิงอ้าย ได้ยินคำตอบอันมุ่งมั่นเขายิ่งถูกใจเด็กหนุ่มมากยิ่งขึ้นและ้าที่จะยกเ้าสิ่งนี้ให้โดยไม่คิดเงิน เพราะอย่างไรเขาก็ไม่ได้สนใจเ้าตัวนี้อยู่แล้ว
“ได้อย่างไรเล่าของซื้อของขายเช่นนี้ ท่านโปรดคิดเงินตามปกติเป็การดีที่สุด” หนิงอ้ายตอบกลับไปด้วยความเกรงใจ
หลังจากที่เด็กหนุ่มทั้งสองคนพร้อมกับสัตว์อสูรได้ออกไปจากหอประมูลพยัคฆ์คำรามแล้ว ใบหน้าเรียบนิ่งของชายหนุ่มได้ยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย พร้อมกับเอ่ยออกมาเบา ๆ
เสี่ยวไป๋ทู่ตัวน้อย ช่างน่าสนใจเสียจริง...
“นายท่าน!!” ชายหนุ่มชุดดำหันไปด้านหลังตามเสียงเรียก เห็นเป็ชายวัยกลางคนผู้หนึ่ง พินิจจากเสื้อผ้าที่สวมใส่แล้วคล้ายคลึงกับกับผู้ดูแลประจำหอประมูลแห่งนี้ เพียงแต่เนื้อผ้าที่สวมใส่เป็ผ้าเนื้อดีหายาก บ่งบอกได้ถึงฐานะไม่ธรรมดา
“ขออภัยนายท่านขอรับ ไม่ทราบว่าท่านเดินทางมาถึงแล้วจึงไม่ได้ให้การต้อนรับอย่างเหมาะสม!” ชายวัยกลางคนดังกล่าว ยกมือประสานโค้งตัวลงด้วยความนอบน้อม นายท่านผู้นี้หาใช่ผู้ที่ล่วงเกินได้
“ช่างเถอะ ข้าเพียงผ่านมาเจอสิ่งที่น่าสนใจแถวนี้เพียงเท่านั้น ของที่ข้าให้เตรียมไว้เรียบร้อยหรือไม่?” ชายหนุ่มถามกลับไป
“ทุกอย่างเรียบร้อยครบถ้วนตามที่นายท่าน้า เชิญนายท่านขึ้นไปพักผ่อนที่ชั้นห้าก่อนขอรับ” ไม่รอให้อีกฝ่ายเชื้อเชิญไปมากกว่านี้ ชายหนุ่มมุ่งตรงไปยังชั้นดังกล่าวทันที ในใจยังคงครุ่นคิดถึงเด็กหนุ่มที่พึ่งจากไปเมื่อครู่...
ใช้เวลาไม่นานจากหอประมูลพยัคฆ์รัตติกาลก็เข้าสู่เขตพื้นที่ของตระกูลจาง เมื่อมาถึงเรือนท้ายจวนก็พบว่าเยว่ซินกำลังยืนรออยู่โดยที่ใบหน้างามของอีกฝ่ายเต็มไปด้วยความเป็ห่วง แต่เมื่อเห็นว่าทุกคนปลอดภัยไร้ซึ่งรอยขีดข่วนนางจึงโล่งใจในที่สุด จากนั้นหนิงอ้ายได้เล่าเื่ราวต่าง ๆ ให้มารดาของตนได้ฟังว่าวันนี้เขาได้เลือกซื้อสิ่งใดมาบ้าง เมื่อพูดถึงสัตว์อสูรที่ได้ซื้อมาจากหอประมูล ในตอนแรกเยว่ซินก็มีท่าทีที่ไม่เห็นด้วยและ้าให้หนิงอ้ายกลับไปซื้อสัตว์อสูรตัวใหม่แทนเสีย
หนิงอ้ายได้เอ่ยปฏิเสธไปพร้อมกับให้เหตุผลไปว่าเขารู้สึกถูกชะตากับสัตว์อสูรตัวนี้และเชื่อมั่นในการตัดสินใจของตน แม้ว่าท้ายที่สุดแล้วอาจไม่สามารถผูกพันธะได้ ถึงอย่างไรเขาก็เต็มใจที่จะดูแลอีกฝ่ายให้ดีที่สุด และหนิงอ้ายจึงขอให้หวังฮุ่ยสอนตนผูกพันธะกับสัตว์อสูรโดยที่มีเยว่ซินกับลู่ซียืนให้กำลังใจอยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก
“แล้วการผูกพันธะกับสัตว์อสูรต้องทำอย่างไรหรือขอรับท่านลุงฮุ่ย??”
“นายน้อยจะต้องร่ายบทเวทย์ผูกพันธะสัตว์อสูรออกมาเสียก่อน จากนั้นจึงใช้เืของนายน้อยและสัตว์อสูรนำมาหยดในวงเวทย์ที่ได้ร่ายขึ้น แม้ไม่ได้ซับซ้อนแต่ก็ไม่ได้ง่ายดายเนื่องจากมีอักขระเวทย์เฉพาะที่ต้องออกพลังลมปราณเป็จำนวนมากในคราวเดียว แต่ข้าเชื่อว่านายน้อยสามารถจดจำและร่ายบทเวทย์นี้ออกมาได้อย่างแน่นอน”
“เช่นนั้นรบกวนท่านลุงฮุ่ยสอนข้าด้วยขอรับ...”
หนิงอ้ายใช้เวลาประมาณเกือบครึ่งชั่วยามในการศึกษาและลองร่ายบทเวทย์ผูกพันธะสัตว์อสูรนี้ และด้วยไม่รู้ว่าสัตว์อสูรที่ได้ซื้อมาเป็อสูรระดับใด ดังนั้นหวังฮุ่ยจึง้าให้หนิงอ้ายจดจำและร่ายบทเวทย์ผูกพันธะสัตว์อสูรให้ออกมาสมบูรณ์แบบที่สุดเพื่อป้องการความผิดพลาดที่ไม่ควรเกิดขึ้นมาได้ ซึ่งหนิงอ้ายคิดว่าบทเวทย์ผูกพันธะสัตว์อสูรนี้ไม่ได้มีความยุ่งยากหรือซับซ้อนมากเท่าที่คิดไว้
“ท่านลุงฮุ่ย ข้าจำบทเวทย์ผูกพันธะได้แล้วขอรับ!”
แม้จะตกตะลึงในพร์นายน้อยของตนเพราะว่าหนิงอ้ายสามารถจดจำรูปแบบของวงเวทย์นี้ได้โดยใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วยามเสียด้วยซ้ำอย่างไรหวังฮุ่ยยังคงแนะนำต่อไป “เช่นนั้นนายน้อยปล่อยพลังิญญาออกมาพร้อมกับร่ายบทเวทย์ขอรับ...”
“เข้าใจแล้ว!” หนิงอ้ายพยักหน้าตอบกลับจากนั้นจึงทำการปล่อยพลังิญญาออกมาในที่สุด
พรึบ!
รัศมีแสงสีน้ำเงินเข้มประกายได้ปรากฏตรงด้านหลังของหนิงอ้ายแสดงให้เห็นถึงระดับสูงสุดของผู้ใช้ปราณธาตุน้ำก่อนที่จะสลายหายไป ไม่รอช้าให้เสียเวลาไปมากกว่านี้หนิงอ้ายได้เริ่มร่ายบทเวทย์ผูกพันธะสัตว์อสูรออกมาด้วยสมาธิที่ตั้งมั่น เมื่อวงแหวนเวทย์ผูกพันธะได้ปรากฎขึ้นตรงพื้นยืนเป็รัศมีแสงสีทองน้ำเงินที่ล้อมรอบด้วยอักขระเวทย์ที่เปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายของความศักดิ์สิทธิ์โบราณ
จากนั้นหนิงอ้ายจึงใช้พลังลมปราณเปลี่ยนให้มีความคมดั่งมีดแล้วกรีดลงเกิดเป็หยดเืตรงปลายนิ้วแล้วหยดลงไปในวงแหวนเวทย์ดังกล่าว ก่อนที่ตรงด้านหน้าของหนิงอ้ายปรากฏเป็สัตว์อสูรรูปลักษณ์ภายนอกคล้ายกับต้นไม้โบราณไร้ซึ่งก้านใบ ความสูงในตอนนี้ถูกปรับลดลงมาเหลือขนาดประมาณสองเมตรเพียงเท่านั้น สำหรับาแต่าง ๆ ที่เขาเห็นว่าได้รับาเ็ก่อนหน้า ในตอนนี้ถูกรักษาจนหายดีแล้วเนื่องจากหนิงอ้ายสามารถประทับตราผูกพันธะได้สำเร็จตามขั้นตอนที่ถูกต้อง
ข้อมูลของสัตว์อสูรที่ปรากฏในห้วงของการรับรู้ทำให้หนิงอ้ายเข้าใจแล้วว่าเหตุใดก่อนหน้านี้ทางหอประมูลพยัคฆ์รัตติกาลหรือแม้กระทั่งผู้ฝึกตนระดับสูงที่เชี่ยวชาญยังไม่สามารถตรวจสอบสิ่งใดได้ เนื่องจากเป็เพราะความพิเศษของเผ่าพันธุ์สัตว์อสูร มหาพฤกษารัตนะทมิฬ ที่เป็สัตว์อสูรปราณธาตุไม้ที่เชี่ยวชาญในการปกป้องควบคุมเป็อย่างยิ่ง ถึงแม้ว่าสัตว์อสูรปราณธาตุไม้จะไม่นิยมนำมาผูกพันธะเนื่องจากผู้ฝึกตนส่วนมากจะมุ่งเน้นสัตว์อสูรปราณธาตุอื่นที่สนับสนุนการโจมตีได้ แต่ข้อจำกัดนี้กลับไม่ใช่สัตว์อสูรตัวนี้ที่เขาพึ่งทำการผูกพันธะไปอย่างแน่นอน
“จากนี้เป็ต้นไปเ้าจะเป็สัตว์ิญญาในพันธะหนึ่งเดียวของข้า สำหรับนามของเ้าคือ เจียวซิ่น หมายถึง ‘ความศรัทธาที่อ่อนโยน’ เ้าชอบหรือไม่?” หนิงอ้ายถามอีกฝ่ายไปเพื่อความแน่ใจ และคล้ายกับว่าเจียวซิ่นจะเข้าใจที่สิ่งหนิงอ้ายถามเพราะได้ตอบกลับด้วยการขยับส่วน่บนตัวไปหนึ่งครั้ง
“ข้าจะดูแลเ้าให้ดีที่สุดและเ้าไม่ใช่แค่อสูรรับใช้เท่านั้นเพราะเ้าจะเป็ดั่งสหายคนสำคัญของข้า เ้าก็เช่นกันนะลู่ซี...” หนิงอ้ายบอกกับเจียวซิ่นและลู่ซีไปพร้อมกันสำหรับลู่ซีนั้นเปรียบเสมือนเพื่อนคนแรกของเขาและเจียวซิ่นก็เป็อสูรรับใช้ของเขาในโลกนี้เช่นกันเมื่อลู่ซีได้ยินก็พลันตื้นตันอยู่ในใจ
“หนิงเอ๋อร์ตั้งชื่อว่าเจียวซิ่นอย่างนั้นรึ? ช่างมีความหมายที่ดีเลยทีเดียว...” เย่วซินยกยิ้มเล็กน้อยเมื่อััความสดใสที่แผ่ออกมาจนััได้ของเด็กหนุ่มในใจของนางรู้สึกขอบคุณ์และโชคชะตาที่ทำให้บุตรของนางได้กลับมามีความสุขอีกครั้ง
“เจียวซิ่นเป็สัตว์อสูรเผ่าพันธุ์มหาพฤกษารัตนะทมิฬซึ่งเป็สัตว์อสูรปราณธาตุไม้ และด้วยความพิเศษทางสายเืจึงไม่สามารถมีผู้ใดหรือบทเวทย์ใดตรวจสอบอีกฝ่ายได้เนื่องจากเจียวซิ่นมีพลังป้องกันที่แข็งแกร่งมาก ที่สำคัญคือเจียวซิ่นเป็สัตว์อสูรที่มีปราณธาตุไม้ผันแปร ซึ่งเท่ากับว่าปราณธาตุที่สามารถใช้ได้จะขึ้นอยู่กับนายแห่งพันธะที่อยู่เช่นกันขอรับ” หนิงอ้ายบอกถึงความสามารถเฉพาะของเจียวซิ่นให้กับทุกคนในที่นี้ได้ล่วงรู้ไปพร้อมกัน
“ไม่คิดเลยว่าสัตว์อสูรปราณธาตุไม้จะมากไปด้วยความสามารถเช่นนี้...” หวังฮุ่ยเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงชื่นชม ทางฝั่งของเยว่ซินกับลู่ซีต่างมีความเห็นตรงกันว่าช่างเป็โชคดีของหนิงอ้ายที่สามารถผูกพันธะกับสัตว์อสูรหายากเช่นนี้ได้
“สัตว์อสูรที่พึ่งถูกประทับตราผูกพันธะไปยังต้องใช้เวลาไม่น้อยในการปรับสมดุลในร่างกาย เช่นนั้นนายน้อยให้เจียวซิ่นกลับเข้าไปพักผ่อนในห้วงจิตเถอะขอรับ...”
“มาเถอะเจียวซิ่นเ้าต้องรีบเพิ่มระดับพลังให้เร็วที่สุดจะได้พูดคุยคลายเหงากันบ้าง” หนิงอ้ายเอ่ยด้วยรอยยิ้มก่อนที่จะเรียกตัวเจียวซิ่นให้กลับเข้าไปในห้วงจิตในทันที
“ท่านลุงฮุ่ยเเล้วการเพิ่มระดับพลังของเจียวซิ่นต้องทำอย่างไรหรือขอรับ?” หนิงอ้ายถามหวังฮุ่ยไปอีกครั้ง
“อสูรรับใช้ทุกประเภทจะมีการเพิ่มระดับพลังเช่นเดียวกันกับผู้ฝึกตนนั่นคือการดูดซับผลึกธาตุ อีกทั้งอสูรรับใช้ในพันธะจะมีการใช้ลมปราณจากร่างกายของผู้ฝึกตนผู้เป็เ้านายในการเพิ่มระดับด้วยเช่นกัน...” หวังฮุ่ยอธิบายให้หนิงอ้ายเข้าใจง่าย ๆ
หลังจากทุกอย่างเสร็จไปด้วยดีแล้วทุกคนในที่นี้จึงแยกย้ายกันไปพักผ่อนในห้องพักในเื่ของตน สำหรับหนิงอ้ายยังคงใช้เวลาทั้งคืนไปกับการดูดซับปราณฟ้าดินเหมือนดังเช่นทุกคืนที่ผ่านมา โดยที่ไม่ทันได้สังเกตว่าตลอดหลายเดือนมานี้จี้หยกทับทิมที่เขาใส่อยู่นั้นได้ส่งผลให้ความหนาแน่นของลมปราณฟ้าดินโดยรอบของเรือนท้ายจวนหลังนี้มีความเข้มข้นเป็อย่างมากหลายเท่า อีกทั้งปริมาณการดูดซับปราณฟ้าดินเหล่านี้ที่เข้าในร่างกายก็มีปริมาณที่เพิ่มมากขึ้น ด้วยเพราะต่างถูกนำไปหล่อเลี้ยงสัตว์อสูรสังกัดปราณธาตุไม้ผันแปรที่มีความลึกล้ำในสายเืพิศดาร รวมไปพลังของสายเือันแข็งแกร่งที่ยังหลับไหลอยู่ในขณะนี้แต่ก็คล้ายกับว่าอีกไม่นานก็จะตื่นขึ้นแล้วเช่นกัน..
หนิงอ้ายคอยเอาใจใส่เจียวซิ่นเฉกเช่นลูกน้อยของตนก็คงไม่เกินจริง ทั้งคอยสรรหาผลึกธาตุอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้เจียวซิ่นได้เลื่อนระดับขั้นถัดไปได้อย่างมั่นคง ด้วยพันธะระหว่างพวกเขาจึงทำให้หนิงอ้ายได้รับรู้เพิ่มเติมว่าเเท้ที่จริงเเล้วเจียวซิ่นสามารถเลื่อนระดับได้สูงสุดผันแปรไปตามระดับพลังิญญาของนายแห่งพันธะหรือตัวของหนิงอ้ายได้ เท่ากับว่าหากเขาสามารถเลื่อนระดับเป็ผู้ฝึกตนขุนนางิญญาได้เมื่อไหร่เจียวซิ่นก็จะเป็สัตว์อสูรระดับนภาขั้นกลางในทันทีเช่นกัน
“เ้าคิดว่าหากผู้ฝึกตนสามารถกินเนื้อสัตว์อสูรเพื่อเพิ่มระดับพลังิญญาได้ เช่นนั้นสัตว์อสูรเล่าสามารถทำได้บ้างหรือไม่?” หนิงอ้ายถามลู่ซีถึงความเป็ไปได้ในสิ่งที่เขาคิด
“ข้าว่าสามารถลองให้เจียวซิ่นกินดูก่อนได้ขอรับไม่เสียหายอันใดขอรับ บางทีสำหรับเ้าเจียวซิ่นที่ไม่เหมือนกับสัตรอสูรตัวอื่น ดังนั้นการเพิ่มระดับพลังก็อาจจะแตกต่างออกไปได้เช่นกัน”
“เช่นนั้นข้าขอไปตลาดเพื่อซื้อเนื้อสัตว์อสูรมาให้เจียวซิ่นนะขอรับ” ลู่ซีบอกกับหนิงอ้ายก่อนที่จะใช้วิชาตัวเบาย่างก้าวทะยานหมื่นลี้ที่ตอนนี้ใช้ได้อย่างเชี่ยวชาญ อีกทั้งลู่ซีเองก็้าทราบความลับนี้ไม่ต่างกันว่าสามารถเป็ไปได้หรือไม่
“เนื่องจากไปในเวลาค่ำเช่นนี้จึงได้ซากสัตว์อสูรระดับปฐีมาเพียงหนึ่งตัว...” ลู่ซีว่าพลางเรียกออกมาจากแหวนเก็บของของตนแล้ววางไปตรงหน้าของของเจียวซิ่น
ตรงพื้นโดยรอบของเจียวซิ่นปรากฎเป็กับดักบุปผามรณะที่ส่วนยอด้ามีลักษณะเหมือนกับส่วนประกบเปิดปิดที่เต็มไปด้วยส่วนของฟันแหลมที่ในตอนนี้ได้โน้มลงมางับร่างไร้ิญญาของสัตว์อสูรด้วยความรวดเร็ว เสียงฉีกกระชากดังขึ้นชวนให้รู้สึกดูสยองเพราะคมเขี้ยวมีความคมเป็อย่างมากสามารถตัดเนื้อเป็ชิ้นใหญ่ไปได้เพียงคำเดียว ทั้งหนิงอ้ายและลู่ซีต่างมองภาพตรงหน้าด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย ดูท่าเเล้วเ้าเจียวซิ่นดูจะชอบอาหารเช่นนี้มาก เเต่ทว่าจะส่งผลไปถึงการเลื่อนระดับขั้นถัดไปได้โดยจะเป็ไปตามที่พวกเขาคิดไว้หรือไม่ คงต้องอาศัยการให้อาหารแก่อีกฝ่ายเช่นนี้อย่างต่อเนื่องเเล้วกันจึงจะเห็นผล
“เอาละเจียวซิ่นเมื่อเ้ากินหมดแล้วเ้าเข้าไปในห้วงจิตเพื่อพักผ่อนเสีย” ส่วนของลำต้นเจียวซิ่นขยับโค้งลงเล็กน้อยแล้วหายเข้าไปในมิติจิตของหนิงอ้ายทันที…
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้