"ท่านพี่อวี้อ๋อง หวังว่าเมื่อท่านเปิดอ่านจดหมายฉบับนี้แล้วจะมีความสุข ข้าได้รับขนมจากท่าน และกินจนหมดเกลี้ยงแล้วด้วย อร่อยมาก ท่านช่างเป็ดั่งพฤกษาหยกล้อลม คิ้วเนตรดุจภาพเขียน รูปโฉมสง่างาม ดวงหน้าสำรวมอารมณ์ เป็สัตบุรุษผู้อ่อนน้อม สุขุมอ่อนโยน เป็คนดีที่สมบูรณ์เพียบพร้อม ขนมที่ส่งมาก็เหมือนกับผู้ส่งเช่นท่าน ล้วนแล้วแต่น่าทึ่ง! ขอบคุณมากนะเ้าคะ ม้วฟ ม้วฟ"
ยังวาดรูปกระต่ายน้อยอ้วนกลมหนึ่งตัวไว้ท้ายจดหมาย
อืม ดูก็รู้ว่าเป็จดหมายของเด็กน้อยที่ยังไม่โต แม้จะเขียนคำพูดที่น่าฟังออกมามากมายก่ายกอง แต่เมื่ออ่านดูแล้วกลับมีแต่ความจอมปลอมไม่มีความจริงใจอันใดเลย
อวี้อ๋องหรงจ้านกำจดหมายใบหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม "ท่านตาเคยสั่งสอนลูกศิษย์นับไม่ถ้วน กระทั่งได้เป็ฉีไท่ปั๋วพระอาจารย์ของฮ่องเต้ บิดาเป็ผู้มีพร์ความสามารถเลื่องลือไปทั่วแผ่นดิน มารดาก็ได้คะแนนสอบจบการศึกษาเป็ลำดับสองของสำนักศึกษาสตรี แต่สิ่งที่เด็กน้อยคนนี้เขียนมา กลับสะเปะสะปะจับเนื้อหาสาระอันใดมิได้"
บริวารคนสนิทเอ่ยว่า "นายท่าน คุณชายสามสกุลซูหิ้วตะกร้าใบนี้มาด้วยตนเอง ยามเอ่ยถึงจดหมายฉบับนี้ สีหน้ายังเปล่งประกายพ่ะย่ะค่ะ"
ซูซานหลางจะออกจากบ้านพอดี ย่อมจะนำของมาคืนด้วยตนเอง แต่ยังไม่ทันเข้าประตู ก็เตือนว่าในตะกร้ามีจดหมายหนึ่งฉบับ
หรงจ้านยิ้มมุมปาก แลดูงามสง่า นิ้วมือเขาเคาะเบาๆ บนจดหมาย
"เปล่งประกาย? น่าสนใจ" เขาพูดช้าๆ "ดูท่าซูซานหลางจะมั่นใจกระต่ายอ้วนตัวน้อยของตนเองน่าดู"
ภาพกระต่ายตัวนี้อ้วนพี เนื้อที่อยู่ในท้องคงจะกินได้หลายมื้อเลยกระมัง?
เขาลุกขึ้นไปเปิดหน้าต่าง หลังจากนั้นก็เช็ดมือ ครุ่นคิดสักครู่ ก็หันมาอ่านจดหมายฉบับนั้นอีก แล้วก็พึมพำกับตัวเอง "ท่านพี่อวี้อ๋อง ท่านพี่... ม้วฟ ม้วฟ คือสิ่งใด? แต่คนนับว่ามีสายตาใช้ได้ รู้จักความโดดเด่นของข้า"
บริวารคนสนิทไม่กล้าพูดแม้แต่ประโยคเดียว
หรงจ้านเงยหน้าขึ้น พร้อมกับรอยยิ้มอบอุ่นบนใบหน้า เอ่ยเสียงเบา "เห็นแก่ที่นางมีสายตา ให้ในครัวเตรียมขนมส่งไปให้นางอีกหน่อยแล้วกัน"
"พ่ะย่ะค่ะ"
หรงจ้านโบกมือ "เอาล่ะ ออกไปเถอะ อ้อ จริงสิ ่บ่ายข้าจะเข้าวัง หลังจากข้ากลับมา..." เขามองไปที่หน้าต่าง "เปลี่ยนซะ"
"พ่ะย่ะค่ะ"
หรงจ้านเก็บจดหมายไว้ในลิ้นชัก แล้วเปิดตำราอ่าน
เฉียวเยว่ไม่นึกว่าตนเองจะได้รับของอร่อยอีกครั้ง นางอุ้มตะกร้าเล็ก ถามว่า "ให้ข้าหมดเลยจริงๆ หรือ?"
"แน่นอนสิเ้าคะ นายท่านสามให้ข้าส่งมา บอกว่าส่งมาจากจวนหรงอ๋อง" อวิ๋นเอ๋อร์ตอบ
แม้ว่ากินของผู้อื่น รับของผู้อื่น จะเป็หนี้บุญคุณ แต่นางเป็ซาลาเปาน้อยจ้ำม่ำวัยห้าขวบคงไม่ต้องทำอะไรตอบแทนกระมัง เบื้องบนมีท่านปู่กับพวกท่านพ่อคุ้มศีรษะ นางแค่เป็เด็กว่านอนสอนง่ายรอคนมาป้อนอาหารก็พอ ม้วฟ ม้วฟ...
"ฉีอัน พวกเรามีของอร่อยกินแล้ว"
ฉีอันถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง "พี่ชายคนนั้นถึงจะหน้าตาดี แต่เวลายิ้ม ข้ารู้สึกว่าเขาดูน่ากลัวไม่เหมือนคนดี เฉียวเฉียว เขาคงไม่วางยาพิษพวกเราหรอกนะ? พวกเราทั้งน่ารัก เฉลียวฉลาด น่าเอ็นดู เขาคงจะไม่อิจฉาใช่หรือไม่?
ต้องบอกว่านี่คือกระต่ายน้อยขี้กลัว มักมีอาการหวาดระแวงอยู่เป็ระยะ
เฉียวเยว่เปิดตะกร้าหยิบขนมชิ้นหนึ่งยัดใส่ปาก "ไม่มีพิษ"
อวิ๋นเอ๋อร์รีบเข้ามา "ว้าย บรรพบุรุษน้อยของข้า ท่านยังมิได้เช็ดมือเลยนะเ้าคะ"
อวิ๋นเอ๋อร์รีบซักผ้ามาเช็ดมือน้อยๆ ของเฉียวเยว่ให้สะอาด หลังจากนั้นก็หยิบขนมออกมาทีละชิ้น ต้องบอกว่าขนมที่ส่งมาจากจวนหรงอ๋องดูแตกต่างจากที่อื่น ทั้งประณีตและโปร่งใส ร้านที่จะทำได้ดีเช่นนี้คงไม่มีเป็ร้านที่สองในเมืองหลวง
เฉียวเยว่นั่งแกว่งเท้าไปมา เริ่มจัดการกับอาหารเลิศรส
"พวกเ้าว่า อวี้อ๋องแอบหลงรักข้าใช่หรือไม่"
พอเด็กหญิงตัวน้อยคิดว่าตนเองมีคนมาชอบก็เขินอายหน้าแดง
ซูซานหลางแทบสะดุดอยู่หน้าประตู รู้สึกว่าตนเองคงจะตีนางน้อยเกินไป เด็กบางคนไม่สามารถโน้มน้าวด้วยเหตุผลได้ ควรต้องตี ต้องตีก้นน้อยๆ ของนาง
"แค่กๆ"
พอได้ยินเสียง เฉียวเยว่ก็ร้องเรียกบิดา มือน้อยๆ โบกไปมา "อั้นอ้อ อี้บมาเอวๆ อี้อ๋องอ่งอ๋องอินอาอีกแอ๊ว อาอ่อยอ้ากๆ (ท่านพ่อ รีบมาเร็วๆ อวี้อ๋องส่งของกินมาอีกแล้ว อร่อยมากๆ)" นางยัดขนมขนาดเท่ากำปั้นเล็กเข้าปาก จึงมีแต่เสียงดังอู้อี้ออกมา
"ไม่มีใครแย่งกับเ้าสักหน่อย นี่เ้าทำอันใด พ่อไม่ชอบของหวาน" ซูซานหลางเอ่ยขึ้น
อวี้อ๋องส่งขนมมาไม่มาก ทว่าแต่ละชิ้นล้วนงามวิจิตร ในเมืองหลวงไม่เคยมีขนมเช่นนี้
เฉียวเยว่เป็เด็กรู้มาก
"นี่ต้องเป็ขนมในท้องถิ่นจากเมืองอื่นแน่เลย พ่อครัวใหญ่ของเมืองหลวงเราไม่ทำของอร่อยแบบนี้"
ฮิๆ นางรู้เป็อย่างดี
"นี่คือขนมผีเสื้อเหมยกุ้ยเป็ขนมขึ้นชื่อของซีเหลียง"
เฉียวเยว่ร้องอ้อ ไม่ถามอะไรมาก แต่กลับมองไปที่ขนม "ข้าเดาว่าพี่สาวก็ทำไม่เป็"
ซูซานหลางหัวเราะหึๆ "พี่สาวเ้าไม่ใช่แม่ครัวทำขนม"
เอ่ยถึงพี่สาวของนาง เฉียวเยว่ก็ถามขึ้นอีก "ท่านพ่อ วันนี้ท่านไปกรมอาญาทำไมหรือ ท่านลุงหาคนร้ายที่ผลักพี่สาวได้แล้วใช่หรือไม่?"
พอได้ยินคำกล่าวนี้ ฉีอันก็รีบลุกขึ้นทำท่าทางจริงจัง
"พวกเ้าสองคนจะเป็เด็กว่านอนสอนง่ายกันไม่ได้เลยหรือ?" ซูซานหลางจนใจอย่างยิ่ง
"แต่ผู้อื่นห่วงใยพี่สาวนี่นา" เฉียวเยว่ตัดพ้อ
"ถึงอย่างไรเื่เหล่านี้ก็ไม่เกี่ยวข้องกับพวกเ้า พวกเ้ารู้เพียงว่าไม่มีใครสามารถกลั่นแกล้งพวกเ้าโดยไม่มีเหตุผล แล้วไม่ต้องถูกลงโทษ ส่วนเื่อื่นๆ เป็หน้าที่ผู้ใหญ่ พวกเ้าไม่ต้องถามมาก เป็เด็กเป็เล็ก ทุกวันอ่านหนังสือ คัดอักษร วาดภาพ ออกไปเล่น เช่นนี้ก็ดีแล้วมิใช่หรือ?" ซูซานหลางเอ่ยอย่างจริงจัง
"ดีมาก!" เฉียวเยว่พยักหน้า
นางไม่ถามอีก ได้ยินคำพูดเหล่านี้ ทางนั้นน่าจะมีผลลัพธ์ออกมาแล้ว แม้จะใช้เวลาพอสมควร แต่ก็ไม่ได้ปล่อยให้เื่ผ่านไปอย่างเงียบเชียบ สิ่งที่เฉียวเยว่กังวลที่สุดตอนนี้ก็คือเื่จะจบไปเฉยๆ เหมือนคราวท่านแม่ นั่นไม่ใช่ผลลัพธ์ที่นาง้า
่สองสามวันมานี้ฉีจือโจวค่อนข้างยุ่ง ไม่ได้มาหา เฉียวเยว่คิดถึงเขาบ้างเล็กน้อย
เฉียวเยว่ถอนหายใจ "ไม่เห็นท่านลุงหนึ่งวันเหมือนห่างกันสามฤดูสารท"
ซูซานหลางกลอกตา "เ้าหุบปากให้สนิท ข้าจะคลายกังวลไปได้อีกเยอะ"
เฉียวเยว่ยิ้มหวาน เพียงแวบเดียวก็โผเข้าไปกอดคอซูซานหลาง "ท่านพ่อ ข้ารักท่าน"
ฉีอันตัวสั่น "อี๋ น่าขนลุก"
เฉียวเยว่ชอบความน้ำเน่า ไม่ต้องพูดอะไรเยอะ ดูจากสิ่งที่นางทำก็รู้
แต่ซูซานหลางกลับชอบลูกไม้นี้ แม้ปากจะบอกว่าไม่พอใจ แต่ดวงตากลับมีรอยยิ้ม เขารักเฉียวเยว่ยายหนูน่ารักคนนี้ที่สุด
"เ้าทำตัวว่านอนสอนง่ายมีประโยชน์กว่าถ้อยคำหวานหูมากนัก" ซูซานหลางอุ้มนางมาที่โต๊ะ "พ่อขอดูภาพที่พวกเ้าวาดหน่อย"
หลังจากเห็นภาพสามภาพที่ซาลาเปาน้อยช่วยกันวาด เขาก็ถอนหายใจ "ถึงแม้ลักษณะการวาดจะดูไร้เดียงสาแบบเด็กๆ แต่ก็น่ารักและน่าสนใจมาก วิธีใช้พู่กันก็แปลกใหม่ มีความเป็เอกลักษณ์ ดีมาก พวกเ้าอายุเพียงเท่านี้ ทำได้ขนาดนี้ก็ไม่ง่ายแล้ว"
หางน้อยๆ ของเฉียวเยว่ชี้ขึ้นทันที ยิ้มอย่างมีความสุข "ข้าบอกแล้วว่าพวกเราทำได้"
พี่น้องฝาแฝดหันมาสบตา แล้วยกมือทั้งสองแปะมือกัน "เย่!"
ซูซานหลางอมยิ้ม "พวกเ้านี่!"
"อ้อ จริงสิ ท่านพ่อเ้าคะ วันนี้ตอนข้าไปคารวะท่านย่า พบท่านน้าสกุลหวังด้วยล่ะ นางได้ยินว่าพวกเรากำลังวาดภาพ บอกว่าอยากมาดู แต่ข้าปฏิเสธไป"
จะว่าไปนางก็อยู่มาหลายวันแล้วไม่กลับเสียที แม้แผนการที่วางไว้จะไม่ชัดเจน แต่ก็สามารถมองเห็นอยู่บ้าง
นางคิดจะเข้าทางไท่ไท่สามกับเด็กๆ ไท่ไท่สามเป็คนเ็า ไม่ค่อยพูดเื่สำคัญ ทุกคราที่อาจารย์ฉีมา นางก็จะไม่แนะนำ แม้ว่านางจะเอ่ยปาก แต่ไท่ไท่สามก็มักจะบ่ายเบี่ยง ด้วยเหตุนี้หวังหรูเมิ่งจึงคิดจะเปลี่ยนเป้าหมายมาที่เด็กน้อยสองคนแทน
เฉียวเยว่ไหนเลยจะไม่รู้ แต่เพียงนางไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวก็พอ
ซูซานหลางสีหน้าเยียบเย็นลงหนึ่งส่วน แต่ยังคงมีรอยยิ้ม เขาขยี้หัวบุตรสาว "เด็กๆ สนใจเื่เล่นเพียงอย่างเดียวก็พอ อย่างอื่นไม่ต้องสนใจมากนัก"
เฉียวเยว่พยักหน้า พลางหัวเราะคิกคัก "ข้าทราบเ้าค่ะ"
มิใช่ว่าหวังหรูเมิ่งไม่ดี แต่ไม่ว่านางจะดีหรือไม่ล้วนไม่เกี่ยวข้องกับพวกเขา นางอยากพบพี่ชายภรรยาเขา แต่ผู้อื่นไม่มีความคิดนี้ ในฐานะญาติ พวกเขาจะไม่จับคู่ยวนยางส่งเดช
"เฉียวเยว่เป็เด็กดีที่สุด"
ขณะที่พวกเขากำลังคุยเกี่ยวกับหวังหรูเมิ่ง หวังหรูเมิ่งก็กำลังพูดถึงพวกเขาเช่นเดียวกัน
เนื่องจากตั้งครรภ์ ไท่ไท่รองจึงนั่งพิงบนเบาะ "ข้าบอกกี่ครั้งกี่หนแล้ว เด็กสมควรตายสองคนนั้นมันไม่ได้เื่ เ้ากลับแล่นไปหาพวกเขาอยู่ได้ ไปเอาอกเอาใจเด็กพวกนั้นมีประโยชน์อันใด เ้าควรรีบตัดสินใจให้เด็ดขาด บอกฉีอิ่งซินไปตรงๆ ให้นางช่วยแนะนำให้ หากนางทำกับเ้าอย่างที่ทำกับข้า ข้าจะไปฉีกปากของนางเสีย นางแพศยาเห็นใครดีกว่าตนเองไม่ได้ ไม่เจียมตัวบ้างว่าตนเองเป็ตัวอะไร"
ไม่ว่าเมื่อไรเวลาไหน ไท่ไท่รองก็มักทำตัวไร้เหตุผลเช่นนี้เสมอ
แต่ความไม่ได้เื่ของนางก็ทำให้หวังหรูเมิ่งนึกดูแคลนในใจ เอ่ยเสียงเรียบ
"พี่สาวก็พูดไปเรื่อยเปื่อย ท่านจะฉีกปากผู้อื่นได้อย่างไร ผู้อื่นให้ท่านเข้าประตูแล้วหรือ?"
สิ้นคำกล่าวนี้ ไท่ไท่รองก็เดือดจัด "เ้าพูดเช่นนี้ได้อย่างไร ข้าเป็พี่สาวเ้านะ เ้าไม่เข้าข้างข้า กลับไปเข้าข้างพวกเขา ตอนนี้เ้ายังไม่ทันได้เป็สะใภ้ของผู้อื่น ก็ข้ามแม่น้ำรื้อสะพานเสียแล้วหรือ ไม่สำเหนียกบ้างเลยหรือว่าใครเป็คนเสนอความคิดนี้ให้แก่เ้า"
หวังหรูเมิ่งเห็นนางเป็เช่นนี้ ก็รีบเข้ามาพูดให้นางสงบลง "พี่สาว ท่านดูตนเองสิ ยังไม่ทันไรท่านก็โกรธเสียแล้ว ข้ามีความคิดเยี่ยงนั้นเสียที่ไหน ข้าเป็น้องสาวผู้ใด ข้าจะไม่รู้เชียวหรือ ไม่เข้าข้างท่าน จะให้ไปเข้าข้างพวกเขาหรืออย่างไร ข้าพูดกับท่านดีๆ ไยถึงขี้ใจน้อยไปได้ มาปั้นปึ่งตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์ ท่านน่าจะรู้ว่าพวกเขาเป็คนอย่างไร"
เดิมทีหวังหรูเมิ่งก็รู้ว่าพี่สาวใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ไม่ง่าย แต่มาไตร่ตรองดูดีๆ นี่คือจวนซู่เฉิงโหว สามีก็เป็บุตรที่เกิดจากภรรยาเอก จะย่ำแย่อย่างไรก็เป็ภรรยาที่ถูกต้อง ชีวิตจะไม่ดีสักแค่ไหนกันเชียว แต่ดูจากตอนนี้ กลับไม่ใช่สักนิดเลย
บอกได้เพียงว่า แม้จะดูดีมาก แต่กลับไม่อาจเทียบกับผู้อื่นได้เลย
ซูต้าหลางเป็ขุนนางตำแหน่งสูง ไท่ไท่ใหญ่ก็เป็สะใภ้คนโตที่มีอำนาจจัดการดูแลจวน
ซูซานหลางสูงส่งงามสง่าได้ฉายาว่าคุณชายอันดับหนึ่ง ครองตัวบริสุทธิ์ขาวสะอาด แม้แต่อนุสักคนก็ไม่มี
ไท่ไท่สามสตรีที่ถอนหมั้นมาแต่งงานใหม่กลับได้รับการทะนุถนอมจากเขาราวสมบัติล้ำค่า เห็นได้ว่าคนผู้นี้มีคุณธรรมสูงส่งสมควรแก่การยกย่อง
เมื่อเป็เช่นนี้ ก็แสดงให้เห็นชัดเจนว่าเรือนสองเองต่างหากที่ไม่ดี
พี่สาวไม่สบอารมณ์ก็มิใช่เื่แปลก
หวังหรูเมิ่งกุมมือไท่ไท่รอง กล่าวด้วยเหตุผล "พี่สาว หากข้าแสดงท่าทีโจ่งแจ้งเกินไป คนในจวนซู่เฉิงโหวก็จะไม่พอใจ มีเพียงเคลื่อนไหวโดยไม่กระโตกกระตาก แผนการถึงจะสำเร็จ"
ไท่ไท่รองขมวดคิ้ว ยังคงหัวแข็งจมอยู่กับทางตันไม่เดินออกมา
หวังหรูเมิ่งนึกรำคาญ รู้สึกว่าพี่สาวคนนี้ช่างโง่งมเหลือหลาย ไม่รู้ว่าตอนนั้นโชคดีหรืออย่างไรถึงสามารถแต่งเข้าจวนของซูเอ้อหลางได้
"ท่านลองคิดดู น้องสาวสามีของท่าน หรือคุณหนูสี่ของจวนนี้เคยคิดจะแต่งให้เสนาบดีฉี แต่ตอนนั้นนางก็ถูกปฏิเสธ หากข้าเปิดเผยวัตถุประสงค์ของตนเองอย่างโจ่งแจ้ง คนในจวนซู่เฉิงโหวจะพอใจได้อย่างไร นี่ไม่เท่ากับตบหน้าคุณหนูสี่ของพวกเขาโดยตรงหรอกหรือ?"
ไท่ไท่รองอึ้งงัน "นี่... แต่ตอนนั้นฉีจือโจวไม่ยินดีเอง เกี่ยวอันใดกับพวกเรา บุตรสาวของพวกเขาไม่ได้เื่ ต้องให้พวกเราพลอยเดือดร้อนไปด้วยหรือ?"
หวังหรูเมิ่งถอนหายใจ "พี่สาว ท่านพูดเหลวไหลอีกแล้ว"
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้