“แท้อยู่แล้ว!” หลินซย่าจื้อตอบแบบละอายใจ
หลินฟาไฉเอาตัวไปอิงสวี่ซื่อ สวี่ซื่อตอบอย่างไม่เต็มใจมากว่า “แม่อุ้มท้องเ้าสิบเดือน คนในหมู่บ้านรู้กันทั้งนั้น!”
“แต่หากข้าเป็ลูกแท้ๆ …เหตุใดเมื่อก่อน…”
“ปัดโธ่ หวั่นชิว แม่ผิดเอง ตอนท้องเ้าคิดว่าเป็ลูกชาย แต่คลอดออกมาแล้วเป็ลูกสาว เ้าก็รู้ว่าลูกสามคนแรกของบ้านเราเป็สตรีทั้งสิ้น เ้าถูกตั้งความคาดหวังไว้สูง แต่สุดท้ายความหวังกลับพังทลาย พ่อกับแม่จึงไม่พอใจ อย่างไรเสียพวกข้าก็เป็พ่อแม่ อุ้มท้องเ้ามาสิบเดือน เช็ดปัสสาวะเช็ดอุจจาระเลี้ยงเ้าจนโต เ้าจะขุ่นเคืองพ่อแม่ตัวเองไม่ได้”
“นั่นน่ะสิ อย่างไรก็คือพ่อแม่ จะโกรธแค้นไปเพราะเหตุใดเล่า”
“หากไม่มีพ่อแม่ เ้าคงไม่มีทางเติบใหญ่อย่างตอนนี้”
“พ่อแม่จะดีหรือร้ายก็ต้องเชื่อฟัง พ่อแม่เ้ายอมแตกหักกับบ้านฝ่ายแม่เ้าเพื่อปกป้องเ้า เห็นชัดว่าจริงใจกับเ้าเพียงใด เื่ในอดีตก็ให้เลิกแล้วกันไป มีลูกคนใดโกรธแค้นพ่อแม่ตัวเอง?”
เมื่อหลินซย่าจื้อพูดเช่นนี้ ชาวบ้านก็พากันเกลี้ยกล่อม
หลินหวั่นชิวยิ้มเยาะในใจ คนยืนพูดพวกนี้ย่อมไม่ปวดเอวจริงๆ [1]
ขอแค่ไม่ใช่เื่ของตัวเอง ผู้ใดก็พูดเหมือนมีศีลธรรมได้ทั้งนั้น
“แต่ข้าหน้าตาไม่เหมือนท่านพ่อเลย…” หลินหวั่นชิวพูดเสียงเบามาก ทว่าดังพอให้ได้ยิน
บอกว่าไม่เหมือนพ่อ ไม่ได้พูดถึงแม่ นี่ไม่เท่ากับสื่อว่าแม่นางแอบมีชู้หรือ?
สายตาอยากรู้อยากเห็นของชาวบ้านยิงไปที่สวี่ซื่อราวกับลูกธนู ยิงจนนางพรุนเป็ตะแกรง
สวี่ซื่อ “…”
นางจะฆ่านังเด็กเวรนี่!
คำพูดของหลินหวั่นชิวทำให้รอบด้านเงียบสงัด
ทุกคนมองนางสลับกับมองคนบ้านหลินอย่างละเอียด ว่าไปก็…ไม่เหมือนจริงๆ นั่นแหละ
หลินหวั่นชิวสังเกตสีหน้าทุกคนบ้านหลิน หลินฟาไฉหน้าดำทะมึน เห็นชัดว่าอดกลั้นต่อความโมโห สวี่ซื่อมีแววตาลนลาน หลินซย่าจื้อมีสีหน้าตื่นใกับการสืบเสาะ
แม้แต่ความลนลานในแววตาจางซื่อก็ไม่พลาดเช่นกัน
ประสาทััของร่างกายที่แข็งแรงขึ้นหลังจากใช้โอสถชำระไขกระดูกว่องไวมาก
ครอบครัวนี้ น่าสนใจ
“ผู้ใดบอกเล่า เ้าดูเถิด เ้ามีส่วนคล้ายหลินชุ่ย” จางซื่อรีบดันหลินชุ่ยไปอยู่หน้าหลินหวั่นชิว จับทั้งคู่มายืนคู่กันแล้วก็พอจะมีส่วนคล้ายจริงๆ
มิน่าเล่า นางถึงได้รู้สึกคุ้นหน้าหลินชุ่ยแปลกๆ ที่แท้ก็เช่นนี้…
แต่หลินชุ่ยเป็ลูกสาวหลินฟาไฉจริงหรือ?
หลินฟาไฉแอบมีบ้านเล็กที่อำเภอมาตลอดหลายปี ทั้งยังเห็นชัดว่าบ้านเล็กมีเงินมากกว่าหลินฟาไฉ นี่ไม่สมเหตุสมผล
หลินหวั่นชิวเก็บความสงสัยไว้ในใจ นางขอโทษจางซื่อ “ข้าเข้าใจผิดไปเอง ข้าสงสัยมาตลอดหลายปี…มิเช่นนั้นเหตุใดทั้งครอบครัวจึงใช้งานข้าราวกับสัตว์แค่คนเดียว ตอนนี้ได้มาเห็นชุ่ยเอ๋อร์ก็เบาใจลง ที่แท้ข้าไม่ใช่ลูกชู้”
หลินฟาไฉเกือบกระอักเื “เข้าใจก็ดีแล้ว เมื่อก่อนพ่อผิดเอง ตอนนี้เ้าเข้าบ้านเจียง ความเป็อยู่สุขสบาย พ่อแม่เองก็วางใจ”
สวี่ซื่อฝืนยิ้ม นางอยากกระโจนเข้าไปฉีกปากหลินหวั่นชิวให้รู้แล้วรู้รอด
มารดามันเถิด พูดไปพูดมาก็สื่อว่านางลอบมีชู้อยู่ดี!
“เอาล่ะๆ เข้างานกันเถิด ถึงจะสู้พ่อครัวที่บ้านเจียงเชิญมาจากภัตตาคารใหญ่ในอำเภอไม่ได้ แต่พ่อครัวที่เราเชิญมาก็ไม่เป็สองรองผู้ใดในตำบล”
หลินฟาไฉรีบเปลี่ยนเื่คุย เขารู้สึกว่าลูกสี่คนนี้…ยิ่งอยู่ยิ่งควบคุมยาก
ั้แ่ย้ายเข้าบ้านเจียงก็เปลี่ยนไปราวกับคนละคน
“หวั่นชิว ไป เข้าไปนั่งในห้องโถง” จางซื่อเชื้อเชิญอย่างเป็มิตร
หลินหวั่นชิวส่ายหน้า “ให้แขกที่เป็บุรุษเข้าไปนั่งในห้องโถงเถิดเ้าค่ะ ข้ากับท่านป้าบ้านหวางกับบ้านจ้าวนั่งด้านนอกเป็พอ”
จางซื่อไม่บังคับ พาพวกนางไปนั่งอย่างมีน้ำใจ คนบ้านคนอื่นๆ ใช้โอกาสนี้ทักทายหลินหวั่นชิว ฟู่เหรินบางคนสอบถามเื่ทำดอกไม้ลูกปัด
พวกนางมองว่าถ้ารับงานจากหลินหวั่นชิวได้โดยตรง เช่นนั้นจะหาเงินเพิ่มได้อีกอีแปะ
หลินหวั่นชิวไม่หักหน้าผู้ใด นางยิ้มว่า “กุ้ยเซียงรับวัสดุจากข้าโดยจ่ายเงินค้ำประกันห้าสิบตำลึง หงฮวาไม่ได้จ่าย แต่ท่านป้าสองจ้าวช่วยจ่ายให้แทน แม้จะไม่มากเท่ากุ้ยเซียงแต่ก็จ่ายมายี่สิบตำลึง”
“ใช่ พวกข้าจ่ายเงินค้ำประกัน มิเช่นนั้นลูกปัดมากมายเพียงนั้น หากทำหายขึ้นมาจะทำอย่างไร?” หวางกุ้ยเซียงรีบต่อบท นางปรึกษาเื่นี้กับหลินหวั่นชิวมาแล้ว ตอนนั้นป้าสองจ้าวก็อยู่ด้วย
“ท่านแม่…ข้าไม่เห็นรู้เลยว่าท่านจ่ายเงินค้ำประกันั้แ่เมื่อไร?” จ้าวหงฮวานั่งอยู่ข้างป้าสองจ้าว แสร้งทำเป็ถามเหมือนไม่ตั้งใจ ถามจบก็เหลือบตามองหลินหวั่นชิว
แต่หลินหวั่นชิวเคยสนใจนางที่ใดเล่า?
ก็แค่ตั๊กแตนที่อยากมีตัวตน
เพี้ยะ! ป้าสองจ้าวฟาดท้ายทอยจ้าวหงฮวา “ข้าทำกระไรต้องบอกเ้าด้วยหรือ? หากข้าไม่จ่ายเงินค้ำประกัน เ้าคิดว่าตัวเองจะได้งานนี้หรือ? คิดว่าตัวเองสุดยอดมากสิ! ข้าต้องเอาเงินในบ้านมาช่วยเ้าค้ำประกัน หากไม่ตั้งใจทำดอกไม้ลูกปัดให้ดี ข้าจะถลกหนังเ้าเสีย!”
จ้าวหงฮวาตาแดงก่ำเพราะถูกตี กัดริมฝีปากไม่พูดไม่จาด้วยความน้อยใจ ทว่าในใจโกรธแค้นป้าสองจ้าวกับหลินหวั่นชิว
“เอาล่ะ กับข้าวร้อนๆ มาแล้ว รีบกินก่อนที่จะเย็นหมด!” มีคนพูดขึ้น
บรรดาฟู่เหรินที่ถามเื่งานกับหลินหวั่นชิวพูดกระไรไม่ได้อีก เงินยังไม่ทันได้ก็ต้องจ่ายค้ำประกันก่อนยี่สิบตำลึง…พวกนางไม่มีเงินขนาดนั้น และต่อให้มีก็ไม่ทำเื่โง่เขลาเช่นนั้นเป็แน่
หากหลินหวั่นชิวยึดเงินไว้เองขึ้นมาจะทำอย่างไร?
จะไปร้องเรียนกับผู้ใดได้!
เื่นี้เป็แค่เหตุการณ์แทรกซ้อนเล็กๆ น้อยๆ ไม่นานก็ผ่านพ้นไป
ภายในงานเลี้ยง หลินหวั่นชิวรู้สึกว่ามีคนมองตัวเอง สายตาส่งมาจากห้องโถง
นางหันไปมอง สบเข้ากับดวงตาของสวีเทาพอดี
เขาดื่มสุรา เห็นหลินหวั่นชิวมองมาทางตัวเองก็จงใจแลบลิ้นเลียริมฝีปาก ท่าทางน่าสะอิดสะเอียนมาก
“หวั่นชิว เ้ากินสิ!” จางซื่อช่วยคีบอาหารให้นาง หลินหวั่นชิวค่อยๆ กิน ทุกครั้งที่คีบอาหารเข้าปากจะใช้ผ้าเช็ดหน้าบัง จากนั้นส่งอาหารที่คีบบนตะเกียบเข้าไปเก็บในกล่องสุญญากาศในช่องเก็บของบนเสียนอวี๋ที่เตรียมไว้แล้ว
“โอ้ หวั่นชิวเพิ่งย้ายไปอยู่บ้านเจียงไม่นาน แม้แต่พฤติกรรมก็เปลี่ยนไปแล้ว” มีคนในงานเลี้ยงพูดประชด
หลินหวั่นชิวยิ้ม “ต้าเหยียบ้านข้าชอบสตรีมีมารยาท ตอนเช่าบ้านในอำเภอเคยเชิญแม่นมมาอบรมโดยเฉพาะ”
พวกหวางกุ้ยเซียงเคยกินข้าวกับหลินหวั่นชิวหลายครั้งแต่ก็ไม่เคยเห็นนางทำเช่นนี้ พวกนางรู้สึกแปลกๆ ในใจแต่ก็ไม่มีผู้ใดพูดหักหน้า
ที่นางทำเช่นนี้เพราะต้องมีเหตุผลเป็แน่
จ้าวหงฮวาอยากพูด แต่เพราะป้าสองจ้าวนั่งอยู่ด้านข้าง ท้ายที่สุดก็ไม่ได้พูดกระไร
ด่าหลินหวั่นชิวในใจ จะเสแสร้งกระไรนักหนา?
แค่อยากอวดว่าหย่วนเกอดีกับนางไม่ใช่หรือไร?
ก็แค่บ่าวคนหนึ่ง ไม่ได้แต่งเข้าเป็ภรรยาที่ถูกต้องเสียหน่อย เป็แค่สาวใช้ ไม่ใช่อนุด้วยซ้ำ!
เหอะ ไว้นางมีเงินเมื่อไร นางจะแต่งตัวให้สวย จากนั้นให้พี่รองช่วยเป็พ่อสื่อไปคุยกับหย่วนเกอ…
รอให้นางแต่งเป็ภรรยาก่อนเถิด นางจะทรมานนังนี่ให้ตายไปเลย
เชิงอรรถ
[1] คนยืนพูดย่อมไม่ปวดเอว(站着说话不腰疼) เปรียบเปรยได้ว่า หากไม่อยู่ในสถานการณ์เดียวกันก็ไม่เข้าใจ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้