เจียงเฉิงเยว่เบิกตากว้างทันที อีกฝ่ายพูดอย่างจริงใจเช่นนี้ หากเขาไม่ได้ถูกตี้จวินขังเอาไว้ที่เขาฉู่อวิ๋นมานานกว่าร้อยปี เขาคงสงสัยในตนเองว่าทำเื่นี้จริง และอาจสูญเสียความทรงจำไป
เจียงเฉิงเยว่ขมวดคิ้วแน่นด้วยความร้อนใจเล็กน้อย เขากล่าวด้วยรอยยิ้มเ็าอย่างรีบร้อน “ท่านอัครเสนาบดี...ข้าคิดไม่ถึงเลยว่าท่านจะจงรักภักดีต่อาาผีผู้ทำสัญญาอยู่เื้ั...เื่มาถึงขั้นนี้แล้ว ยังไม่ยินยอมที่จะเปิดเผยสักครึ่งคำหรือ?”
อัครเสนาบดีหลิวเอ่ยด้วยความโกรธเคือง “ฉิงชางจวิน เ้าจะเล่นละครไปอีกนานเท่าใด?! คนที่ทำสัญญากับข้าเมื่อปีนั้นคือเ้า...จนกระทั่งข้าเริ่มได้รับผลสะท้อนกลับ ข้ายังขอความช่วยเหลือจากฉิงชางจวิน...ฉิงชางจวินบอกกับข้าไว้ว่าอย่างไร? เ้าบอกว่าหากเื่ราวถูกเปิดโปงแล้ว ์จะเข้ามาแทรกแซง ิญญาของเ้ากับข้าจะแหลกสลายไปด้วยกัน หากบอกกับใต้หล้าว่าเ้าเป็าาผีผู้ทำสัญญา เปิดเผยข้อมูลเท็จเพื่อทิ้งความสงสัย กวนน้ำให้ขุ่น ล้างความน่าสงสัยให้ตนเองเช่นนี้เล่าจะเป็อย่างไร...เมื่อถึงเวลาแล้ว เ้ากลับคิดหาโอกาสที่จะโยนความผิดและยัดข้อหาให้ผู้อื่นอีก... “
เจียงเฉิงเยว่รู้สึกหนาวเหน็บในหัวใจ เขารับรู้แล้วว่าตนเองติดอยู่ในกับดักอย่างแท้จริง! ผู้ที่อยู่เื้ัช่างลึกล้ำเสียนี่กระไร การกระทำนี้ได้ปิดตายเส้นทางหนีทั้งหมดของเขาแล้ว! เวลานี้นับว่าเขาค้นพบข้อสงสัย และก็เป็เขาที่ทิ้งความสงสัยเอาไว้ แม้จะพบผู้ที่อยู่เื้ั ตนเองก็จะถูกสงสัยว่า ‘ยัดข้อหา’ ั้แ่ออกจากเขาฉู่อวิ๋นเพื่อแทรกแซงในคดีนี้...นี่คือทางตัน
อัครเสนาบดีหลิวยังพูดต่อ “ยังมีภูตผีเ่าั้ที่ขังไว้ในสวนฟางชิ่น...ก็ถูกฉิงชางจวินจับไว้ให้ข้า ทั้งจงใจทิ้งตราประทับของตัวเ้าเอง ส่วนผีร้ายที่มีตราประทับซึ่งถูกคนจากสำนักเต๋าจับได้ในวันนั้น...ก็เป็เ้าที่จงใจจัดเตรียมไว้ทั้งหมดไม่ใช่หรือ?!”
ทั่วทั้งร่างของเจียงเฉิงเยว่เย็นเยียบและแข็งทื่อ ราวกับตกลงไปในหลุมพรางลึกที่มองไม่เห็นก้นบึ้ง ไร้ซึ่งทางหนี ทุกคนรอบตัวเพ่งสายตาที่เต็มไปด้วยความเ็าใส่ ใบหน้าของเจียงเฉิงเยว่ซีดเซียว ไม่อาจโต้แย้งได้
ในความเงียบเชียบนี้ เสียงทุ้มต่ำทว่าอ่อนโยนดังขึ้นในหู หลี่อวิ๋นหังเตือนเขาผ่านจิตสำนึกในเวลาที่เหมาะสม “ถามรายละเอียดให้ชัดเจน”
เจียงเฉิงเยว่ราวกับถูกปลุกให้ตื่นจากฝันร้ายที่สิ้นหวังและอับจนหนทาง ถ้อยคำที่มั่นคงของหลี่อวิ๋นหังกลับเป็ฟางเส้นสุดท้ายซึ่งช่วยชีวิตเขาที่ล่องลอยในทะเลแห่งความเป็ศัตรูและความโกรธแค้นเพียงลำพัง ไม่มีร่องรอยของความสงสัยในน้ำเสียง อีกฝ่ายไม่เหมือนกับคนเ่าั้ที่เผยความเข้าใจอย่างเหยียดหยามและคิดว่าตนเองถูกต้อง ในหัวใจของเจียงเฉิงเยว่ทั้งรู้สึกเ็ปและอบอุ่น หลังจาก่เวลาที่สิ้นหวังและตื่นตระหนกผ่านไป เขาสงบลงอย่างรวดเร็ว เริ่มทำตามคำสั่งของหลี่อวิ๋นหังบอก รีบถาม “ ‘ข้า’ ทำสัญญากับท่านอย่างไร? ทำสัญญากับท่านเมื่อใด? ตอนที่ข้าสัญญากับท่าน ‘ข้า’ มาพบกับท่านด้วยรูปลักษณ์ใด? ท่านติดต่อ ‘ข้า’ อย่างไร? ภูตผีร้ายในสวนฟางชิ่นนั้น ‘ข้า’ ลงมือด้วยตนเองหรือให้คนอื่นลงมือ? และเครื่องหมายนั้น ‘ข้า’ ประทับตราบนตัวพวกเขาอย่างไร?”
เขายิงคำถามใส่อัครเสนาบดีหลิวรัวๆ เหมือนกับะุปืนใหญ่ ทุกคนต่างรับฟังอย่างงุนงง
ผู้คนมากมายเริ่มปากมากทั้งที่ไม่รู้เื่ราว ต่างถามด้วยรอยยิ้มประชดประชัน “ฉิงชางจวินจะไม่รู้ว่าตนเองทำสัญญากับผู้คนอย่างไรเชียวหรือ?”
ใบหน้าของเจียงเฉิงเยว่เ็า เขาจ้องคนผู้นั้นอย่างโกรธเคือง ทันใดนั้นคนผู้นั้นกลับคร่ำครวญ “ฮือๆ” พร้อมทั้งจับลำคอของตนเอง เหงื่อเย็นไหลรินและเส้นเืบวมเป่ง แม้กระทั่งหายใจยังยากลำบาก ใบหน้าแดงก่ำ ริมฝีปากเม้มเข้าหากันแน่น ทำได้เพียงหอบหายใจด้วยรูจมูกทั้งสองที่ขยายอย่างสุดชีวิต ทุกคนตกตะลึงอย่างควบคุมไม่ได้
เจียงเฉิงเยว่ตกตะลึงตามไปด้วย เดาได้อย่างคลุมเครือว่านี่เป็ ‘ผลงานชิ้นเอก’ ของใคร “เซียน เซียนจวิน?”
เป็ดังที่คาด หลี่อวิ๋นหังตอบกลับสองคำอย่างเฉยเมย “หนวกหู”
“โอ้” เจียงเฉิงเยว่ยิ้มอยู่ในใจ ใบหน้ายังคงจริงจังและเ็า เขากวาดสายตามองทุกคนอย่างเยือกเย็น เตือนอย่าง้าครอบงำ “ข้าไม่ค่อยชอบให้คนที่ไม่เกี่ยวข้องพูดเื่ของคนอื่นตามอำเภอใจนัก”
ชาวสำนักเต๋าเงียบไปชั่วขณะ
เวลานี้เอง อัครเสนาบดีหลิวที่อยู่ในกลุ่มคนหยิบวัตถุชิ้นหนึ่งออกมาจากกระเป๋าลับในอกเสื้อรัดรูปอย่างผ่าเผย ชูมันขึ้นต่อหน้าผู้คน ทันทีที่เจียงเฉิงเยว่เห็น หัวใจบีบแน่นในทันที เกือบจะหยุดเต้นไปหลายจังหวะ เืทั่วร่างพุ่งพล่านไปจนถึงสมอง หลังจากนั้นสูญเสียจิตสำนึกอย่างสิ้นเชิง จิติญญาพลันสั่นสะท้าน
ในฝ่ามือของอัครเสนาบดีหลิวถือกำไลที่ฝังด้วยเงินและหยกขาววงหนึ่งซึ่งมีลวดลายเรียบง่าย “ฉิงชางจวิน...ตอนที่เ้าทำสัญญากับข้าในวันนั้น เคยให้สิ่งนี้ไว้เพื่อลบล้าง เคยบอกจะให้ข้าจัดการหากผิดสัญญา! หรือว่าจะทำเป็ไม่ใช่เื่จริงอีก?”
เจียงเฉิงเยว่เกือบจะก้าวไปข้างหน้าเพื่อแย่งมา ฉับพลันร่างกลับหยุดนิ่ง พบว่าตนเองไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ เขาะโเรียกหลี่อวิ๋นหังผ่านจิตสำนึกด้วยความขุ่นเคือง “ซ่างเซียน?!”
เสียงของหลี่อวิ๋นหังยังคงสงบราวกับไร้ระลอกคลื่น ทว่าความเร็วในการกล่าวรีบร้อนเล็กน้อย “หากก้าวไปข้างหน้าครึ่งก้าว เท่ากับยอมรับความผิดทั้งหมด”
เจียงเฉิงเยว่รีบะโ “ซ่างเซียนคงไม่ทราบ...สิ่งนี้สำคัญสำหรับข้ายิ่ง!”
หลี่อวิ๋นหังเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นความสงบนิ่งของน้ำเสียงกลับฟังดูเ็า “หากไม่เป็เช่นนั้นแล้วพาเ้าลงโอ่ง[1] จะทำอย่างไร?”
เจียงเฉิงเยว่บอกอย่างลนลาน “ลงโอ่งก็ลงโอ่งสิ! ข้าจะให้สิ่งนี้หายไปอีกไม่ได้เด็ดขาด! ท่านปล่อยข้านะ!”
เมื่อเขาเร่งรีบน้ำเสียงจึงไม่สุภาพเหมือนก่อนหน้า หลี่อวิ๋นหังไม่กล่าวอยู่เป็เวลานาน ทว่ากลับไม่ได้คลายเคล็ดวิชาเพื่อปล่อยเขาไป
หลังเห็นว่าอีกฝ่ายดูเหมือนกำลังหงุดหงิด เจียงเฉิงเยว่จึงสงบลงเล็กน้อย เรียกอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่ผ่อนคลายลง “ซ่างเซียน...ข้า...”
สุดท้ายแล้วเสียงของหลี่อวิ๋นหังไม่สงบอย่างไร้ระลอกอีกต่อไป เผยความโมโหที่อดกลั้นไว้ เขาพยายามอดทนอธิบายอย่างไม่เต็มใจนัก “ในเมื่อหยิบยกสิ่งสำคัญของเ้ามา อีกฝ่ายจะไม่ทำลายมันง่ายๆ คงรอให้เ้านายผู้อยู่เื้ันำมันมาเจรจาเงื่อนไขกับเ้าด้วยตนเอง”
เจียงเฉิงเยว่ตกตะลึง หลังจากแรงกระตุ้นยามเริ่มต้นผ่านไป จึงตกตะกอนคำพูดของหลี่อวิ๋นหังอย่างละเอียด คิดว่าสิ่งที่พูดนั้นสมเหตุสมผล เขาจึงหยุดนิ่งอยู่ที่เดิมโดยไม่เคลื่อนไหว ด้วยเหตุนี้หลังจากทุกคนเห็นว่าฉิงชางจวินผู้นั้นหวาดผวาอย่างชัดเจนชั่วขณะหนึ่ง ก่อนก้มหน้าลงอย่างเงียบเชียบอยู่ชั่วครู่ ยามที่เงยหน้าขึ้นมองอัครเสนาบดีหลิวนั้น กลับเผยความเหยียดหยามและเ็าออกมา
เจียงเฉิงเยว่ปรับสีหน้าเล็กน้อย เอ่ยอย่างเ็าท่ามกลางความวุ่นวาย “ท่านอัครเสนาบดี...ก่อนหน้านี้ข้าเคยมีกำไลเช่นนี้จริง แต่หายไปเกือบสามร้อยปีแล้ว พบของเก่าของข้าในอดีตก็สามารถพิสูจน์ได้ว่าข้าเป็าาผีที่ทำสัญญากับท่านแล้วหรือ?”
อัครเสนาบดีหลิวบอกด้วยรอยยิ้มเย้ยหยัน “ฉิงชางจวิน เ้าช่างเสแสร้งแกล้งทำจนถึงที่สุดเหลือเกิน ข้าไม่เชื่อว่าเ้าไม่สนใจมันจริงหรอก!” กล่าวจบกลับโบกมืออย่างกะทันหัน กำไลเงินหยกขาวในมือจึงเปล่งแสงสีขาว บินออกไปยังนอกเขตอาคมเป็เส้นโค้ง สำหรับอัครเสนาบดีหลิวแล้ว เขารู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับตนเองเมื่อเื่ราวถูกเปิดเผย ถึงอย่างไรก็ไม่มีอะไรจะเสียอีกแล้ว จึงไม่ยอมปล่อยาาผีผู้ทำสัญญาที่ ‘ไม่รักษาคำมั่นสัญญา’ ไว้
กำไลเงินหยกขาวหลอมด้วยเงินกับหยกขาว ใช้วัสดุทั้งสองอย่างละครึ่ง หยกนั้นช่างเปราะบาง เมื่อบินออกไปเช่นนั้นเกรงว่าอาจจบสิ้นอย่างสมบูรณ์
แววตาของเจียงเฉิงเยว่จับจ้องไปที่กำไลเงินหยกขาววงนั้นอย่างไม่ละสายตา ณ ตอนนี้เมื่อเห็นเขาสงบลงแล้ว หลี่อวิ๋นหังจึงคลายเคล็ดวิชาหยุดนิ่ง หลังเจียงเฉิงเยว่เป็อิสระจึงอดไม่ได้ที่จะพุ่งตัวบินตามกำไลหยกวงนั้นไป
่เวลานี้ ทางด้านอัครเสนาบดีหลิวและสำนักเต๋าต่างอุทานด้วยความใ จากนั้นเสียงกรีดร้องของอัครเสนาบดีหลิวกลับดังก้องไปถึงท้องฟ้า
เจียงเฉิงเยว่หมุนตัวกลับไปมอง เขาเห็นว่าเขตอาคมที่สร้างขึ้นโดยพวกไป๋เจ๋อจวินพังทลายอย่างกะทันหันโดยไม่ทราบเหตุผล เหล่าภูตผีทั้งหมดตามไปที่ดวงิญญาของอัครเสนาบดีหลิว เงาดำรายล้อมอีกฝ่ายในทันที
เจียงเฉิงเยว่ครุ่นคิดในใจ ทางด้านนั้นกำลังเสริมเขตอาคมให้แข็งแกร่งขึ้นอีกชั้นจนส่องประกายด้วยแสงสีทองเหมือนกับที่เขาคาดการณ์
หลังจากที่เขตอาคมก่อตัว เขายื่นมือออกไปจนสุดอย่างไม่สนใจ เพื่อ้าไปให้ถึงแสงสีขาวนั้นในอากาศ ทว่ากลับอยู่ห่างเพียงเสี้ยว ทั้งเขาและกำไลเงินหยกขาวตกลงสู่พื้นในเวลาเดียวกัน กำไลเงินหยกขาวเด้งขึ้นเล็กน้อยแล้วส่งเสียง ‘เปรี๊ยะ’ อย่างแ่เบา เมื่อตกลงมาอีกครั้ง ราวกับว่าได้เปิดการใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายบางอย่าง กำไลเงินหยกขาวหายไปอย่างไร้ร่องรอย เขาล้มตัวลงกับพื้นด้วยความอัปยศจนฝุ่นฟุ้งกระจาย ทว่าไม่ได้ช่วยอะไรนัก
เมื่อเห็นแสงบนปลายนิ้วของตนเองสลายไป เจียงเฉิงเยว่รู้สึกโกรธเคืองอย่างควบคุมไม่ได้ เขาทุบพื้นอย่างแรงจนกระดูกนิ้วแทบแตก! ระบายไปเล็กน้อย จากนั้นนึกถึงคำพูดของหลี่อวิ๋นหังก่อนเงียบไปครู่หนึ่ง บังคับตนเองให้กลับสู่ความสงบนิ่ง ลุกขึ้นปัดฝุ่นทั่วร่าง หมุนตัวเดินไปยังเขตอาคมที่สร้างขึ้นก่อนหน้านี้
เขากับหลี่อวิ๋นหังแยกจากกันมานานกว่าร้อยห้าสิบปี เมื่อได้พบกันอีกครั้งกลับมีสถานะเป็คนแปลกหน้า แต่เพราะความบังเอิญที่ถูกบังคับให้ร่วมมือในคดีนี้...เจียงเฉิงเยว่กลับต้องประหลาดใจกับระดับความคิดที่เข้ากันของพวกเขา ่เวลาเพียงชั่วครู่ที่เขาไม่ได้ส่งกระแสจิตกับหลี่อวิ๋นหัง ถึงอย่างนั้นกลับดูเหมือนว่าสิ่งที่หลี่อวิ๋นหังกับเขาคิดอยู่ในใจ...กลับกลายเป็พวกเขาร่วมมือกันอย่างราบรื่น เป็ป่าไผ่คู่นี้ที่ทำให้ชาวสำนักเต๋าเ่าั้ตกตะลึงจนอ้าปากค้างราวกับตุ๊กตาไก่ไม้
ไม่เข้าใจเลยจริงเชียว าาผีผู้นี้้าทำอะไรกันแน่!
สุดท้าย ไม่ว่าจะพูดอย่างไร ค่ายกลของทุกคนก็ถูกฉีกกระชากออกเมื่อครู่ หากไม่ใช่เพราะเขตอาคมของาาผีผู้นั้นที่ก่อตัวได้ทันเวลา ทุกคนอาจถูกภูตผีสังหารจนเกิดความโกลาหล ภายในใจจึงมีความซาบซึ้งอยู่เล็กน้อย อย่างไรก็ตาม เมื่อนึกได้ว่าภูตผีเ่าั้ถูกพามาโดยอีกฝ่ายจึงอดกัดฟันไม่ได้
ทุกคนยกดาบิญญาขึ้น เผชิญหน้ากับเขาเตรียมต่อสู้อย่างเต็มรูปแบบ ทว่าในใจกลับสับสนอยู่ครู่หนึ่งจึงเว้นระยะห่างเล็กน้อย หลังจากนั้นปล่อยให้เจียงเฉิงเยว่เดินเข้ามาอย่างง่ายดาย ราวกับกำลังเดินอยู่ในพื้นที่ร้าง
อันดับแรก เขาเดินไปหาอัครเสนาบดีหลิวที่นอนอยู่บนที่โล่งท่ามกลางกลุ่มคน พวกหนีรั่วหลี อิ๋นเสวี่และสวี่ฮ่วนเจ๋อกำลังปกป้องอีกฝ่ายอยู่ อัครเสนาบดีหลิวนอนหงาย ดวงตาทั้งคู่เบิกกว้าง ใบหน้าซีดขาวราวกับหวาดกลัวอย่างไม่มีสิ้นสุด แต่การแสดงออกทางสีหน้ากลับนิ่งค้างโดยสมบูรณ์
สวี่ฮ่วนเจ๋อผู้ถูกฉิงชางจวินชมเชยจากก้นบึ้งจิตใจว่าเป็ ‘คนเฉลียวฉลาด’ เงยหน้ามองาาผีผู้นี้ ราวกับรู้ว่าเขากังวลเื่อะไรในยามนี้ จากนั้นส่ายศีรษะเล็กน้อยแล้วถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ ชั่วพริบตาก็เพียงพอให้คำสาปร้อยผีกลืนใจแพร่กระจาย...อัครเสนาบดีหลิวผู้นี้ถูกเหล่าภูตผีกลืนกินดวงิญญาเสียแล้ว ิญญาจึงแตกสลายและดับสิ้น
เจียงเฉิงเยว่มีท่าทีจริงจัง ใบหน้าเ็า
“เมื่อครู่เกิดอะไรขึ้น?” เจียงเฉิงเยว่ถาม
ทุกคนงุนงงไปชั่วขณะ ก่อนได้ยินเสียงของเด็กวัยเยาว์สองสามคนเรียกชื่อคนผู้หนึ่งจากอีกด้านหนึ่ง “หมินอวี่...หมินอวี่!”
เจียงเฉิงเยว่มองไปตามเสียง กลับเห็นศิษย์หลิงเยว่เฟิงสองสามคนในชุดคลุมแม่น้ำรั่วกำลังกอดศิษย์ร่วมสำนัก ศิษย์ผู้นั้นหมดสติอยู่บนพื้นไม่ตื่นขึ้นมา
ไป๋เจ๋อจวินกับฉวีซูอยู่ข้างกายอีกฝ่ายเช่นเดียวกัน ต่างก้มตัวแล้วยื่นมือไปจับข้อมือของลูกศิษย์ พลังิญญาหลั่งไหลเข้าสู่ร่างกายของอีกฝ่าย เป็ไปได้ว่าเพื่อตรวจสอบสถานการณ์
ไม่จำเป็ต้องกล่าว เจียงเฉิงเยว่เดาได้ว่า เนื่องจากศิษย์ผู้คุ้มกันค่ายกลหมดสติไปเมื่อครู่ จึงทำให้มุมของเขตอาคมพังทลาย
ผู้ที่โอบไหล่ศิษย์ไว้ในอ้อมแขนคือฉินเหล่ยซิน ผู้ซึ่งเคยมีวาสนาได้พบกันกับเจียงเฉิงเยว่เมื่อคราวก่อน คาดว่าอีกฝ่ายเป็ผู้นำในกลุ่มองครักษ์ของไป๋เจ๋อจวิน ซึ่งขณะนี้อีกฝ่ายกำลังจ้องมองไป๋เจ๋อจวินฉวีซูด้วยใบหน้าที่เผยความกังวล “ไป๋เจ๋อจวิน หมินอวี่ไม่เป็อะไรใช่หรือไม่?”
ไป๋เจ๋อจวินฉวีซูขมวดคิ้วแน่นแล้วตอบ “เขาาเ็ที่ิญญา ยามนี้จิตใจไม่มั่นคง ต้องรีบรักษาทันที”
ทันทีที่ถ้อยคำนั้นถูกกล่าวออกมา ศิษย์หลิงเยว่เฟิงทุกคนอดกังวลไม่ได้
------------------------
[1] ลงโอ่ง หมายถึง ทำสิ่งที่ไม่ดีกับผู้อื่นไว้แล้วผลย้อนกลับมาที่ตนเอง
