“ทูลองค์ชาย ไม่ผิดจากที่พระองค์คาดเดาเลยพ่ะย่ะค่ะ ผู้ช่วยผู้ตรวจการพระนครเป็คนของเยี่ยนอ๋องจริงๆ ใน่สองวันนี้ข่าวขององค์ชายที่แพร่ออกไปในวงกว้าง รวมถึงข่าวลือที่ไปถึงพระเนตรพระกรรณฝ่าาก็เป็ฝีมือของเยี่ยนอ๋อง แน่นอนว่าภายในวังหลวงย่อมมีคนของเยี่ยนอ๋องแทรกซึมอยู่ไม่น้อย แม้แต่ราชองค์รักษ์พิทักษ์นครหลวงของฝ่าามีส่วนหนึ่งที่เป็คนของเยี่ยนอ๋องเช่นกัน รองผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์เพิ่งเข้ามารับตำแหน่งได้เพียงหนึ่งปี เบื้องหน้าดูเหมือนจะไม่มีความเกี่ยวข้องอันใด แต่เมื่อตรวจสอบอย่างละเอียดจึงพบว่ามารดาของผู้บัญชาการท่านนั้นเป็พี่น้องกับแม่นมของเยี่ยนอ๋องพ่ะย่ะค่ะ” พ่อบ้านหวางค้อมเอวประสานมือก้าวเข้ามาอย่างนอบน้อม รายงานสถานการณ์ที่อยู่ในความรับผิดชอบอย่างละเอียด
“รองผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์พิทักษ์นครหลวงก็เป็ตำแหน่งที่ไม่เลว เป็องครักษ์คาดดาบขั้นห้าเชียวนะ...” น้ำเสียงเรียบเรื่อยคล้ายถอนใจคล้ายหัวเราะ ค่อยๆ แ่ลงในตอนท้าย ทว่าจู่ๆ กลับลั่นคำสั่งเสียงหนักขึ้นอีกครั้ง “ให้ฉินิแสดงตัวให้มากขึ้นอีกหน่อย มีโอกาสก็ช่วยรวบรวมผลงานทางการทหารของเขา แล้วฝากเข้าไปในหน่วยองครักษ์พิทักษ์นครบาล และตรวจสอบรองผู้บัญชาการผู้นี้ให้ชัดแจ้ง จะเื่เล็กเื่ใหญ่ต้องรายงานให้หมด แล้วเ้าค่อยเลือกส่วนสำคัญนำมาให้ข้าพิจารณาก็พอ”
“พ่ะย่ะค่ะ บ่าวจะคัดเลือกอย่างดีที่สุดแน่นอน องค์ชาย... ่นี้มีการปรับเปลี่ยนตำแหน่งขุนนางที่รับใช้ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาทครั้งใหญ่ แม้แต่สกุลเซี่ยกับสกุลอวี้ที่อยู่ห่างไกลยังถูกคัดเลือกเข้ามา ได้ยินว่าสกุลอวี้ส่งสาวงามมาให้ท่านเ้ากรมอาญา ่นี้กำลังเป็ที่โปรดปราน ดังนั้นจึงสนิทสนมกับสกุลอวี้เป็พิเศษ ส่วนสกุลเซี่ยไม่มีสิ่งใดผิดปรกติ หลังจากมาถึงเมืองหลวงก็มีคบค้าสมาคมกับคนไม่กี่ตระกูล ไม่เหมือนอย่างสกุลอวี้ที่เข้าบ้านนั้นออกบ้านนี้ตลอดเวลาพ่ะย่ะค่ะ” พ่อบ้านหวางรายงานอีกครั้ง
เฟิงเจวี๋ยหร่านผงกศีรษะรับรู้อย่างเกียจคร้าน ปลายนิ้ววาดลงไปบนรายงานที่วางกองอยู่บนโต๊ะ แล้วเอ่ยวาจาชี้นำตามประสงค์ “เื่นี้จัดการไม่ยาก สาวงามผู้นั้นมีญาติสายตรงคนไหนที่ผูกพันเป็พิเศษก็ส่งคนไปเตือนสักหน่อยก็แล้วกัน”
“พ่ะย่ะค่ะ” พ่อบ้านหวางตอบรับด้วยสีหน้าจริงจังแล้วถอยกลับไปยืนที่เดิม
เฉินคุนซึ่งยืนอยู่ด้านหลังของเฟิงเจวี๋ยหร่านก้าวออกมา ค้อมเอวประสานมือคำนับแล้วกล่าวรายงาน “ทูลองค์ชาย เป็ดั่งที่พระองค์คาดการณ์ไว้ไม่ผิด ตำแหน่งผู้ตรวจการณ์ฝ่ายซ้ายมีโอกาสตกเป็ของฉินเจิ้ง เมื่อวานฝ่าามีราชโองการพระราชทานรางวัลให้ฉินเจิ้ง ด้วยคุณธรรมความความซื่อสัตย์เที่ยงธรรม จึงทรงพระราชทานอักษรลายพระหัตถ์ ‘เจิ้ง’[1] ให้เขาเป็พิเศษ ส่วนคนสกุลหลิงที่ฮองเฮาทรงสนับสนุนผู้นั้นคงกลัวว่าตนเองจะหมดหวัง จึงถวายจดหมายกราบบังคมทูลขึ้นมา หลังจากฝ่าาทอดพระเนตรแล้ว ก็ทรงยิ้มเยาะแล้วโยนทิ้งไว้ด้านข้าง แต่มิได้มีกระแสรับสั่งใดๆ”
เฟิงเจวี๋ยหร่านผงกศีรษะ แสงจันทร์สาดส่องจากนอกหน้าต่างทาบทอลงมาบนใบหน้าคมสันหล่อเหล่าไร้ที่ติ จนคล้ายว่าใบหน้านั้นสามารถแผ่รัศมีกำจายออกมา ดวงตาสีนิลสุกสว่างทว่าสงบนิ่ง รังสีความทะนงแผ่ซ่านทั่วร่าง รอยยิ้มที่หยักยกบนมุมปากสะท้อนกลิ่นอายของเชื้อพระวงศ์ผู้วางตนอยู่เหนือทุกสิ่ง
“ฮองเฮาทรงยื่นพระหัตถ์เข้ามามากเกินไปหน่อย เสด็จพ่อย่อมไม่พอพระทัย สกุลหลิงได้เป็ถึงหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่คู่แว่นแคว้น อีกทั้งเป็ตระกูลฝ่ายมารดาของฮองเฮา หรืออยากจะควบคุมความคิดเห็นในราชสำนักให้ได้อีก แต่ดีที่ฮองเฮานอกจากคิดถึงเื่ตระกูลของตนเองแล้วยังมีพระทัยนึกถึงเปิ่นหวางอยู่ ให้คนส่งของขวัญปลอบใจมามากมาย เดี๋ยวพรุ่งนี้ยังจะประทานของชิ้นใหญ่มาให้อีก ให้แจ้งไปว่าเปิ่นหวางถูกกักบริเวณออกไปไหนไม่ได้ รอให้ฝ่าาปล่อยตัวก่อน เปิ่นหวางจะเข้าวังไปขอบพระทัยในพระมหากรุณาธิคุณด้วยตนเอง”
เมื่อคุยเื่สำคัญจบแล้ว เฟิงเจวี๋ยหร่านก็โบกมือไล่ แต่ขณะที่บริวารทั้งสามกำลังจะออกไป จู่ๆ เขาก็กล่าวขึ้นอีก “หวางฟู่ ไปย้ายเรือนจิ่นเวยของเปิ่นหวางมาที่นี่
“องค์ชาย...” พ่อบ้านหวางอึ้งงัน เท้าหยุดชะงักและหันศีรษะกลับไปด้วยสีหน้างุนงง เรือนทั้งหลังจะให้ย้ายมาอย่างไร
“ก็กลางคืนเปิ่นหวางนอนไม่หลับ จึงอยากขึ้นมานอนบนหอสูงบ้าง” เฟิงเจวี๋ยหร่านโบกมือให้เขาหยุดพูด แล้วกล่าวต่อไป “ที่นี่ไม่เลว เปิ่นหวางชอบ ส่วนชั้นล่างสุดให้ซ่อมแซมปรับปรุงใหม่ ด้านนอกสร้างเวทีขึ้นมา ครั้งหน้าหากเปิ่นหวางอยากดูละครร้องจะได้ไม่ต้องออกไปข้างนอกอีก เสด็จพ่อจะได้ไม่ต้องเปลืองแรงมาดุด่าเปิ่นหวางบ่อยๆ”
ใบหน้าของเฟิงเจวี๋ยหร่านระบายยิ้มอ่อนๆ ดูล่องลอยเอ้อระเหย ไม่เหมือนกับเ้านายที่กำลังออกคำสั่งกับบริวาร แต่ดูคล้ายเป็การระบายความไม่พอใจที่มีต่อจักรพรรดิจงเหวินตี้เสียมากกว่า ลมโชยเบาจากหน้าต่างปัดผ่านใบหน้า พัดพาเส้นผมสีนิลพลิ้วสยายราวกับเริงระบำ ดวงตานิ่งลึกไม่เห็นก้นบึ้งส่องแสงแวววาวดุจอำพัน
“พ่ะย่ะค่ะ องค์ชาย้าให้จ้างนางรำเข้ามาในจวนอ๋องอีกหรือไม่” พ่อบ้านหวางเป็คนมีปฏิภาณไหวพริบ กวาดตามองไปในความมือดยามราตรีปราดหนึ่งก่อนจะกล่าวอย่างกระตือรือร้น เฟิงเยวี่ยกับเฉินคุนซึ่งอยู่ด้านข้างสีหน้านิ่งกลั้นหายใจ ปิดปากเงียบ
“ช่างเถอะ นางรำในจวนยามนี้ก็มีมากพอแล้ว จัดการไปตามนี้ก่อนแล้วกัน ่นี้เสด็จพ่อกำลังกริ้วเปิ่นหวาง จึงไม่อยากยั่วโทสะคนแก่สักเท่าไร พรุ่งนี้จะได้ไม่ถูกเรียกไปเทศนาอีกรอบ” เฟิงเจวี๋ยหร่านกล่าวอย่างรำคาญ
“ความจริงชมวิวเพลิงไหม้บนหอสูงแบบนี้ก็ไม่เลวเลย คืนนี้เปิ่นหวางจะนอนที่นี่ เ้าลงไปเถอะ”
อยู่ว่างๆ ก็มานั่งชมบ้านผู้อื่นไฟไหม้ มิหนำซ้ำยังตื่นเต้นถึงขั้นตัดสินใจย้ายมาชมความคึกคักที่นี่ ทั้งยังให้ดับตะเกียงเพื่อชมเพลิงไหม้อีกด้วย ไฉนเซวียนอ๋องจึงไร้สาระได้ถึงเพียงนี้ องครักษ์เงาที่เร้นกายอยู่ในความมืดมองไปยังพ่อบ้านจวนอ๋องที่ถอยออกมาจากด้านใน ทำท่าใช้ความคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะพลิ้วกายลงจากต้นไม้ใหญ่ข้างหอสูง เพียงชั่วพริบตาก็ไม่เห็นแม้แต่เงา
“องค์ชาย เป็คนของฉู่อ๋องพ่ะย่ะค่ะ ตอนนี้ไปแล้ว เกรงว่าฉู่อ๋องคงไม่วางพระทัยองค์ชาย” เฟิงเยวี่ยกับเฉินคุนมิได้ปรากฏตัวออกไป เมื่อเสียงลมพัดกระจายหายไปแล้ว เฟิงเยวี่ยก็กดเสียงต่ำกล่าวรายงาน
“เอาล่ะ พวกเ้าก็ออกไปเถอะ วันนี้เปิ่นหวางจะพักผ่อนที่นี่ พรุ่งนี้ก็ให้หวางฟู่ย้ายข้าวของของเปิ่นหวางมาที่นี่ก็พอ ในเมื่อพวกเขาอยากเห็นเปิ่นหวางเล่นสนุกไปเรื่อย โดยไม่สนใจความก้าวหน้าของชีวิต เช่นนั้นก็ให้พวกเขาได้เห็นเถิด” เฟิงเจวี๋ยหร่านหลับตาลงกล่าวเสียงเรียบ
หลังจากเฟิงเยวี่ยกับเฉินคุนรับคำสั่งแล้วก็มิได้ถอยออกไป แต่ครานี้ทั้งสองเดินไปยังห้องด้านใน เปิดประตูลับแล้วมุ่งหน้าสู่เส้นทางนั้นแทน
ภายในหอสูงเงียบสงบลง เหลือเพียงเฟิงเจวี๋ยหร่านผู้มีรูปโฉมดังปีศาจเ้าเสน่ห์นอนตะแคงหนุนหมอนปักดิ้นทองอยู่บนตั่ง เส้นผมสีดำสลวยแผ่กระจายไปบนแพรต่วนผืนหนา สีหน้าสุขสงบ แสงจันทร์ส่องกระทบใบหน้าด้านข้าง มิได้มีกลิ่นอายความหยิ่งผยอง เ้าชู้เสเพลเช่นเวลาปรกติ แต่กลับสงบเยือกเย็นอย่างน่าประหลาด นอกเหนือจากท่วงท่าเอ้อระเหยที่ยังดูคงเดิม คงยากที่จะให้ใครเชื่อว่าบุรุษหนุ่มรูปงามปานน้ำแข็งแกะสลัก จะเป็คนเดียวกับเฟิงเจวี๋ยหร่านจอมอหังการที่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ
คนบางคนก็มิได้เป็อย่างที่แสดงออกมาภายนอก แม้สิ่งที่ตาเห็นบางครั้งก็สามารถหลอกเราได้เช่นกัน...
ภายในเรือนฝูฉิงของจวนโม่
ใบหน้าของโม่เสวี่ยิ่เขียวคล้ำ สีหน้าอบอุ่นอ่อนโยนในยามปรกติถูกความเคืองแค้นบดบังจนมืดมิด
เส้นผมของนางถูกไฟเผาแหว่งหายไปหลายกระจุก มือที่วางไว้บนโต๊ะขยำผ้าเช็ดหน้าไว้แน่น ตัวสั่นเกร็งกระตุกเป็ครั้งคราว กัดฟันเข่นเขี้ยวด้วยโทสะระอุกรุ่นแต่ไร้ที่ระบาย ดวงตาฉายแววเ็าร้ายกาจ
นางไม่เต็มใจ... จะให้ยอมรับฐานะอนุภรรยาของซือหม่าหลิงอวิ๋น นางทำใจไม่ได้!
“คุณหนู...” โม่ซิ่วตัวสั่นงันงกอยู่ด้านข้าง คิดเอ่ยปากปลอบประโลม
“เ้าหุบปาก!” ใบหน้าของโม่เสวี่ยิ่แข็งกร้าว ถลึงตาดุใส่ราวกับเพิ่งสังเกตเห็นว่าในห้องยังมีผู้อื่นอยู่
ยื่นมือไปคว้าแจกันกระเบื้องเคลือบสีขาวขว้างใส่โม่ซิ่วอย่างแรง
โม่ซิ่วหลบไม่ทัน เมื่อเห็นแจกันลอยมาก็รีบกระถดกายถอยไปด้านหลัง สะดุดธรณีประตูหกล้ม แจกันลายครามชั้นดีกระแทกเข้าที่ตัวนาง ก่อนตกลงพื้นแตกเป็ชิ้นเล็กชิ้นน้อย เศษกระเบื้องบางส่วนกระเด็นมาบาดแขนจนเืไหล เมื่อเห็นโม่เสวี่ยิ่มีท่าทางเช่นนี้ โม่ซิ่วไหนเลยจะกล้ากล่าวสิ่งใด กลั้นใจคุกเข่าลง เนื้อตัวสั่นเทา ไม่รู้ว่าเพราะเ็ปหรือหวาดกลัว
“ไป! ไปบอกซือหม่าหลิงอวิ๋น หากเขาไม่แต่งข้าเป็ภรรยาเอก ข้าจะกระพือข่าวให้รู้กันทั่วเมืองหลวงเลย” โม่เสวี่ยิ่บดกรามเข้าหากัน กล่าวเน้นทีละคำ ภายใต้แสงตะเกียงหม่นมัว เส้นผมที่ถูกไฟเผาแหว่งเป็จุดๆ พันกันยุ่งเหยิง สีหน้าดำทะมึนดูอาฆาตมาดร้ายราวกับปีศาจ ความชิงชังฉายชัดในแววตา
โม่ซิ่วไหนเลยจะกล้าพูดมาก ตะกายลุกขึ้นอย่างลนลาน ใบหน้าเต็มไปด้วยความหวาดผวา ด้วยความรีบร้อนเมื่อลุกขึ้นได้ก็พลัดล้มลงไปทับเศษกระเบื้องที่พื้น แม้รู้สึกเจ็บ แต่ก็ต้องอดกลั้นประคองตัวกับกำแพงลุกขึ้นมา แล้วเดินโซซัดโซเซไปยังเรือนของเหล่าไท่ไท่
สภาพการณ์เช่นนี้ทำให้โม่ซิ่วนึกถึงวันที่คุณหนูใหญ่กลับมาจากวังหลวง ก็ดูดุร้ายน่ากลัวเยี่ยงนี้เช่นกัน โม่จิ่นที่ติดตามคุณหนูออกไปวันนั้นก็หายสาบสูญไปภายใต้สถานการณ์แบบนี้ โม่จิ่นมีความจงรักภักดีต่อคุณหนูใหญ่ยิ่งกว่าตนเองเสียอีก นางจึงไม่เชื่อเด็ดขาดว่าโม่จิ่นจะคิดอุกอาจกระทำการใดโดยพลการ และท้ายที่สุดยังให้ร้ายคุณหนูใหญ่ทำเื่ผิดศีลธรรมไร้ยางอาย
เื่นี้แม้ไม่มีใครเอ่ยถึง แต่โม่ซิ่วกลับเก็บความคิดนี้ไว้ในใจเรื่อยมา
“คุณหนูสี่เ้าคะ เื่ระหว่างคุณหนูใหญ่กับซือหม่าซื่อจื่อเป็เื่จริงแท้แน่นอนเ้าค่ะ ตอนนี้ทุกคนกำลังคุยเื่งานแต่งของคุณหนูใหญ่กับซื่อจื่อ ส่วนเื่ของคุณหนูไม่มีใครเอ่ยถึงเลย คนในจวนต่างคาดเดาว่าคุณหนูใหญ่จะต้องแต่งให้ซือหม่าซื่อจื่อแน่แล้ว เมื่อครู่แม้แต่ฮูหยินเจิ้นกั๋วโหวก็มา ยามนี้ก็ยังคุยอยู่กับเหล่าไท่ไท่ ภายในเรือนนอกจากคนที่เหล่าไท่ไท่พามาด้วย ก็มีแต่คนของคุณหนูเยี่ยนที่สามารถเข้าไปได้ จึงไม่รู้สถานการณ์ด้านในเลยเ้าค่ะ” โม่เยี่ยนสาวใช้ประจำตัวของโม่เสวี่ยฉงปาดเหงื่อเดินเข้ามารายงานต่อผู้เป็นาย
“เพล้ง!” โม่เสวี่ยฉงปาถ้วยน้ำชาลงพื้น โกรธจนเนื้อเต้น ชี้ไปทางเรือนฝูฉิงแล้วะโด่าเสียงลั่น “พี่หญิงใหญ่ก็เป็บุตรอนุ ถือสิทธิอันใดถึงได้แต่งเป็ฮูหยินซื่อจื่อของซือหม่าหลิงอวิ๋น แต่ข้ากลับเป็ได้แค่อนุภรรยา ทำมาเป็พูดดีว่าทำเพื่อข้า สุดท้ายตำแหน่งฮูหยินซื่อจื่อก็ไม่ใช่ของข้าอยู่ดี ที่แท้ก็มีแต่คนหลอกลวง นังแพศยา นังคนชั้นต่ำ!”
โม่เสวี่ยฉงโกรธจัดจนขนคิ้วตั้ง นางจะไม่คับแค้นใจได้อย่างไร ลูกอนุภรรยาเหมือนกัน แต่โม่เสวี่ยิ่ถือดีอย่างไรแค่ร่างกายัักับซือหม่าหลิงอวิ๋นก็ได้แต่งเป็ฮูหยิน ตนเองกับซือหม่าหลิงอวิ๋นมิได้มาถึงขั้นนี้เหมือนกันหรืออย่างไร
ในใจขุ่นเคืองถึงขีดสุด สีหน้าแดงก่ำ มือตบโต๊ะดังสนั่น
โม่เสวี่ยิ่ เ้าคิดจะเหยียบหัวข้าขึ้นไปเป็ฮูหยินซื่อจื่ออย่างนั้นหรือ อย่าแม้แต่จะคิด!
คืนนี้ภายในจวนโม่เกิดความชุลมุนวุ่นวายครั้งใหญ่ เ้านายของแต่ละเรือนต่างร้อนใจไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ทางเหล่าไท่ไท่ก็ตบโต๊ะผางจนถ้วยน้ำชาลายครามคว่ำลงมา
“เหล่าไท่ไท่ อย่าโมโหไปเลย เื่นี้ยังพอคุยกันได้ จวนเจิ้นกั๋วโหวก็ไม่นับว่ากระทำผิด ซือหม่าซื่อจื่อก็ทำไปเพื่อช่วยชีวิตคนจึงเกิดเื่แบบนี้ขึ้น หากพวกเราจะให้พวกเขารับผิดชอบให้ได้ ก็ต้องให้คุณหนูใหญ่แต่งไปเป็ฮูหยินซื่อจื่อ แต่ก็น่าลำบากใจอยู่ไม่น้อย ต่อไปเกรงว่านอกจวนคงจะลือกันไปว่าจวนโม่ของเราเป็พวกทำคุณบูชาโทษ ไม่สำนึกบุญคุณคน ผู้อื่นเข้ามาช่วยเหลือแท้ๆ แต่กลับใช้เพทุบายให้ผู้อื่นต้องมารับผิดชอบ” ฮวามามาหญิงรับใช้าุโประจำตัวของเหล่าไท่ไท่เป็คนมีไหวพริบ เมื่อเห็นเหล่าไท่ไท่ปัดถ้วยน้ำชาพลิกคว่ำ ก็ส่งสายตาให้สาวใช้ที่หัวไวหน่อย รีบเก็บถ้วยน้ำชาออกไป แล้วเกลี้ยกล่อมเสียงเบา
“ในจวนไม่มีนายหญิงคอยควบคุมจัดการไม่ได้จริงๆ เด็กสาวพวกนี้แต่ละคนล้วนแต่ไร้มารยาท ไร้การฝึกอบรม ตัวเองทำเสียชื่อเสียงไม่พอ ยังพาให้เยี่ยนเอ๋อร์ต้องลำบากไปด้วย ช่างเนรคุณนัก บุตรสาวหนึ่งคน สองคนล้วนคิดแต่อยากจะเป็อนุผู้อื่น ช่างสมกับที่อนุภรรยาสอนมาจริงๆ ไหนเลยจะยกขึ้นมาเชิดหน้าชูตาได้” เหล่าไท่ไท่รับถ้วยน้ำชาที่ชงใหม่มาดื่ม หวังคลายความขุ่นเคืองใจ แต่กลับถูกลวกจนต้องรีบบ้วนทิ้ง ไอโขลกจนตัวงอ
สาวใช้ทั้งรุ่นเล็กรุ่นใหญ่ต่างพากันหน้าตื่น รีบส่งน้ำเย็นให้ดื่มแล้วหยิบผ้าเช็ดปากส่งให้ ผ่านไปครู่ใหญ่เหล่าไท่ไท่จึงรู้สึกดีขึ้น หันมาถลึงตาใส่สาวใช้สองสามคนที่อยู่ข้างกาย ตวาดด้วยความโมโห “ไม่ได้เื่สักคน ออกไปให้หมด อย่ามาอยู่ขวางหูขวางตาข้า”
บรรดาสาวใช้ไหนเลยจะกล้าพูดมาก แวบเดียวก็หายไปทั้งกลุ่ม เหลือเพียงฮวามามาที่ยืนอยู่ข้างกายพูดเกลี้ยกล่อมไปก็เก็บถ้วยน้ำชาที่หกเลอะเทอะให้เรียบร้อย
..............................................................................................................
คำอธิบายเพิ่มเติม
[1] เจิ้ง มีความหมายว่า ความซื่อตรง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้