ครอบครัวของเซี่ยหงปิงมีชีวิตราวกับอยู่ในขุมนรก เซี่ยเสี่ยวหลานนั่งรถผ่านถนนร้านเสริมสวยออกมาก็เจอกับโลกคนละใบ
เฉินซีเหลียงตอนนี้ดูโทรมลงไปมาก เขาไม่มีหน้าที่จะไปเจอกับเซี่ยเสี่ยวหลาน พอเห็นเซี่ยเสี่ยวหลานมาหาก็ไม่รู้ว่าควรพูดอะไร
“พี่เซี่ย...”
เซี่ยเสี่ยวหลานยื่นบัญชีรายรับรายจ่ายคืนเขา “ฉันอ่านจบแล้ว”
เฉินซีเหลียงไม่กล้าถามเซี่ยเสี่ยวหลานว่าจะถอนหุ้นหรือไม่ เขาเพียงก้มหน้าก้มตาไม่มองหน้าเซี่ยเสี่ยวหลาน ทำเอาเธอรู้สึกไม่ชิน
“ได้ยินว่าคุณให้เงินก้อนใหญ่กับอดีตภรรยา จะกระทบกับบริษัทหรือเปล่า”
“ไม่แน่นอนครับ เงินก้อนนั้นไม่มีความเกี่ยวข้องกับบริษัท เงินนั้นเป็เงินส่วนตัวของผม พี่เซี่ย พี่หมายความว่าจะไม่ถอนหุ้นแล้วหรือครับ”
เซี่ยเสี่ยวหลานยิ้มเย็น “ถ้าตอนนี้ฉันถอนหุ้น คุณมีเงินคืนฉันหรือเปล่าล่ะ”
เฉินซีเหลียงไม่มีปัญญาคืนจริงๆ เขาเพิ่งให้เงินหลินเหม่ยเจวียนไปหนึ่งแสนหยวน แม้สองปีนี้เขาจะหาเงินได้มากก็จริง แต่เขาไม่ใช่คนผลิตธนบัตรเสียหน่อย เซี่ยเสี่ยวหลานเห็นเขาดูกล้าๆ กลัวๆ ทว่าก็ไม่คิดจะสงสาร “เฉินซีเหลียง ฉันบอกให้คุณจัดการกับปัญหาที่บ้านให้เรียบร้อยนานแล้วไม่ใช่หรือ บอกว่าอย่าปล่อยให้มันมากระทบกับการร่วมงานของเรา นี่น่ะหรือการจัดการปัญหาของคุณ?”
เฉินซีเหลียงพูดไม่ออก เขารับปากเซี่ยเสี่ยวหลานเสียดิบดี แต่หลินเหม่ยเจวียนกลับไม่ยอมให้ความร่วมมือสักนิด เฉินซีเหลียงทำได้เพียงน้อมรับคำด่าอย่างเต็มใจ
เซี่ยเสี่ยวหลานด่าเขาว่าไม่รู้จักรับผิดชอบ พอคิดถึงสิ่งที่เคออีสฺยงบอกไว้ เซี่ยเสี่ยวหลานก็ยิ่งรู้สึกโมโห
“อดีตน้องเมียของคุณเอาเงินห้าพันหยวนไปหาเฉาลิ่ว ลูกน้องของเคออีสฺยง และขอให้เขายกพวกมาสั่งสอนฉัน! ต่อไปฉันจะมาที่หยางเฉิงได้หรือเปล่า ในเมื่อมีความเสี่ยงรอฉันอยู่ตลอดแบบนี้ ไหนบอกว่าสิว่าคุณจะจัดการอย่างไร!”
เื่นี้ทำเอาเฉินซีเหลียงตกตะลึงเป็อย่างยิ่ง
น้องชายของหลินเหม่ยเจวียนจ้างคนไปสั่งสอนเซี่ยเสี่ยวหลานอย่างนั้นหรือ?
บ้าไปแล้วหรือเปล่า ถ้าเซี่ยเสี่ยวหลานเป็อะไรไป ไม่ใช่แค่น้องชายของหลินเหม่ยเจวียนเท่านั้นที่จะจบเห่ แต่อนาคตทางธุรกิจของเฉินซีเหลียงก็คงหมดหวังด้วยเช่นกัน
หน้าผากของเฉินซีเหลียงชื้นไปด้วยเหงื่อ ตอนนี้เขาอยากถือมีดไปเก็บน้องชายของหลินเหม่ยเจวียนให้มันจบๆ ไปเสียจริงๆ เขารีบหยิบมีดจากในครัวเตรียมพุ่งออกจากบ้าน ทว่าหลี่ต้งเหลียงรวบตัวเขาไว้ได้ทัน “เถ้าแก่เฉิน อย่าเพิ่งวู่วาม ใช้กำลังมันไม่ดีหรอก มีอะไรก็พูดคุยกันก่อน”
กว่าจะแย่งมีดจากมือเฉินซีเหลียงมาได้นั้นไม่ง่ายเลยทีเดียว เซี่ยเสี่ยวหลานรู้สึกว่าการกระทำนี้ของเฉินซีเหลียงมีความจริงอยู่เจ็ดส่วน อีกสามส่วนคือเขาตั้งใจแสดงให้เห็นถึงความจริงใจของเขา
ชีวิตแต่งงานที่เป็ตัวถ่วงนั้นจบลงแล้ว เซี่ยเสี่ยวหลานเองก็ไม่มีความคิดที่อยากจะถอนหุ้น แต่ที่เธอพูดออกไปเช่นนั้นก็เพราะอยากทำให้เฉินซีเหลียงเห็นถึงความสำคัญ
ตอนนี้เธอว่างสนใจคนตระกูลหลินเสียที่ไหน
ทะเลาะกับนักเลงปลายแถวอย่างน้องชายของหลินเหม่ยเจวียน เสียเวลาเปล่าโดยแท้
“พี่เซี่ย ผมขอโทษครับ ถ้าพี่อยากถอนหุ้นจริงๆ ผมจะขายทุกอย่างเพื่อเอาเงินลงทุนมาคืนให้พี่ทั้งหมด”
เซี่ยเสี่ยวหลานมองบ้านหลังนี้ที่มีสินค้ากองอยู่จำนวนไม่น้อย เฉินซีเหลียงจ้างคนมาเฝ้าร้านขายส่งของตัวเอง แต่แน่นอนว่าคงสู้ตัวเขาบริหารเองไม่ได้ มีทั้งขาดทุนและได้กำไร เพื่อร้านลูน่าเฉินซีเหลียงยอมสละอะไรไปหลายอย่าง เซี่ยเสี่ยวหลานรู้สึกว่าคนแบบนี้ถ้าไม่ประสบความสำเร็จก็คงแปลก
อย่างไรก็ตามเธอไม่ได้มาเพื่อต้อนเฉินซีเหลียงให้จนมุม เธอแค่อยากให้เฉินซีเหลียงทุ่มเทแรงกายแรงใจทั้งหมดให้กับงานก็เท่านั้น เนื่องจากเธอกลัวความคิดของเขาจะเปลี่ยนไป แล้วเงินลงทุนของโจวเฉิงจะสูญเปล่า
“เฉินซีเหลียง ปีก่อนฉันมาซื้อสินค้าที่หยางเฉิงครั้งแรก ร้านที่ตลาดขายส่งมีจำนวนไม่น้อย แต่ฉันกลับซื้อของจากร้านของคุณ นั่นอาจเป็เพราะพวกเรามีชะตาต่อกัน ตอนนั้นฉันมีเงินทุนแค่ไม่กี่ร้อยหยวน คุณคงรู้ว่าการขายเสื้อผ้าค้าปลีกนั้นได้กำไรสูง ฉันสามารถขายเสื้อผ้าค้าปลีกต่อได้ และตอนนี้ก็หาแนวทางให้กับธุรกิจนี้ได้แล้ว ฉันไม่จำเป็ต้องเสี่ยงทำแบรนด์เสื้อผ้ากับคุณเลยด้วยซ้ำ”
เฉินซีเหลียงพยักหน้ารับ
เขาขายส่ง เซี่ยเสี่ยวหลานขายปลีก ธุรกิจของทั้งคู่ล้วนสามารถทำกำไรได้
แต่ถ้าอยากสร้างแบรนด์เสื้อผ้าโดยเริ่มต้นจากศูนย์ มีหรือที่จะสบายเหมือนการทำธุรกิจก่อนหน้านี้
ขนาดพี่เขยยังไม่เชื่อใจเขา ทว่าเซี่ยเสี่ยวหลานกลับยอมเอาเงินมาร่วมลงทุนกับเขา ให้เขาถือหุ้นหลัก ทั้งยังให้เขาเป็คนบริหารจัดการบริษัท นี่ไม่ใช่แค่เพราะความเชื่อใจ แต่รวมถึงเชื่อในความสามารถของเขาอีกด้วย
สุดท้ายเป็อย่างไรเล่า เขาดันปล่อยให้เกิดเื่น่าอับอายเช่นนี้ขึ้นเสียได้
“ฉันรู้จักกับคุณมาหนึ่งปีกว่า ร่วมงานกันอย่างราบรื่นมาโดยตลอด ดังนั้นตอนนี้ฉันจะยังไม่ถอนหุ้น แต่ในอนาคตฉันสามารถขอสิทธิ์ในการถอนหุ้นได้ทุกเมื่อ หวังว่าคุณจะไม่ทำให้ฉันผิดหวัง”
เฉินซีเหลียงรู้สึกดีใจมาก
สิ่งที่เข้า้าไม่ใช่แค่เงินทุนของเซี่ยเสี่ยวหลาน แต่รวมถึงการชี้นำทิศทางของเธอด้วย สำหรับการสั่งผลิตสินค้า เฉินซีเหลียงยังคงตัดสินใจด้วยตัวเองไม่ได้
“เื่ออกแบบเสื้อผ้าเธอเชี่ยวชาญมากกว่าฉัน ดังนั้นเื่รูปแบบของเสื้อผ้าฉันจะไม่ก้าวก่าย ทว่าการทำแบรนด์จะอาศัยแค่แบบเสื้อที่โดดเด่นแค่หนึ่งถึงสองตัวไม่ได้ คุณภาพจะต้องดี และสามารถจับหัวใจของผู้บริโภคเอาไว้ให้ได้ รวมถึงต้องมีการประชาสัมพันธ์... วันนี้คือวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ห่างจากวันที่ 19 กุมภาพันธ์ที่ทางสถานีโทรทัศน์กลางจะถ่ายทอดสดงานเฉลิมฉลองวันตรุษจีนอีกสี่วัน ถ้าคุณอยากเปิดร้านทั้งสองสาขาหลังปีใหม่ ไม่ว่าจะใช้วิธีไหน คุณจะต้องทำให้พิธีกรหรือไม่ก็นักแสดงที่จะร่วมงานชุนหว่าน [1] สวมเสื้อผ้าสตรีของ Luna ออกอากาศให้ได้! นี่คือเื่ที่หนึ่ง เื่ที่สองคือต้องถ่ายภาพตอนที่พวกเธอใส่เสื้อผ้าของเราในรายการเอาไว้ และจะต้องติดต่อกับบรรณาธิการนิตยสารหรือนักข่าวให้เรียบร้อย เพื่อที่บนหน้าหนังสือพิมพ์และนิตยสารฉบับแรกในวันตรุษจีนจะได้มีข่าวของร้าน Luna สาขาหยางเฉิงและสาขาถนนซีตัน ณ กรุงปักกิ่ง!”
เวลาสามวัน ต้องเอาเสื้อผ้าของ Luna ส่งไปให้พิธีกรหรือไม่ก็นักแสดงสวมไปร่วมงานชุนหว่าน?
นี่แค่เื่แรกเท่านั้น เขายังต้องทำให้นักข่าวลงข่าวการเปิดร้าน พร้อมแนบรูปภาพพิธีกรหรือดาราตอนใส่ชุดของ Luna ประกอบเนื้อข่าวอีกด้วยอย่างนั้นหรือ?
แน่นอนว่าเฉินซีเหลียงรู้จักการโฆษณา แต่วิธีการที่เซี่ยเสี่ยวหลานบอกมานั้นเหมือนจะไม่ใช่การลงโฆษณาแม้แต่น้อย
วิธีการโฆษณาและการปั่นกระแสไปพร้อมกันนั้นทำให้เฉินซีเหลียงคิดตามไม่ทัน
ถ้าทำตามแผนการของเซี่ยเสี่ยวหลานจะเป็อย่างไร?
เฉินซีเหลียงใจเต้นแรงขึ้นมาทันที ด้วยวิธีการนี้ Luna คงโด่งดังในชั่วพริบตา!
“พวกเราจำเป็ต้องติดต่อกับหนังสือพิมพ์ของปักกิ่งและหยางเฉิง...”
เฉินซีเหลียงพึมพำ เซี่ยเสี่ยวหลานพยักหน้า “ใช่ เพราะพวกเรามีหน้าร้านแค่สองที่นี้”
การประชาสัมพันธ์ที่มากเกินไปคือการสิ้นเปลือง ตอนนี้ Luna ยังไม่ถึงขั้นที่จะต้องประชาสัมพันธ์ไปทั่วประเทศ แต่การเป็ผู้สนับสนุนเครื่องแต่งกายให้กับชุนหว่านคือเื่ที่เหมาะสม เพราะอิทธิพลของรายการชุนหว่านจะเป็การประชาสัมพันธ์ให้มีผู้ติดตามเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
ยิ่งคิดเฉินซีเหลียงก็ยิ่งตื่นเต้น เขาอยากนั่งเครื่องบินไปปักกิ่งเสียตอนนี้เลย
เหลืออีกแค่สามวัน เขาจะสามารถทำเื่นี้ให้สำเร็จได้หรือไม่?
เซี่ยเสี่ยวหลานเองก็ไม่ทราบเช่นกัน
ที่เซี่ยเสี่ยวหลานไม่บอกความคิดนี้ไปั้แ่แรก เพราะยังไม่เห็นแบบเสื้อของ Luna ถ้าเสื้อผ้าหน้าตาอัปลักษณ์เกินไป การออกรายการชุนหว่านคงเป็การทำลายภาพลักษณ์ของแบรนด์เสียมากกว่า และหากเป็เช่นนั้น Luna คงต้องรอโอกาสแล้วค่อยๆ พัฒนาไปอย่างช้าๆ
แต่ตอนนี้เซี่ยเสี่ยวหลานคิดว่าแบบเสื้อผ้านั้นสวยใช้ได้ สมควรให้เฉินซีเหลียงลองดูสักตั้ง
แน่นอนว่าถ้าสำเร็จก็คงดี แต่ถ้าไม่สำเร็จก็ไม่กระทบกับแผนการเปิดร้านของทั้งสองคนแต่อย่างใด อย่างมากก็แค่เปิดร้านไปก่อน แล้วค่อยหาทางโฆษณาใหม่ภายหลัง!
ตอนนี้ใกล้ถึงตรุษจีนแล้ว เดิมที Luna ต้องรอจนผ่านตรุษจีนไปก่อนถึงจะสั่งผลิตเสื้อผ้าได้ เซี่ยเสี่ยวหลานจึงสั่งให้เฉินซีเหลียงเอาแบบเสื้อไปด้วย เื่ขนาดเสื้อผ้านั้นไม่จำเป็ต้องกังวลมากไป สหายหญิงยุคนี้ผอมเพรียวจนน่าอิจฉา ส่วนมากล้วนใส่ไซซ์ M กันทั้งนั้น
เฉินซีเหลียงเก็บเสื้อผ้าตัวอย่างทั้งหมดในห้องจัดแสดงอย่างรวดเร็ว และพาช่างออกแบบหญิงขึ้นเครื่องไปด้วยกัน
“ขอให้สำเร็จนะ!”
เซี่ยเสี่ยวหลานโบกมือลา ในขณะที่เฉินซีเหลียงตื่นเต้นจนเนื้อที่แก้มสั่นไปหมด
“ไม่ครับ พวกเราจะต้องประสบความสำเร็จแน่นอน พี่เซี่ย พวกเราจะต้องทำสำเร็จ!”
เชิงอรรถ
[1] ชื่อย่อของรายการถ่ายทอดสดงานเฉลิมฉลองคืนส่งท้ายปีเก่าเพื่อต้อนรับวันตรุษจีนของสถานีโทรทัศน์ CCTV