เดิมทีเหยาเชียนเชียนกำลังมองหาแมวดําไปทั่วสวน หลังจากนั้นก็เห็นเป่ยเหลียนโม่พาทหารเข้ามา เขามีสีหน้าจริงจัง ทำให้นางต้องหยุดความเคลื่อนไหวอย่างห้ามไม่ได้
“ท่านอ๋อง...”
“ค้น” เป่ยเหลียนโม่กล่าวเสียงเรียบ จากนั้นองครักษ์ที่อยู่ข้างหลังก็เริ่มลงมือค้นทันที พวกเขาค้นทั้งข้างนอกและข้างในเรือนอย่างรวดเร็วและเป็ระเบียบ กระทั่งที่บางคนพลิกค้นถึงพุ่มดอกไม้ในสวน
เหยาเชียนเชียนทั้งโกรธเคืองทั้งขบขัน ครั้งที่แล้วเขาค้นเอาคลังสมบัติน้อยของนางไปจนเกลี้ยง เหตุใดต่อมาถึงยังวางแผนตรวจสอบอีกครั้งเป็ระยะๆ อีกเล่า?
“ท่านอ๋อง พระองค์ทรงหาอะไรอยู่หรือเพคะ หม่อมฉันไม่มีเงินแล้วจริงๆ พระองค์ดูสิ สิ่งของที่จัดวางอยู่ในเรือนแห่งนี้ล้วนเป็สิ่งของที่พระองค์พระราชทานให้ ถึงจะผ่านมาเนิ่นนานเพียงนี้แล้ว แต่หม่อมฉันก็ไม่มีเครื่องประดับใดๆ เพิ่มเติมเลย ไม่สามารถช่วยเหลือเหล่าทหารของเป่ยจิ้งได้แล้วจริงๆ เพคะ”
ชิงผิงอ๋องเกือบจะสะกดกลั้นมุมปากไว้ไม่อยู่ ภาพตรงหน้าคล้ายกับว่าเขามองเห็นนางมีน้ำตาคลอหน่วย ท่าทางน่าสงสารด้วยรู้สึกอาลัยอาวรณ์ในทรัพย์สิน ทว่าไม่กล้าพูดออกมา
“วันนี้หวังเฟยไปที่ห้องหนังสือของเปิ่นหวังมาใช่หรือไม่”
เหยาเชียนเชียนพยักหน้า นางไปมาจริงๆ เดิมทีตั้งใจจะไปขอเขาคืนดีอย่างไรเล่า นางก้าวเนิบๆ ไปถึงข้างกายเขาและยิ้มอย่างประจบประแจง
“หม่อมฉันมีเื่อยากคุยกับท่านอ๋องเพคะ แต่บังเอิญท่านอ๋องไม่อยู่ หม่อมฉันก็เลยกลับมาก่อน หากท่านอ๋องค้นเสร็จแล้วและยังพอมีเวลา เช่นนั้นนั่งกับหม่อมฉันที่นี่สักครู่ได้หรือไม่ หม่อมฉันมีเื่้าจะคุยกับท่านอ๋องจริงๆ เพคะ”
เป่ยเหลียนโม่มองนางอย่างเงียบเชียบด้วยแววตาซับซ้อน “เปิ่นหวังย่อมมีเวลาอยู่แล้ว”
พอสิ้นเสียงของเขาก็พลันได้ยินเสียงร้องใของอวี่เหลียนเอ๋อร์ นางพยายามดิ้นรนทั้งที่ถูกจับกุมตัวไว้ จากนั้นองครักษ์นายหนึ่งก็ประคองสิ่งของที่ห่อหุ้มด้วยผ้าลายปักเข้ามาส่งมอบให้ตรงหน้าเป่ยเหลียนโม่อย่างนอบน้อม
“ท่านอ๋อง พบแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
สิ่งใดกัน เหยาเชียนเชียนรู้สึกประหลาดใจ บนผ้าผืนนั้นมีดินเปรอะเปื้อน หรือก่อนหน้านี้มีคนนำสมบัติล้ำค่ามาฝังไว้ที่นี่โดยที่นางไม่รู้หรือ?
นางสูญเสียเงินจำนวนมหาศาลไปอีกแล้ว!
“หวังเฟยรู้จักของสิ่งนี้หรือไม่?” เป่ยเหลียนโม่เอ่ยถามเสียงเรียบ
เหยาเชียนเชียนส่ายหน้าตามความเป็จริง ต้องไม่รู้จักแน่นอนอยู่แล้ว นางไม่ได้เป็คนฝังไว้เองด้วยซ้ำ
“หวังเฟยไม่รู้สึกคุ้นตาผ้าลายปักนี้เลยหรือ” เป่ยเหลียนโม่หยิบผ้าขึ้นมา เผยให้เห็นภาพอันประณีตงดงามบนนั้น “นี่เป็ฝีปักของหวังเฟย แต่หวังเฟยกลับจำไม่ได้เสียเอง”
เหยาเชียนเชียนคิ้วกระตุก กล่าวด้วยความสัตย์จริง นางยากจะเข้าใจได้ว่าเหตุใดฝีมือการเย็บปักของคนผู้หนึ่งถึงสามารถแยกแยะออกได้ว่าเป็ของผู้ใด นางดูแล้วก็เหมือนกันหมด มีเพียงสองตัวเลือกนั่นคือสวยและไม่สวยเท่านั้น
“สิ่งนี้...อะแฮ่ม” นางกลืนน้ำลายอึกหนึ่ง “ท่านอ๋อง ครั้งที่แล้วพระองค์ก็ค้นทั่วทุกที่แล้วไม่ใช่หรือ หากหม่อมฉันมีสมบัติก็ไม่ถึงขั้นต้องนำไปฝังในสวนเลยนะเพคะ หากลืมไปแล้วจะทำอย่างไร อีกทั้งยังมีหนูขุดโพรงไว้อีก หากถูกพวกมันลากเอาไปจะไม่ขาดทุนยิ่งกว่าเดิมหรือ”
นางยิ้มหยัน “เพราะฉะนั้นอาศัยเพียงผ้าผืนนี้ก็ไม่สามารถกล่าวได้ว่าหม่อมฉันเป็คนฝัง บางทีคนที่อาศัยอยู่ก่อนหน้านี้อาจเป็คนฝังไว้และลืมไปแล้วก็ได้เพคะ”
เป่ยเหลียนโม่อยากถามนางเหลือเกินว่าในคราแรกที่เขาริบเงินเ่าั้ไปมันส่งผลกระทบต่อนางอย่างรุนแรงมากเลยหรือ?
คาดไม่ถึงว่านางยังแยกแยะสถานการณ์ปัจจุบันได้ไม่ชัดเจนอีก หากเพียงเพื่อสมบัติเล็กๆ น้อยๆ เช่นนั้นแมวดําก็สามารถเอาออกมาได้เช่นกัน ดังนั้นเหตุใดเขาจะต้องใช้วิธีการเข้ามาอย่างครึกโครมเช่นนี้?
“ห้องหนังสือของเปิ่นหวังถูกปล้น และมีของล้ำค่าถึงชีวิตหายไป” เป่ยเหลียนโม่คลี่ผ้าลายปักออกมา ข้างในคือแผนที่จัดวางกำลังคุ้มกันนครหลวงที่หายไป “หวังเฟยจะอธิบายเื่นี้อย่างไร?”
เหยาเชียนเชียนขมวดคิ้วมองอยู่ชั่วครู่ สิ่งใดกันมีสีเหลืองอ๋อยเชียว เมื่อม้วนอยู่ด้วยกันก็มองไม่ออก คล้ายกับว่าทำมาจากหนังวัวหรือหนังชนิดอื่น สิ่งนี้...มีมูลค่ามาก?
“ห้องหนังสือของท่านอ๋องยังถูกปล้นได้อีกหรือ?” เหยาเชียนเชียนถามอย่างใสซื่อ
ในสายตาของนางเต็มไปด้วยประโยคที่ว่า ‘มีการคุ้มกันอย่างแ่าตลอดทั้งวัน ทว่าก็ยังไร้ประโยชน์ ห้องหนังสือของชิงผิงอ๋องผู้น่าเกรงขาม คาดไม่ถึงเลยว่าจะยังสามารถถูกปล้นได้อีก โจรผู้นั้นเก่งกาจสักเท่าใดกันเชียว ข้าและสหายของข้าต่างพากันตกตะลึง’ อะไรทำนองนั้น
ชิงผิงอ๋องกลั้นลมหายใจไว้ในหน้าอก และตัดสินใจอย่างเงียบๆ ในใจ ไม่ช้าก็เร็วสักวันหนึ่งเขาจะต้องตีก้นนางแน่ๆ ริมฝีปากนั้นมักทำให้เขารู้สึกจนปัญญาอยู่เรื่อย
“กักตัวหวังเฟยไว้ในห้องและจับตาดูไว้ ห้ามผู้ใดเข้าเยี่ยม” เขากล่าวเสียงเย็น “เมื่อเปิ่นหวังสืบหาความจริงได้กระจ่างแล้วจะตัดสินใจอีกครั้ง”
อะไรกัน เขาถือสิทธิ์ใด เหยาเชียนเชียนคว้าแขนเสื้อของเขาไว้และมองเขาอย่างน่าสงสาร
“ท่านอ๋อง หม่อมฉันยังมีเื่ที่อยากคุยกับพระองค์อยู่นะเพคะ”
ชิงผิงอ๋องสะบัดมือออกและจัดสาบเสื้อให้เข้าที่ "หากมีอะไรจะพูดก็รอให้หวังเฟยคิดได้ชัดแจ้งก่อนแล้วค่อยคุยกันเถิด"
หากยังไม่ไปยามนี้เขาก็จะไปไม่ได้แล้ว ชิงผิงอ๋องออกจากเรือนไปโดยไม่แม้แต่จะหันมามอง ทิ้งชายาชิงผิงอ๋องซึ่งมีสีหน้างงงันและคับแค้นใจเอาไว้
ช่างเป็หายนะที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิดโดยแท้ เหยาเชียนเชียนคิดหาคำมาบรรยายความรู้สึกของตัวเองไม่ได้ อวี่เหลียนเอ๋อร์ร้องห่มร้องไห้พลางคุกเข่าลงแทบเท้านาง
“หวังเฟยเหนียงเหนี่ยง ทั้งหมดล้วนเป็เพราะเหลียนเอ๋อร์ไร้ประโยชน์ เหลียนเอ๋อร์ไม่สามารถปกป้องสิ่งของของพระองค์ไว้ได้”
เหยาเชียนเชียนรู้สึกปวดหัวเหลือเกิน นางสะกดกลั้นอารมณ์ไว้และกล่าวว่า “นั่นไม่ใช่สิ่งของของข้า เมื่อครู่เ้าร้อนรนอันใด เ้าร้อนรนเช่นนี้ก็จะเป็ที่ตรงนี้ไม่มีเงินสามร้อยตำลึง [1] ชัดเจนยิ่งกว่าเดิม ยิ่งปกปิดกลับยิ่งเด่นชัดหรือ?”
อวี่เหลียนเอ๋อร์ส่ายหน้า กล่าวว่านางไม่ได้อยากทำให้ชิงผิงอ๋องตื่นตัว เพียงแต่นางรู้สึกกลัวมาก และอยากปกป้องเหยาเชียนเชียน ดังนั้นจึงหุนหันพลันแล่นไปบ้างด้วยความร้อนใจ
“มิฉะนั้นให้เหลียนเอ๋อร์ไปคุยกับท่านอ๋อง บอกว่าของสิ่งนั้นเป็ของเหลียนเอ๋อร์และไม่มีความเกี่ยวข้องกับหวังเฟยเหนียงเหนี่ยง ขอให้ท่านอ๋องอย่าได้ลงโทษพระองค์”
เหยาเชียนเชียนสูดลมหายใจลึกแล้วหัวเราะเบาๆ นางไม่รู้จริงๆ ว่านางไปล่วงเกินผู้ใดเข้า ถึงได้ส่งเด็กที่...ที่ฉลาดเฉียบแหลมเช่นนี้มาอยู่ข้างกายนาง ไม่จำเป็ต้องให้ชิงผิงอ๋องโกรธเคืองอวี่เหลียนเอ๋อร์ด้วยซ้ำ
เพราะอวี่เหลียนเอ๋อร์สามารถทำให้นางโกรธแทบเป็แทบตายได้อย่างรวดเร็ว
“ไม่ต้อง” เหยาเชียนเชียนขบกราม พยายามฝืนปั้นหน้ายิ้ม
“เื่นี้ท่านอ๋องจะสืบให้กระจ่างเอง ทำเื่ที่ไม่จำเป็อาจทำให้ข้าตกอยู่ในสภาวะที่ลำบากยิ่งกว่าเดิม เ้ากลับไปเสียเถิด อย่าได้วุ่นวายกับเื่นี้อีกเลย”
อวี่เหลียนเอ๋อร์โขกศีรษะต่อนางอย่างจริงจัง เคร่งครัดราวกับครั้งนี้จะต้องลาจากกัน เหยาเชียนเชียนรู้สึกว่าปอดของนางเจ็บไปหมด อดทนไปจนกระทั่งอวี่เหลียนเอ๋อร์ออกไปแล้วถึงจะคลายสีหน้าลงได้
เหยาเชียนเชียนโกรธมากเหลือเกิน นางเดินวนอยู่กับที่สองรอบ หลับตาลงแล้วบอกตัวเองให้สงบสติอารมณ์เร็วๆ เป็เพราะนางมองคนไม่ออก และยามนี้นางต้องรับผลที่ตามมาของการถูกใส่ร้ายครั้งแล้วครั้งเล่า
“ไม่รู้ว่าท่านอ๋องถูกปล้นสิ่งใดไปกันแน่ แต่ฟังจากคำของเขา ในเมื่อเป็สมบัติล้ำค่าอย่างยิ่ง ก็คาดว่าคงล้ำค่าเป็ที่สุดอย่างแน่นอน”
เหยาเชียนเชียนกัดฟัน เป็สมบัติล้ำค่าอย่างยิ่งยวดโดยแท้ ถึงขั้นเอาชีวิตของนางได้
“ยามนี้ท่านอ๋องยังไม่รู้โฉมหน้าที่แท้จริงของอวี่เหลียนเอ๋อร์ หากปล่อยให้นางทำเช่นนี้ต่อไปก็กลัวเพียงว่าจะเกิดความไม่สงบในจวนอ๋อง”
ทว่าในยามนี้นางถูกคุมขังไว้ที่นี่ ต่อให้อยากจะอธิบายความจริงต่อชิงผิงอ๋องอย่างไรก็ไม่มีโอกาสได้พบเขา อีกอย่างต่อให้ได้พบเขาแล้วก็ไม่มีหลักฐานอยู่ดี จะให้ชิงผิงอ๋องเชื่อนางได้อย่างไร
คงไม่ต้องลากเขาไปดูอวี่เหลียนเอ๋อร์แต่งหน้ายามดึกดื่นค่อนคืนหรอกกระมัง
ชีวิตนางช่างรันทดโดยแท้!
“ท่านแม่ ท่านแม่” อาเหยียนถูกองครักษ์กันไว้อยู่นอกเรือนกวักมือเรียกนางอย่างร้อนใจ “ท่านแม่ลำบากแล้ว!”
เหยาเชียนเชียนดวงตาสว่างวาบ และกล่าวต่อเขาโดยที่มีองครักษ์ขวางอยู่ว่า
“อาเหยียน แม่อยากพบท่านอ๋องสักครั้ง เ้าช่วยแม่คุยกับเขาให้หน่อยได้หรือไม่ แม่มีเื่สำคัญมาก”
อาเหยียนพยักหน้าและจับมือนางไว้อย่างเ็ป “ท่านแม่วางใจเถิด อาเหยียนจะขอให้ท่านพ่อปล่อยท่านแม่ออกมาให้ได้ ท่านแม่โปรดรอก่อน อาเหยียนไปแล้วจะกลับมา”
เหยาเชียนเชียนถอนใจ นางเอนกายบนเก้าอี้ใต้ระเบียงทางเดินรออาเหยียน ทว่ารอจนกระทั่งฟ้ามืดก็ไม่เห็นเด็กน้อยกลับมา
“หวังเฟย เสี่ยวซื่อจื่อไปพบท่านอ๋องที่ห้องหนังสือ ทว่าผ่านไปไม่นานก็ถูกส่งกลับเรือนไปแล้วเพคะ” สาวใช้ที่มาส่งอาหารกล่าวอย่างลำบากใจ “ท่านอ๋องสั่งให้บ่าวไพร่คุมเสี่ยวซื่อจื่อไว้ และไม่อนุญาตให้ออกมาข้างนอกเพคะ”
อะไรนะ!
เหยาเชียนเชียนกัดซี่โครงอย่างขุ่นเคือง หากสงสัยนางก็คุมขังนางไปสิ เื่อะไรถึงต้องพลอยขังอาเหยียนไปด้วย ไม่ฟังก็ไม่ต้องฟัง เหตุใดถึงดุเพียงนี้ อาเหยียนต้องเสียใจมากเป็แน่ และไม่แน่ว่าอาจจะเสียขวัญมากด้วย
“หวังเฟย ท่านอ๋องตรัสไว้แล้วว่าต้องรอสืบเื่ราวให้กระจ่างเสียก่อนจึงจะปล่อยพระองค์ออกไปได้ เสี่ยวซื่อจื่อก็เช่นกันเพคะ”
เหยาเชียนเชียนถอนหายใจยาวเหยียด นางกินอาหารในจานจนเกลี้ยง เรอออกมาเสียงหนึ่ง และหลังจากนั้นก็โกรธต่อ
“เื่ราวครั้งนี้สอนให้ได้รู้ว่า หากมีเื่ใดจะต้องกล่าวให้ชัดเจนต่อหน้า ไม่เช่นนั้นจะสร้างความเข้าใจผิดอย่างไม่อาจประเมินได้”
เหยาเชียนเชียนรู้สึกว่าด้วยสถานะปัจจุบันของนางในหัวใจของชิงผิงอ๋อง เดิมทีก็ไม่อาจเทียบกับของที่หายไปได้อยู่แล้ว หากนางอธิบายไม่ชัดเจน เขาจะขังนางไว้นานเท่าใดกัน แปดวัน สิบวัน หรือปีครึ่ง?
“คงไม่ถึงขั้นขังข้าไปตลอดชีวิตหรอกกระมัง ข้าไม่รู้อะไรเลยจริงๆ” นางปลอบใจตัวเอง “ไม่เป็ไร ไม่แน่ว่าท่านอ๋องอาจจะสืบความจริงได้เร็วๆ นี้ เขาฉลาดปานนั้น จะต้องััความผิดปกติของเหลียนเอ๋อร์ได้อย่างแน่นอน”
เหยาเชียนเชียนเดินเล่นและกินอาหารอยู่ในเรือน นางอดเดินไปหยุดอยู่ตรงจุดที่ขุดเจอของเมื่อยามกลางวันไม่ได้ มันถูกฝังอยู่ตรงนี้จริงๆ ด้วย นางหัวเราะเบาๆ
ก็ถูก ครั้งที่แล้วพบจดหมาย นางเข้าไปในห้องของตัวเองอีกครั้งตามปกติ ทว่าก็สะดุดตาคนอยู่บ้างอย่างห้ามไม่ได้
ในเรือนก็ดี ทำให้คนรู้สึกว่าซ่อนได้อย่างรอบคอบ และสะดวกต่อการลงมือ
“หวังเฟยเหนียงเหนี่ยง” เสียงร้องเรียกดังมาจากมุมกำแพง เหยาเชียนเชียนหันกลับไปด้วยความประหลาดใจและเห็นอวี่เหลียนเอ๋อร์ที่เกาะอยู่บนสันกำแพงกำลังโบกมือเรียกนางอยู่พอดี “ทางนี้เพคะ หวังเฟยเหนียงเหนี่ยง”
เหยาเชียนเชียนรู้สึกแค่ว่ามีตัวอักษร ‘ิญญาหลอกหลอน!’ สีแดงฉานตัวใหญ่ๆ สี่พยางค์แปะอยู่บนใบหน้า
“เ้า...เ้าจะทำอะไร?” นางเอ่ยถามพลางฝืนปั้นหน้ายิ้ม “รีบลงมาเถิด ถ้ามีคนเห็นเข้าจะทำอย่างไร”
อวี่เหลียนเอ๋อร์ยื่นมือออกไปให้เหยาเชียนเชียนอย่างร้อนใจ “หวังเฟยเหนียงเหนี่ยง เหลียนเอ๋อร์ทนเห็นท่านอ๋องปฏิบัติต่อพระองค์เช่นนี้ต่อไปไม่ได้จริงๆ พระองค์ไปกับเหลียนเอ๋อร์เถิดเพคะ ถือโอกาสยามฟ้ามืดและไม่มีคนพบเห็น กว่าท่านอ๋องจะรู้พระองค์ก็คงหนีไปไกลแล้ว”
เหยาเชียนเชียนตระหนกเสียจนหลุดหัวเราะออกมา นางเลียริมฝีปากเล็กน้อย แทบจะกล่าวต่ออีกฝ่ายทีละคำ
“เมื่อครู่ข้าถูกท่านอ๋องสงสัย หากหนีไปยามนี้ ข้อหาหลบหนีเพราะกลัวโทษก็คงไม่อาจลบล้างได้แล้ว”
เดิมทีก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร ทว่าการหนีไปครั้งนี้ ไม่ว่านางจะเป็ผู้กระทำเองหรือไม่ก็ล้วนเป็ความผิดของนางแต่เพียงผู้เดียว ยิ่งไปกว่านั้น เพียงแค่เข้าใจผิดกันเท่านั้น เหตุใดนางจึงต้องหนีด้วยเล่า?
“หวังเฟยเหนียงเหนี่ยง พระองค์รู้หรือไม่เพคะว่าของที่ถูกขโมยไปคือสิ่งใด” อวี่เหลียนเอ๋อร์กล่าวพลางสะอื้น “นั่นคือแผนที่จัดวางกำลังคุ้มกันนครหลวงเชียวนะเพคะ คนที่ขโมยไปไม่ว่าจะอยู่ในฐานะใดก็ล้วนเป็โทษปะา ไหนเลยท่านอ๋องจะไว้ชีวิตพระองค์ง่ายดายเพียงนั้น!”
เหยาเชียนเชียนเบิกตากว้างขึ้นเล็กน้อยและกำหมัดแน่น นางจิกเล็บลงบนฝ่ามือเพื่อให้ตัวเองใจเย็นลง ไม่น่าแปลกใจเลยที่เป่ยเหลียนโม่บอกว่าเป็สิ่งล้ำค่าอย่างยิ่งยวด เขาไม่ได้พูดผิดไปแม้แต่นิดเดียว
เป่ยจิ้งยังมีกฎหมายเช่นนี้อยู่อีกหรือ ถึงอย่างไรนางก็เป็ถึงหวังเฟย ไม่คำนึงถึงญาติพี่น้องบ้างหรืออย่างไร?
“หวังเฟยเหนียงเหนี่ยงอย่าลังเลอีกเลย” อวี่เหลียนเอ๋อร์กล่าวเร่งเร้า “เมื่อท่านอ๋องโเี้ขึ้นมา หากพระองค์อยากหนีจริงๆ ก็จะหนีไม่ได้แล้วนะเพคะ เวลามีไม่มาก เรารีบกันหน่อยเถิดเพคะ!”
เงาดำสายหนึ่งแวบผ่านดวงตาของเหยาเชียนเชียน นางกำหมัดแน่นราวกับได้ทำการตัดสินใจครั้งใหญ่ จากนั้นจึงพยักหน้า
“ตกลง เรารีบไปกันเถิด ระวังหน่อยนะ อย่าให้คนเห็นเด็ดขาด”
เชิงอรรถ
[1] ที่ตรงนี้ไม่มีเงินสามร้อยตำลึง เป็คำเปรียบเปรย หมายถึง อยากปกปิดซ่อนเร้น แต่กลับกลายเป็เปิดเผยให้ผู้อื่นรู้
