“ท่านพ่อ... ท่านพ่อ...” เสียงร้องไห้ของโม่เสวี่ยิ่ดังมาจากหน้าประตู ทำลายบรรยากาศเศร้าสลดที่ครอบคลุมภายในห้องหนังสืออันสงบเงียบ โม่ฮว่าเหวินปรับสีหน้าโดยพลัน เงยศีรษะมองไปยังโม่เสวี่ยิ่ที่แสร้งทำหน้าสลดโดยมีโม่ซิ่วคอยประคองด้วยแววตาเย็นเยียบ
โม่เสวี่ยิ่คาดไม่ถึงว่าโม่เสวี่ยถงก็อยู่ด้วย เบื้องลึกดวงตาเผยแววเกลียดชัง นางก้าวเท้าเข้ามาด้วยท่าทางอ่อนแรง ศีรษะยังมีผ้าพันแผลซึ่งมีโลหิตซึมออกมาจางๆ คิดว่าคงเป็าแที่เกิดจากการพยายามฆ่าตัวตายเมื่อครู่ นางยังคงสวมอาภรณ์สีชมพูที่ปรากฏรอยด่างดวง ปล่อยผมเผ้าที่มิได้เกล้ามวยสยายลงมา หยาดน้ำตาคลอหน่วงเต็มสองเบ้า ริมฝีปากขาวซีดดูน่าสงสารจับใจ
ยังไม่ทันเดินพ้นประตูก็สะดุดล้ม หากมิใช่เพราะโม่ซิ่วประคองไว้ทันท่วงที ป่านนี้คงล้มหัวฟาดไปแล้ว
ด้วยท่าทางน่าเวทนาเยี่ยงนี้ หากเป็เมื่อก่อนโม่ฮว่าเหวินคงใจอ่อน ไหนเลยจะลงโทษนางได้ลงคอ ไม่ว่านางจะพูดแก้ตัวอย่างไรก็ย่อมเป็ไปตามนั้น
แต่ตอนนี้โม่ฮว่าเหวินกำลังโกรธเคืองฟางอี๋เหนียง เมื่อนึกขึ้นว่าหากเมื่อวานโม่เสวี่ยิ่ฟังคำพูดเขาแล้วเก็บตัวอยู่ในเรือน ไหนเลยจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ได้ จึงตำหนิด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “เ้ามาที่นี่ทำไม ไยไม่อยู่เรือนฝูงฉิงของตนเอง หรือยังไม่พอใจงานมงคลที่ตนเองเลือกมาอีก”
“ท่านพ่อ...” โม่เสวี่ยิ่ไม่คิดว่าบิดาที่รักใคร่นางมาโดยตลอดจะไม่ไว้หน้าตนเองเช่นนี้ พอโม่ซิ่วคลายมือที่ประคองอยู่นางก็ทิ้งตัวคุกเข่าลงต่อหน้าโม่ฮว่าเหวินอย่างแรง แล้วร้องไห้ปานจะขาดใจ
ทำท่าสำออยอ่อนแอน่าสงสาร แม้แต่เสื้อผ้าก็ไม่เปลี่ยน หากอยากมาพบท่านพ่อจริงๆ ไฉนจึงไม่เปลี่ยนอาภรณ์ก่อนเล่า นี่คง้าให้ท่านพ่อเห็นแล้วรู้สึกสงสาร ไม่เอาเื่ที่เกิดขึ้นทั้งหมดล่ะสิ!
โม่เสวี่ยถงก้มหน้าหลุบตาลงนึกเยาะหยันอยู่ในใจ
เื่นี้หากเกิดขึ้นก่อนที่ตนเองจะเข้ามาในห้องหนังสือ ท่านพ่อเห็นโม่เสวี่ยิ่ในสภาพนี้แล้วก็อาจรู้สึกสงสาร ไม่แน่ว่าเื่เมื่อวานอาจจะยอมปล่อยเลยตามเลยไปก็ได้ แต่การที่นางมาแสดงบทโศกในยามนี้ มีแต่จะเพิ่มความขุ่นเคืองให้บิดาเปล่าๆ ฟางอี๋เหนียงทั้งโกหกหลอกลวงสารพัดเยี่ยงนั้น ไหนเลยจะได้รับความเมตตาสงสารจากบิดาอีก
โม่ฮว่าเหวินเห็นโม่เสวี่ยิ่ทำท่าทางอ่อนแอร้องไห้น้ำตานองหน้า พลันนึกถึงวันที่ลั่วเสียสิ้นใจ ฟางอี๋เหนียงก็ร้องไห้น้ำตาไหลพรากเช่นนี้ บอกตนเองว่าถงเอ๋อร์ใจคอโหดร้ายตีทุบตีอิ๋งชุนสาวใช้ของฮูหยินจนเกือบตาย ภายในใจก็โกรธเคืองจนห้ามไม่อยู่ พรวดพราดลุกขึ้นตบโต๊ะผางดุด่าเสียงเกรี้ยวกราด
“เมื่อคืนเ้าออกไปข้างนอกทำอะไร มิใช่ว่าข้าสั่งให้เ้าคัดลอกบัญญัติสตรีอยู่ในเรือนของตนเองหรือ หรือรู้สึกว่าคำพูดของบิดาอย่างข้าไร้น้ำหนักไปเสียแล้ว ถึงได้กล้าทำอะไรตามใจตนเองเยี่ยงนี้”
ร้องไห้เหมือนกัน ท่าทางอ่อนแอเหมือนกัน ล้วนแต่มารยาสาไถยทั้งสิ้น...
“ท่านพ่อ... ิ่เอ๋อร์ผิดเอง ขอท่านพ่อโปรดให้อภัยด้วยเถิดเ้าค่ะ” โม่เสวี่ยิ่น้ำตาร่วงเผาะ พูดไม่ออกไปชั่วขณะ แต่โม่เสวี่ยถงกลับมองเห็นพยับเมฆดำทะมึนคลุมครึ้มอยู่ในดวงตาของนาง
“ท่านพ่อ เมื่อวานอี๋เหนียงแท้งบุตร... เมื่อคืนข้าออกไปก็เพื่อ... ก็เพื่อ...” กล่าวยังไม่ทันจบความก็สะอึกสะอื้นขึ้นมาอีก
“เพื่ออะไร” โม่ฮว่าเหวินถามเสียงเ็า ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ทั้งสิ้น
“นายท่าน คุณหนูทำไปก็เพื่อนายท่านและอี๋เหนียงนะเ้าคะ” โม่ซิ่วที่คุกเข่าอยู่ด้านหลังโม่เสวี่ยิ่ คลานเข้ามาถึงข้างกายโม่เสวี่ยิ่ แล้วโขกศีรษะกับพื้นอย่างแรง ก่อนกล่าวแทนโม่เสวี่ยิ่ที่ร้องไห้อยู่ด้านข้าง
“นายท่าน... อี๋เหนียงเพิ่งแท้งลูกเมื่อวาน แล้วยังถูกคุมขังไว้ เื่นี้แท้จริงก็ต้องโทษอี๋เหนียงเอง ไม่อาจตำหนิผู้อื่นได้ แต่ว่า... หากปล่อยให้ถูกขังอยู่ในเรือนหลีหวาเยี่ยงนั้น ไม่มีใครเข้าไปดูแลรักษา คุณหนูวิตกว่าจะเกิดเื่ จึงลอบออกไปจากจวน เพื่อไปขอเจียดยามาสักเล็กน้อย ่เทศกาลเฉลิมฉลองเช่นนี้ หากอี๋เหนียงเกิดเป็อะไรไปขึ้นมาก็จะไม่เป็ผลดีต่อนายท่านด้วย คิดไม่ถึงว่าจะเกิดเื่ นี่ไม่ใช่ความผิดของคุณหนูเลยนะเ้าคะ เป็ความผิดของบ่าวเองที่ไม่ดูแลคุณหนูให้ดี คิดแต่ว่านางมีใจกตัญญู ไม่คิดว่า...”
โม่ซิ่วโขกศีรษะอย่างแรงบนพื้นที่ปูด้วยอิฐ เพียงชั่วพริบตาก็เห็นเืซึมออกมาจากหน้าผาก
“โม่ซิ่ว อย่าทำเช่นนั้น ท่านพ่อ ทั้งหมดเป็ความผิดของิ่เอ๋อร์เองเ้าค่ะ ท่านพ่อลงโทษลูกคนเดียวก็พอ” โม่เสวี่ยิ่หน้านิ่ว ร้องไห้เสียงดังลั่น รีบดึงโม่ซิ่วเข้ามากอด ดูคล้ายเ้านายแสนดีที่พยายามปกป้องบ่าวของตนเอง นางมองโม่ฮว่าเหวินด้วยสายตาวิงวอน สีหน้าเหมือนได้รับความไม่เป็ธรรมอย่างถึงที่สุด
โม่เสวี่ยถงแค่นเสียงเย็นในใจ
โม่เสวี่ยิ่ช่างกำกับละครเก่งนัก การให้โม่ซิ่วโขกศีรษะสุดชีวิตช่วยพูดแก้ตัวให้ ย่อมมีน้ำหนักให้คนเชื่อมากกว่าที่นางเป็ฝ่ายกล่าวออกมาเอง ที่แท้มิใช่ไปนัดพบกับใครเป็การส่วนตัว แต่แค่เป็ห่วงชื่อเสียงของจวนโม่และเป็การเตือนสติบิดาว่าแม้อี๋เหนียงจะทำความผิด แค่สูญเสียบุตรไปก็นับว่าได้รับโทษแล้ว ความผิดนี้ไม่ถึงตาย ขนาดนางแอบออกไปนอกจวนก็ยังสามารถบิดเบือนว่าทำไปด้วยความกตัญญู ที่เกิดเื่น่าอับอายขึ้นก็เพราะโชคไม่ดีเท่านั้น
เหตุผลแบบนี้ก็อาจฟังขึ้นหากท่านพ่อยอมรับเด็กในท้องของฟางอี๋เหนียง แต่โม่เสวี่ยิ่คงไม่มีวันคาดเดาได้ว่าแท้จริงแล้วที่เด็กคนนั้นแท้งไปกลับสมใจท่านพ่อมากกว่า เด็กคนนั้นเป็ดั่งหนามแหลมทิ่มแทงจิตใจที่ท่านพ่อคิดจะบ่งทิ้งอยู่แล้ว แม้จะไม่เกิดเื่นี้ขึ้นท่านพ่อก็ย่อมลงมือด้วยตนเองอยู่ดี
โม่ฮว่าเหวินสีหน้าดำทะมึน ผ่านไปครู่ใหญ่จึงถามเสียงเย็น “นางออกไปข้างนอกเพื่อขอยาจริงๆ หรือ”
“ท่านพ่อไม่เชื่อิ่เอ๋อร์หรือเ้าคะ ิ่เอ๋อร์เก็บตัวอยู่แต่ในบ้าน จะทำเื่น่าอัปยศอดสูเยี่ยงนี้ได้อย่างไร ิกั๋วกงซื่อจื่อก็อยู่ ท่านพ่อไปสอบถามเขาดูก็ได้ ิ่เอ๋อร์อยู่ตัวคนเดียวมิได้นัดหมายกับผู้ใดทั้งสิ้น ในรถคันนั้นจนถึงตอนนี้ยังมียาห้ามเืของฟางอี๋เหนียงตกอยู่ หากท่านพ่อไม่เชื่อก็ให้คนไปตรวจสอบได้” โม่เสวี่ยิ่แหงนใบหน้าที่อาบไปด้วยน้ำตา คำพูดก็จริงจังหนักแน่น
การกล่าวเหตุผลทั้งน้ำตาในครานี้แสดงได้งดงามกว่าเมื่อครู่มากนัก นางอ้างถึงโหยวเยวี่ยเฉิงิกั๋วกงซื่อจื่อก่อน แล้วค่อยกล่าวถึงหลักฐานที่อยู่ในรถ โม่เสวี่ยถงก็เชื่อว่ามียาอยู่ที่นั่นจริง และแน่ใจว่าต้องมีทิ้งไว้เต็มไปหมด เพราะนี่เป็ข้ออ้างที่นางใช้ออกจากจวนั้แ่แรก เื่ที่นางแอบออกไปอย่างไรก็ไม่อาจหลบสายตาของโม่ฮว่าเหวินไปได้ ช้าหรือเร็วบิดาก็ต้องรู้ หากไม่มีหลักฐานเป็ข้ออ้างอย่างชัดเจน คนอย่างนางหรือจะกล้าออกไป
นางกล่าวออกมาเช่นนี้ แม้บิดาจะแคลงใจก็ย่อมจะเชื่ออยู่บ้างกระมัง
“มีคนเห็นเหตุการณ์มากมาย หลี่โย่วโม่ผู้นั้นก็กัดเ้าไม่ปล่อย เมื่อเ้าไม่ยินยอมแต่งกับเขา ไหนพูดมาซิว่าจะจัดการอย่างไร” โม่ฮว่าเหวินนั่งลง นิ่งใคร่ครวญอยู่นาน ก่อนจะหันมาทิ้งคำถามให้โม่เสวี่ยิ่
แม้ว่าโม่ฮว่าเหวินฟังเหตุผลแล้วจะยังไม่หายโกรธ แต่น้ำเสียงก็อ่อนลงมาบ้าง โม่เสวี่ยิ่ลอบระบายลมหายใจอย่างโล่งอก แล้วเงยหน้าอธิบาย นี่เป็เป้าหมายที่นางมาหาบิดา
“ท่านพ่อ หลี่โย่วโม่ผู้นั้นไม่รู้จักิ่เอ๋อร์เสียหน่อย แล้วจะมั่นใจได้อย่างไรว่าสตรีผู้นั้นคือิ่เอ๋อร์ ชื่อเสียงของเขาก็ไม่ดีมาั้แ่ไหนแต่ไร แม้ว่าเขาจะพูดอะไร ย่อมไม่มีใครเชื่อวาจาของเขา ยิ่งไปกว่านั้นบนรถยังไม่มีสัญลักษณ์ของสกุลโม่อีกด้วย”
“แม้ว่าคำพูดของหลี่โย่วโม่จะไม่มีใครเชื่อ แต่โหยวเยวี่ยเฉิงก็อยู่ที่นั่น คำพูดของเขาย่อมมีคนเชื่อแน่นอน ถึงเวลาแล้วจะอธิบายอย่างไร” แววตาของโม่ฮว่าเหวินยังคงเย็นเยียบดั่งฉาบด้วยน้ำแข็ง
“วันนั้นแม้ซื่อจื่อจะเห็นว่าเป็ิ่เอ๋อร์จริงๆ แต่ิ่เอ๋อร์สามารถขอร้องให้เขาบอกว่าเห็นไม่ชัดได้ หากเขาบอกว่าสตรีผู้นั้นอาจไม่ใช่คุณหนูใหญ่สกุลโม่ แล้วหลี่โย่วโม่จะแน่ใจได้อย่างไรว่าสตรีที่เขาพบคือลูก”
โหยวเยวี่ยเฉิงคือหัวใจสำคัญ แต่โม่เสวี่ยิ่เชื่อมั่นว่าเขาจะช่วยบิดเบือนวาจาเพื่อตนเองได้
นางไปหอเซียงหม่านโหลวเพื่อไปพบโหยวเยวี่ยเฉิง เขาย่อมเชื่อคำพูดของนาง ที่ว่านังเด็กสมควรตายโม่เสวี่ยถงมีจิตใจดั่งอาบยาพิษทำร้ายอี๋เหนียงและพี่สาว แม้แต่บุตรในครรภ์ของอี๋เหนียงก็ไม่ละเว้น หากเมื่อวานไม่เกิดเื่เช่นนั้นกับตนเองก่อน เื่อื้อฉาวในวันนี้ก็ต้องตกเป็ของโม่เสวี่ยถง โหยวเยวี่ยเฉิงจะต้องช่วยเหลือตนเองแน่นอน เมื่อถึงตอนนั้นต่อให้หลี่โย่วโม่จะพูดอย่างไรก็ทำอะไรตนเองไม่ได้แล้ว แน่นอนว่านางจะก็ฉวยโอกาสนี้ใส่ไฟให้โหยวเยวี่ยเฉิงนึกรังเกียจนังแพศยานั่นให้มากขึ้นไปด้วย กล่าวได้ว่ายิงหินนัดเดียวได้นกถึงสองตัว
แต่สิ่งที่โม่เสวี่ยิ่คาดไม่ถึงคือ เื่นี้เกี่ยวข้องกับโม่เสวี่ยถงจริงๆ
“เ้าจะไปพูดโน้มน้าวิกั๋วกงซื่อจื่อเช่นนั้นหรือ” โม่ฮว่าเหวินเลิกคิ้วขึ้น ดูไม่ออกว่ารู้สึกอย่างไร
โม่เสวี่ยิ่แสดงท่าทางกระตือรือร้นขึ้นมาทันที ดวงตาซ่อนความยินดีไว้ไม่มิด ยิ่งมีโอกาสพูดคุยกับโหยวเยวี่ยเฉิงมากเท่าไร ก็ยิ่งเรียกคะแนนสงสารจากเขาได้มากเท่านั้น นี่คือสิ่งที่โม่เสวี่ยิ่ยินดีทำเป็อย่างยิ่ง ฮูหยินิกั๋วกงซื่อจื่อคือตำแหน่งที่นางมั่นหมาย เพียงอ้างว่าถูกคนใส่ร้าย ทั้งยังถูกบิดาคุมขังจนต้องลอบออกมาขอความช่วยเหลือ แสดงให้โหยวเยวี่ยเฉิงเห็นอีกครั้งว่าตนเองเป็สตรีอ่อนแอไร้ที่พึ่ง ทำตัวให้ดูน่าสงสาร เท่านี้ย่อมทำให้คนะเืใจยิ่งกว่าเอ่ยอ้างด้วยคำพูดใด
“ท่านพ่อ ิ่เอ๋อร์ยินดีไปโน้มน้าวซื่อจื่อเองเ้าค่ะ เขาจะต้องช่วยให้ฝ่ายนั้นยอมวางมือจากจวนโม่ได้แน่ ชื่อเสียงของิ่เอ๋อร์จะเสียหายไปบ้างย่อมไม่เป็ไร กลัวแต่จะทำให้พี่น้องคนอื่นๆ เดือดร้อนไปด้วย” ครานี้โม่เสวี่ยิ่ใช้เหตุผลความถูกต้องชอบธรรมและความสัมพันธ์พี่น้องมาเป็ข้ออ้าง ไม่เพียงแต่จะชี้ให้เห็นว่านางมิได้ทำเพื่อตนเอง แต่ยังบอกเป็นัยว่าหากตนเองต้องแต่งให้หลี่โย่วโม่จริงๆ ผู้ที่ต้องเสียหายมิได้มีนางเพียงแค่คนเดียว
เื่พูดโน้มน้าวิกั๋วกงซื่อจื่อเคยอยู่ในความคิดของโม่ฮว่าเหวิน แต่หากโหยวเยวี่ยเฉิงเป็คนที่เกลี้ยกล่อมง่ายดังว่า ไหนเลยจะมีชื่อเสียงดีงามอยู่เช่นนี้ได้ เมื่อเห็นโม่เสวี่ยิ่ยืดตัวตั้งตรงดั่งลำไผ่ ท่าทางมั่นอกมั่นใจยิ่ง ทั้งกล่าวอย่างเปี่ยมไปด้วยเหตุผลเยี่ยงนั้น ในหัวใจกลับรู้สึกหงุดหงิดขึ้นอีก หากต้องทนเห็นต่อไปเขาคงทนไม่ไหวะเิออกมาแน่นอน
นี่คือบุตรสาวที่เขาเชื่อว่าเป็เด็กฉลาดรู้ความ เป็กุลสตรีที่มีจิตใจดีงาม เก็บเนื้อเก็บตัวอยู่แต่ในเหย้าเรือนมาโดยตลอด ถึงขนาดนี้แล้ว นางจะอาศัยสิ่งใดมาทำให้โหยวเยวี่ยเฉิงยอมกลับคำ? หรือว่าตนเองถูกหลี่โย่วโม่ทำชื่อเสียงเสียหายขนาดนี้แล้วยังไม่พอ ยัง้าให้โหยวเยวี่ยเฉิงแพร่งพรายสิ่งใดออกไปอีก ่ก่อนเื่ที่นางถูกซือหม่าหลิงอวิ๋นอุ้มออกไปตอนเหตุการณ์ไฟไหม้เพิ่งจะสงบลงไปได้ไม่นาน ก็มีเื่หลี่โย่วโม่ขึ้นมาอีก
ผู้เป็ธิดาสกุลใหญ่แม้จะไร้ยางอายแค่ไหนก็ไม่น่าจะทำผิดซ้ำซากแบบเดิมอยู่เยี่ยงนี้ ทั้งยังมาอ้างเื่น้ำใจพี่น้อง เมื่อครั้งที่แล้วก็ให้ฉงเอ๋อร์ออกรับผิดแทนมิใช่หรือไร แม้ว่าโม่ฮว่าเหวินจะไม่โปรดปรานบุตรสาวผู้นี้ของตนเองเพียงใด แต่ก็รู้ว่าการทำเช่นนี้ถือเป็การเอาเปรียบโม่เสวี่ยฉงอย่างยิ่ง สตรีที่ยังไม่ออกเรือนแต่มีเื่ทำนองนี้เกิดขึ้น แม้จะแต่งออกไปได้แต่ย่อมถูกผู้คนเดียดฉันท์ ยิ่งไปกว่านั้นนางยังแต่งออกไปได้เพียงฐานะอนุภรรยา
่นี้โม่ฮว่าเหวินจับตามองโม่เสวี่ยิ่อยู่ตลอด จึงรู้ว่าหลังจากเกิดเื่นางก็ไม่เคยไปหาโม่เสวี่ยฉงอีกเลย รับความช่วยเหลือจากน้องสาวอย่างหน้าตาเฉย ทำราวกับว่าผู้ที่ถูกช่วยออกมาจากกองเพลิงวันนั้นคือโม่เสวี่ยฉงจริงๆ ไม่เคยคิดเลยว่าน้องสาวของตนเองแต่งออกไปครานี้จะถูกบ้านสามีดูิ่เหยียดหยาม ตกเป็ที่ครหาของผู้คน
แล้งน้ำใจต่อพี่น้องเช่นนี้ แต่กลับแสดงท่าทางรักใคร่พี่น้องต่อหน้าผู้อื่น เหมือนกับฟางอี๋เหนียงไม่มีผิด เมื่อคิดถึงความร้ายกาจที่ฟางอี๋เหนียงกระทำต่อโม่เสวี่ยถง นึกถึงความไม่เป็ธรรม ความอัปยศและความเ็ปที่โม่เสวี่ยถงได้รับ โม่ฮว่าเหวินจะยังพูดคุยกับนางอย่างอารมณ์ดีต่อไปได้อย่างไร รู้สึกเพียงว่าวาจาของนางล้วนมีเจตนาปกปิดความผิด ไม่มีความจริงแม้แต่ประโยคเดียว
“ออกไป!” โม่ฮว่าเหวินโบกมือเอ่ยปากไล่ด้วยสีหน้าดุดัน ไม่อาจทนเห็นหน้าโม่เสวี่ยิ่อีก
“ไป!”
ท่าทีของโม่ฮว่าเหวินอยู่เหนือความคาดหมายของโม่เสวี่ยิ่โดยสิ้นเชิง ชั่วขณะนั้นสองนายบ่าวต่างตะลึงพรึงเพริด เมื่อเห็นโม่ฮว่าเหวินไม่แม้แต่จะหันมามองก็ยังไม่ละความพยายาม นางคลานเข่าเข้ามาแล้วร้องไห้ขอความเมตตา “ท่านพ่อ… ท่านพ่อ...”
โม่ฮว่าเหวินที่นั่งอยู่หลังโต๊ะทำงาน สีหน้าอิดโรย หัวคิ้วขมวดเป็เกลียว สายตาแข็งกร้าวชวนให้รู้สึกหนาวสะท้านไปถึงหัวใจ ตวาดเสียงลั่น “ออกไป!”
บุตรสาวคนนี้ นับวันก็ยิ่งทำให้ตนเองรู้สึกผิดหวังยิ่ง