เมื่อเห็นใบหน้าสับสนของฉีอวี้ แม่ทัพฉียิ่งบังเกิดโทสะ ด่ากราดอย่างรุนแรง
“ไอ้เศษสวะไม่มีสมอง! ไอ้ลูกโง่! ไม่รู้เื่อะไรสักอย่าง! เ้ารักในศักดิ์ศรีแล้วเมื่อกลางดึกที่ผ่านมาที่ตัดสินใจโดยพลการไปยุติการหมั้นหมาย เหตุใดเ้าถึงพะว้าพะวังเพียงแค่เื่นี้? ในตอนแรกพ่อก็บอกเ้าแล้วว่าพวกเรานำทัพทำาไม่จำเป็ต้องเอาศักดิ์ศรีอะไรนั่นจากขุนนางคร่ำครึพวกนั้น หากเ้าถอนหมั้นั้แ่ตอนแรก แล้วแต่งงานกับองค์หญิงหวายหนิงเข้าตระกูลมันก็จะไม่มีเื่มากมายเช่นนี้แล้ว? เ้า้ารักษาศักดิ์ศรี ตอนนี้เป็เช่นไร ศักดิ์ศรีล้วนเสียหายไปหมดแล้ว ในตอนนี้สถานการณ์ปะทุขึ้นถึงขั้นนี้แล้ว เ้าว่า…ฮ่องเต้จะยังประทานอนุญาตให้เ้าที่แบกรับหมวกสีเขียวใบใหญ่แต่งงานกับองค์หญิงหวายหนิงอยู่อีกหรือ? ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ในที่สุดฉีอวี้ก็ได้สติเข้าสมอง
ที่แท้แล้วสิ่งที่ร้ายแรงยิ่งกว่าการเสียศักดิ์ศรีก็คือเขาจะสูญเสียโอกาสอันยิ่งใหญ่ในการแต่งงานกับราชวงศ์ เขาจะสูญเสียองค์หญิงหวายหนิง! เขาคิดมาโดยตลอดว่าองค์หญิงหวายหนิงคือสิ่งของที่อยู่ในกระเป๋าของตนเองอยู่แล้ว คิดไม่ถึงว่าเื่ราวจะกลับกลายเป็เช่นนี้
เขาเสียรู้เข้าแล้ว
“ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เหล่าฟูจะต้องให้ฮ่องเต้ทรงออกหน้าสั่งสอน! ให้เฉิงอี้เฟย เด็กนั่นได้รับบทเรียนครั้งใหญ่! สำหรับกูเฟยเยี่ยนนางต่ำช้าเลวทรามผู้นั้น นางอย่าได้คิดเพ้อเจ้อที่จะมีวันคืนที่ดีอีก! ”
แม่ทัพฉีเอ่ยทิ้งไว้เสร็จก็ออกจากจวนด้วยความเดือดพล่านมุ่งหน้าตรงไปยังพระราชวังทันที อย่างไรก็ตาม เมื่อเขามาถึงห้องยาสำนักหมอหลวงกลับถูกหัวหน้าขันทีเหมยกงกงแจ้งว่าฮ่องเต้ทรงพระประชวรอยู่ ไม่ว่าใครก็ตามล้วนไม่สามารถเข้าพบได้
แน่นอนว่าแม่ทัพฉีทราบดีว่าฮ่องเต้กำลังประชวรอยู่ ทว่าเขาคิดว่าซูไท่อียังสามารถเจียดเวลาออกไปยังค่ายทหารได้ เช่นนั้นย่อมหมายความว่าฮ่องเต้คงจะไม่มีอาการอะไรรุนแรงแล้ว แต่ที่ฮ่องเต้ไม่พบเขาคงเป็เพราะว่ารับรู้ถึงเื่ราวในหอฝูหม่านแล้ว และเจตนาหลบหน้าไม่ให้พบ เขาไม่ได้บอกกล่าวต่อเหมยกงกงทำเพียงรอคอยอยู่หน้าประตูห้องยาสำนักหมอหลวงไม่ไปไหน
แม่ทัพฉีเมื่อต้องรอคอย ก็รอจนถึงยามราตรี การรอคอยนั้นไม่ได้ทำให้เขาพบกับฮ่องเต้ แต่กลับพบฉีอวี้ที่มาเข้ามารอคอยด้วยกัน
พ่อลูกสองคนมีแนวโน้มว่าจะต้องรอจนข้ามคืน และเฉิงอี้เฟยกับกูเฟยเยี่ยนไม่รู้เื่อะไรเกี่ยวกับเื่นี้เลยสักนิด
กลางดึกพวกเขาได้มาถึงค่ายทหาร
ในระหว่างทางไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น เพราะว่าทันทีที่ออกจากเมือง เฉิงอี้เฟยก็ใช้เชือกมัดแขนทั้งสองข้างของกูเฟยเยี่ยนไพล่หลังแล้วปิดปากนางโยนไปในรถม้าอย่างป่าเถื่อน ส่วนตนเองก็ขี่ม้าอยู่ด้านหน้าตามอำเภอใจ
เมื่อมาถึงค่ายเฉิงอี้เฟยก็จับกูเฟยเยี่ยนแบกไว้บนไหล่อีกครั้ง ก่อนจะสาวเท้าก้าวใหญ่เดินไปยังกระโจมขนาดใหญ่ของตน
เฉิงอี้เฟยอยู่ด้านนอกก็มีนิสัยดื้อรั้นกำเริบเสิบสานเป็อย่างยิ่ง เช่นนั้นแล้วนับประสาอะไรกับในสถานที่ของตนเอง?
ท่าทางของเขาดูราวกับสามารถแย่งชิงฟูเหรินมาจากหัวหน้าตัวปลอมได้ เขาก้าวเดินไปด้วยในเวลาเดียวกันก็โบกไม้โบกมือให้เหล่าเพื่อนพี่น้องอย่างอวดดีไปด้วย ทหารที่อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของเขาก็ให้ความร่วมมือเป็อย่างดี แต่ละคนล้วนร้องเรียกผิวปากเป่านกหวีด ค่ายทหารที่เงียบสงบพลันคึกคักขึ้นมาในทันที
ทันทีที่มาถึงกระโจมค่าย เฉิงอี้เฟยก็นำกูเฟยเยี่ยนโยนลงไปไว้บนเตียง กูเฟยเยี่ยนโกรธมานาน ไฟแค้นสุมอยู่ในดวงตา นางจ้องมองตาเขียวด้วยความรุนแรงไปทางเขา
เดิมทีเฉิงอี้เฟยจะเดินออกไปแล้ว แต่เมื่อเห็นสายตาของนางกลับอดไม่ได้ที่จะหวนกลับมาดึงผ้าปิดปากของนางออก แล้วถามด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย “ทำไมหรือ นึกขึ้นได้แล้วหรือว่าใบสั่งยานั้นตนเป็คนที่แอบใส่? ”
กูเฟยเยี่ยนะโเสียงดัง “ข้า้าเข้าห้องน้ำ! ”
เฉิงอี้เฟยหัวเราะออกมา เขาไม่ได้คลายเชือกที่มัดไว้ออกแต่กลับเรียกให้หญิงรับใช้เข้ามาปรนนิบัติแทน เมื่อเสร็จกิจแล้วเขาก็ลากเก้าอี้มานั่งอยู่ข้างเตียงเพื่อพินิจพิเคราะห์กูเฟยเยี่ยนด้วยอารมณ์สนุกสนาน เขาไม่เคยพบเคยเห็นหญิงสาวที่โผงผางเช่นนี้มาก่อน ไม่เชื่อว่าตนเองจะปราบพยศนางไม่ได้!
กูเฟยเยี่ยนปล่อยให้เขาพินิจพิเคราะห์ไป ท้ายที่สุดก็ถือโอกาสหลับตาลงพักผ่อนร่างกาย ถึงอย่างไรก็ดึกพอสมควรแล้ว
นางคิดมาตลอดว่าเวินอวี่โหรว องค์หญิงหวายหนิง และฉีอวี้นั้นคือบุคคลชั้นยอดแล้ว ในตอนนี้ดูเหมือนว่าบุคคลชั้นยอดที่แท้จริงจะเป็คนผู้นี้ที่อยู่ตรงหน้า ถึงอย่างไรก็ได้มาถึงค่ายทหารแล้ว นางจะรอดูว่าเฉิงอี้เฟยจะทำอะไรกับนางได้อีก!
ท่านอาจารย์เคยกล่าวเอาไว้ว่านางคือทานฮวาง [1] กดไม่ลง ยิ่งกดยิ่งเด้งขึ้นสูง!
ทันทีที่กูเฟยเยี่ยนหลับตาลง เฉิงอี้เฟยก็จับจ้องไปสักพักหนึ่งในที่สุดก็ไม่สามารถข่มอารมณ์เอาไว้ได้
เขาลุกขึ้นมาะโเสียงดัง “ทหาร! ”
กูเฟยเยี่ยนลอบสบประมาทอยู่ภายในใจ ใครจะไปรู้ว่าเฉิงอี้เฟยจู่ๆ ก็จะออกคำสั่ง “ส่งคนไปห้องยาสำนักหมอหลวงหาศาสตราจารย์แพทย์ บอกไปว่าแพทย์หญิงผู้นี้ของห้องยาสำนักหมอหลวง เปิ่นเจียงจวินจะขอรับไว้เอง! สตรีผู้นี้ ต่อจากนี้ให้ไปอยู่ในค่ายทหารคอยปรนนิบัติรับใช้พวกข้า!”
กูเฟยเยี่ยนลืมตาขึ้นมาทันที “ข้าขอปฏิเสธ! ”
มุมปากของเฉิงอี้เฟยหยักยกยิ้มกว้าง “เปิ่นเจียงจวินจะคอยดูว่าศาสตราจารย์แพทย์จะกล้าที่จะปฏิเสธหรือไม่! ”
กูเฟยเยี่ยนโกรธเป็อย่างยิ่ง “เ้า! ”
เฉิงอี้เฟยมีความสุข ก่อนจะหัวเราะออกมา “แพทย์หญิงตัวน้อย ท่าทีในตอนที่เ้าโกรธงดงามเป็อย่างยิ่ง”
เขาโน้มตัวลง เต็มไปด้วยอารมณ์สนุกสนาน ยามที่กำลังจะพูดจาหยอกเย้ากูเฟยเยี่ยน เสียงของรองแม่ทัพโจวก็ลอยมาจากด้านนอก “ท่านแม่ทัพ ค่ายงานหุงหาอาหารนั้นเกิดเื่แล้ว! ”
เฉิงอี้เฟยที่ถูกรบกวนไม่พอใจเป็อย่างยิ่ง “กลางดึกกลางดื่นมีเื่อะไร? ”
รองแม่ทัพโจวตอบกลับ “ที่กลุ่มงานหุงหาอาหาร มีทหารผู้หนึ่งจู่ๆ อาการโรคหอบหืดก็กำเริบอันตรายรุนแรงยิ่ง แพทย์ทหารได้เข้าไปตรวจดูแล้ว ทว่ากลับมีทหารกลุ่มหนึ่งรายล้อมแพทย์ทหารเอาไว้บังคับให้เขารักษาให้หายให้ได้”
เมื่อได้ยินเช่นนี้สีหน้าของเฉิงอี้เฟยพลันเกิดความจริงจัง เขาลุกขึ้นยืนก้าวเดินออกไปทันที
“รักษาหายหรือไม่?”
“แพทย์ทหารกัวได้ทำการฝังเข็มไปสามครั้งแล้ว ทันทีที่ฟื้นตัวก็ดีขึ้น ทว่าผ่านไปไม่นานอาการก็กำเริบขึ้นมาอีกครั้งด้วยความรวดเร็ว แพทย์ทหารต้องเฝ้าไว้ตลอดเวลา เขาบอกว่าต้องกินยาโดยด่วนที่สุด มิฉะนั้นแล้วจะอยู่ไม่ถึงกลางวันของวันพรุ่งนี้แน่”
“เช่นนั้นก็รีบให้ยาเสียสิ!”
“ท่านแม่ทัพ ในใบสั่งยามีสมุนไพรที่สำคัญที่สุดอยู่ตัวหนึ่ง ทว่าในห้องเก็บยาของพวกเรานั้นไม่มีแล้ว! โม่เจียงส่งคนเข้าไปหาในเมืองั้แ่แรกแล้ว เพียงแต่ว่าเวลาที่ใช้ไปกลับหนึ่งรอบต้องใช้อย่างน้อยหกชั่วยาม วันพรุ่งนี้กลางวันคงมาไม่ถึงแน่ แพทย์ทหารกัวเอ่ยกับโม่เจียงเป็การส่วนตัวว่า ชีวิตของคนผู้นี้มิอาจช่วยกลับมาได้อย่างแน่นอน อารมณ์ของทหารทั้งกลุ่มงานหุงหาอาหารล้วนเศร้าโศก โม่เจียงได้ไปปลอบขวัญแล้วทว่าไร้ประโยชน์”
กูเฟยเยี่ยนได้ยินถึงตรงนี้ก็ไม่มีเสียงต่อแล้ว นางเรียนแพทย์มาสิบปีเมื่อได้ยินเื่สมุนไพรก็ให้ความสนใจและมีความรู้สึกไวมากกว่าคนทั่วไปหนึ่งเท่า นางลืมเลือนสถานการณ์ของตนเอง คิ้วมนบีบรัดเข้าหากันแน่น ฟังอย่างตั้งใจ หวังว่าจะได้ยินเสียงให้มากยิ่งขึ้น
เพียงแต่ว่าภายนอกกลับไม่มีเสียงใดดังขึ้นอยู่เป็นาน
เฉิงอี้เฟยคงไม่ใช่ว่าเดินออกไปแล้วกระมัง?
นางร้อนอกร้อนใจแล้ว “เฉิงอี้เฟยเ้ายังอยู่หรือไม่? เ้ากลับมาก่อน! ข้ามีเื่จะพูดกับเ้า!”
แพทย์ทหารผู้นั้นตกลงเป็แพทย์กำมะลอประเภทไหนกัน!
นางเป็เพียงผู้ที่เรียนแพทย์ยังรู้ว่าหากไม่ถึงวินาทีสุดท้าย ย่อมไม่สามารถยอมแพ้ละทิ้งผู้ป่วยได้ เขาที่เป็ถึงแพทย์กลับกลายเป็ว่ายอมแพ้และละทิ้งอย่างง่ายดายเช่นนี้ เขาถือชะตาชีวิตเป็สิ่งใดกัน!
เฉิงอี้เฟยเพียงคิดว่ากูเฟยเยี่ยนนั้น้าที่จะเล่นคารมคมคายอะไรกับเขาอีก เขาจึงไม่ได้สนใจไยดีและยืนอยู่ด้านหน้าประตูเพื่อพูดคุยกับรองแม่ทัพโจวต่อ
กูเฟยเยี่ยนกระวนกระวายใจจึงะโเสียงดังให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย “สิ่งที่พวกท่าน้าคือหมาหวาง [2] ใช่หรือไม่ ข้ามี ข้ามี! ”
ทันทีที่คำพูดเหล่านี้ถูกส่งออกมา เฉิงอี้เฟยและรองแม่ทัพโจวก็รีบพุ่งตรงเข้ามาทันที ทั้งสองคนประหลาดใจเป็อย่างยิ่ง รองแม่ทัพโจวเอ่ยถามอย่างร้อนอกร้อนใจ “แพทย์หญิงกูท่านรู้ได้อย่างไรว่าพวกเรา้าหมาหวาง? ท่านมีมันจริงๆ หรือ? ”
ตัวยาที่สำคัญซึ่งเอาไว้ใช้รักษาโรคหอบหืด เป็ไปได้แปดถึงเก้าจากสิบส่วนว่าเป็หมาหวง โดยเฉพาะการรักษาอาการอย่างเร่งด่วนเช่นนี้
กูเฟยเยี่ยนไม่ได้สนใจไยดีรองแม่ทัพโจว นางมองไปยังเฉิงอี้เฟยอย่างตั้งใจจนหาที่เปรียบไม่ได้ ก่อนจะกล่าวว่า “รีบปล่อยข้าเดี๋ยวนี้ พาข้าไป ข้า้าดูใบสั่งยา! เร็วเข้า! ”
เื่ที่เกี่ยวเนื่องกับชีวิตและความเป็ความตาย เฉิงอี้เฟยจึงคลายมัดให้กับกูเฟยเยี่ยนทันทีก่อนจะพานางไปยังค่ายงานหุงหาอาหาร
ภายในกระโจมกลุ่มงานหุงหาอาหาร เมื่อสักครู่นี้ทหารที่เป็โรค สวี่ปิน อาการของเขากำเริบขึ้นมาอีกครั้ง แพทย์ทหารกำลังทำการฝังเข็ม ลมหายใจของสวี่ปินดังกระชั้นชิดเป็อย่างยิ่งราวกับว่ามิอาจหยุดไหว แพทย์ทหารกัวไม่ได้โกหก ประสิทธิภาพในการฝังเข็มไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่นัก หากไม่รีบกินยาเข้าไปแล้วอาการกำเริบถี่เช่นนี้ไปเรื่อยๆ เกรงว่าจะทนต่อไปไม่ไหวแล้ว
แพทย์ทหารกัวเห็นว่าเฉิงอี้เฟยและพรรคพวกเข้ามา หลังจากที่เขาใช้เข็มทองคำสองสามอันสุดท้ายเรียบร้อยแล้วจึงได้ลุกขึ้นแสดงความเคารพ ซึ่งเฉิงอี้เฟยโบกมือให้ละไว้
เมื่อกูเฟยเยี่ยนพบว่าเข็มทองคำสองสามอันสุดท้ายที่แพทย์ทหารกัวปักลงไปนั้น สถานการณ์ของผู้ป่วยพลันผ่อนคลายลง นางจึงรีบร้อนนำใบสั่งยาที่อยู่บนโต๊ะมาดู…
————————
เชิงอรรถ
[1] ทานฮวาง หมายถึงสปริง
[2] หมาหวาง หมายถึง ต้นเอฟฟริดาของจีน เป็ไม้พุ่มเตี้ยเขียวตลอดปี ก้านเล็กยาว ใบคู่ มีลักษณะเป็แผ่นเกร็ดสีม่วงอมแดง ดอกเป็เพศเดียวเพศผู้และเพศเมียอยู่กันคนละต้น เมล็ดรูปกลม เป็พืชสมุนไพรชนิดหนึ่ง ก้านใช้สกัดเป็วัตถุดิบของด่างเอฟฟิดดรีน