ิหยวนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะก้มหัวคำนับผู้คนที่นั่งร่วมโต๊ะ “ท่านผู้มีเกียรติทุกท่าน ช่างบังเอิญที่คุณชายสามพึ่งถกประเด็นนี้กับผู้น้อยไปเมื่อวันก่อน ผู้น้อยขออนุญาตตอบคำถามนี้ได้หรือไม่ขอรับ”
“เ้าอธิบายมา”
“มีเกิดก็ต้องมีตาย เกิดเป็สัจธรรมของชีวิต มีตายก็ต้องมีเกิด ตายเป็สัจธรรมของความตาย”
จ้าวผูซักไซ้ “แล้วสิ่งใดเล่าคือสัจธรรมของชีวิต สิ่งใดคือสัจธรรมของความตาย?”
ิหยวนตอบอย่างมั่นใจ เสียงดังฟังชัด “หากเราเข้าใจว่าร่างกายเกิดจากธาตุทั้งสี่ ดิน น้ำ ลม และไฟได้อย่างแจ่มแจ้ง แล้วไม่เอาจิตไปยึดติด เมื่อนั้นจิตเราจะสงบ ทำสิ่งใดก็รู้ถูกรู้ควรและไม่ประมาท สิ่งนี้คือสัจธรรมของชีวิต หากเราเข้าใจว่าธาตุทั้งสี่สักวันต้องสลายไป แต่ยังสามารถตั้งจิตให้มั่น พึงระลึกอยู่เสมอและไม่ประมาท สิ่งนี้คือสัจธรรมของความตาย”
พอิหยวนกล่าวจบ ิเยี่ยก็ทำหน้าฉงน “ที่เ้าพูดมาหมายความว่าอย่างไร?”
ิหยวนกระซิบตอบ “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน”
“อ้าว?”
“ข้าจำมาจากท่านเ้าอาวาสวัดก่วงจี้”
จ้าวผูและเฉินปั๋วหันมองหน้ากันด้วยสีหน้าตกตะลึง ทว่าผู้ใหญ่ทั้งสองยังไม่ทันได้แสดงความเห็นใด หลิวเปียวก็ชิงด่าทออีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงโกรธเกรี้ยว “คนชั้นต่ำอย่างเ้ากล้าดีอย่างไร ไม่รู้จักเจียมตัว ไม่รู้ต้องเกิดอีกกี่ชาติเ้าถึงจะได้มีฐานะเท่าเทียมใต้เท้าผู้ตรวจการ!”
ิเยี่ยตอบกลับเสียงแข็ง “ิหยวนฐานะห่างจากใต้เท้าผู้ตรวจการมากก็จริง แต่ญาติผู้น้องเองก็ไม่ได้ครึ่งของปั้นเหลี่ยงด้วยซ้ำ”
“ปั้นเหลี่ยงคือผู้ใด!”
ิเยี่ยสะบัดพัดแ่เบา แต่ท่าทางกลับยียวน “ก็แค่ลูกแมวป่าที่อาศัยอยู่ในสวนหลังวัดก่วงจี้”
“เ้า! อยากตายหรือ!”
หลิวเปียวโมโหจนหน้าเปลี่ยนสี ทำท่าจะลุกไปหาเื่อีกฝ่าย แต่ทว่าถูกผู้ใหญ่ห้ามไว้เสียก่อน จากนั้นเฉินปั๋วก็หันมาถามิหลาน “เด็กหนุ่มผู้นี้เป็ลูกหลานตระกูลท่านด้วยหรือไม่?”
ิหลานไม่คิดไม่ฝันว่างานเลี้ยงในวันนี้ จะสร้างชื่อเสียงให้ตระกูลิของตนถึงเพียงนี้ จึงตอบกลับไปด้วยรอยยิ้ม “เด็กคนนี้นามว่า “ิหยวน” เป็ลูกหลานสายแยกของตระกูลิ กำลังศึกษาอยู่ในสำนักศึกษาตระกูลิ พอมีความรู้เพียงผิวเผินเท่านั้น ทว่าเป็คนกล้าแสดงออก ขอฝู่จวินอย่าถือโทษเขา”
เฉินปั๋วประทับใจิหยวนมาก แม้จะสวมชุดชาวบ้านธรรมดา แต่กลับหล่อเหลาสง่างาม “ฮ่า!!! พี่รุ่ยตงอวดข้าเกินไปแล้ว มีจือหลันหายากกับไม้หยกงาม [1] อยู่ในมือ ทำให้ทุกคนอิจฉากันหมดแล้ว”
ิหยวนสะดุ้งโหยง เพราะถูกิเยี่ยสะกิดด้วยศอกสุดแรงเกิด จึงก้มคำนับิหลานเล็กน้อย ก่อนจะลุกออกไปคารวะเฉินปั๋ว “ผู้น้อยยากจน โชคดีที่มีท่านลุงคอยเมตตาสนับสนุนการศึกษา ส่งเสียค่าหนังสือตำรา กระดาษพู่กัน และแท่งหมึก มีของขวัญวันเกิดให้ทุกปี ให้ั้แ่เสื้อผ้าอาภรณ์ไปจนถึงที่ดินทำมาหากิน ครอบครัวของผู้น้อยจึงไม่ต้องใช้ชีวิตด้วยความกังวลว่าตนจะอดอยาก ที่สำนักศึกษายังมีท่านอาจารย์ผู้ใจดีมีความรู้เป็เลิศ คอยอบรมสั่งสอนทุกอย่าง ั้แ่บทเรียนในตำราไปจนถึงการใช้ชีวิต ศิษย์พี่ศิษย์น้องก็คอยดูแลช่วยเหลือ ไม่เคยดูถูกหรือรังเกียจที่ผู้น้อยยากจนและฐานะต่ำต้อยกว่า”
เฉินปั๋วยิ้มพลางพยักหน้า ถอดถุงหอมที่ห้อยเอวออกมา แล้วส่งให้คนรับใช้นำมันมาให้เขา “รู้จักประมาณตน กตัญญูรู้คุณ นี่ถึงจะเรียกว่าปัญญาชน ถุงหอมนี้ข้าให้เ้า ข้าหวังว่าเ้าจะเติบโตงดงามดั่งกล้วยไม้ป่า และยังยึดมั่นในคุณธรรมเฉกเช่นวันนี้”
ิหยวนรับถุงหอมมาและเดินกลับมานั่งที่ ด้านเฉินปั๋วก็ลูบไล้เคราพลางกล่าวบางอย่าง “ในยุคสมัยนี้บัณฑิตที่รู้ระเบียบกฎหมายนับเป็ขุนนางทั่วไป ส่วนบัณฑิตที่รู้เพียงจารีตประเพณีนับเป็ปุถุชน การพิพากษาคดีความมิใช่เื่ง่าย เช่นนั้นนายอำเภอท่านใดพอจะมีคดีความง่ายๆ ไม่ซับซ้อนเกินไป ให้คนหนุ่มทั้งหลายได้ลองตัดสินบ้างหรือไม่”
เหล่าใต้เท้าผู้มีตำแหน่งนายอำเภอที่นั่งเรียงรายอยู่สองฝั่งโต๊ะอาหาร ล้วนแล้วแต่มาจากหลากหลายพื้นที่ เกี่ยวพันกับหลายตระกูล นี่เป็ครั้งแรกที่พวกเขาได้เห็นวิธีการประลองปัญญาเช่นนี้ ต่างคนต่างมองหน้ากัน กลืนไม่เข้าคายไม่ออก แต่ก็สองจิตสองใจ กลัวว่าหากคดีที่ตนเสนอไปมันยุ่งเหยิงเกินควบคุม อาจทำให้ใครสักคนลำบากได้
“ข้ามีคดีง่ายๆ คดีหนึ่ง” นายอำเภอซานหยางนามว่า “เจิ้งก่วงอี้” เอ่ยขึ้น เขาเป็คนเดียวที่ไม่ได้แสดงท่าทีเป็กังวลเหมือนคนอื่นๆ ทว่าเขาแอบหรี่ตามองเหยียดเหล่าเด็กหนุ่มเ่าั้
เจิ้งก่วงอี้สวมชุดผ้าหยาบเรียบง่ายไม่หรูหรา อันที่จริงเขาไม่อยากมางานเลี้ยงพรรค์นี้ด้วยซ้ำ ยิ่งได้ยินข่าวลือของเ้าเมืองคนใหม่ เขาก็ยิ่งไม่รีบร้อนมาก่อนเวลาเพื่อให้เกียรติเ้าของงาน ถึงขั้นมาสายเสียด้วยซ้ำ ั้แ่งานเลี้ยงเริ่ม เขานั่งดื่มกินคนเดียวไม่เข้าร่วมวงสนทนากับผู้ใด และไม่มีผู้ใดกล้ายื่นมือเข้าไปยุ่งกับเทพแห่งความโเี้ผู้นี้ด้วย
บรรดาผู้มีตำแหน่งในที่นี้ ไม่มีผู้ใดไม่รู้เื่ของคนผู้นี้ เจิ้งก่วงอี้มีภูมิหลังต่ำต้อย แต่เขาเป็คนเก่งที่มีความสามารถ อยู่มาวันหนึ่งเขาก็จับพลัดจับผลูได้เป็เขยตระกูลโจว ตระกูลใหญ่ผู้ทรงอิทธิพลในเมืองนี้ ทว่าการเป็เขยในตระกูลใหญ่สำหรับคนต่ำต้อยอย่างเขานั้นไม่ใช่เื่ง่าย คนในตระกูลโจวปฏิบัติกับเขาเหมือนไม่ใช่คน แม้แต่คนรับใช้และพ่อบ้านยังดูถูกเหยียดหยาม ต่อหน้าแสดงความเคารพ ลับหลังเยาะเย้ยถากถาง
แม้กระทั่งบิดามารดาที่เดินทางอย่างยากลำบากมาเยี่ยมเขาที่จวน ก็ยังได้รับการต้อนรับที่แสนเลวร้ายและหยาบคาย พอกลับถึงบ้าน บิดาก็พลันล้มหมอนนอนเสื่อและเสียชีวิตกะทันหัน ในที่สุดเขาก็หมดความอดทน วิ่งร้องเรียนขอความเป็ธรรมกับผู้มีอำนาจจนม้าที่เขาขี่เกือบจะตายไปเสียก่อน
หลังจากพยายามอยู่หลายปี ในที่สุดเสียงของเขาก็ดังไปถึงเบื้องบน ราชวงศ์ยึดหลักความกตัญญูในการปกครอง ตระกูลโจวปฏิบัติต่อพ่อแม่สามีอย่างเลวร้าย บุตรชายกตัญญู ยอมทิ้งอนาคตเพื่อทวงความยุติธรรมให้แก่บิดา เื่ราวความกตัญญูของเขาเป็ที่โจษจันจนฮ่องเต้องค์ก่อนมอบหมายให้ทั้งสามซือ [2] ทำงานร่วมกัน ขุนนางบุ๋นบู๊จึงปฏิบัติการยึดทรัพย์ตระกูลโจว ตัดศีรษะ และเนรเทศ ทำให้ตระกูลโจวล่มสลาย ตระกูลเก่าแก่อายุร่วมศตวรรษถูกกวาดล้างในชั่วข้ามคืน
เหตุการณ์ในครั้งนั้นทำให้เหล่าตระกูลใหญ่เกิดความหวาดกลัว แต่ไม่คิดแก้ไขที่ตนเอง กลับหาผู้คุ้มกันและซ่องสุมกำลังคนไว้แทน อย่างเช่น เซี่ยอ๋อง ทั้งที่เป็ตระกูลใหญ่ที่มีอำนาจแข็งแกร่ง ก็ยังลักลอบนำอาวุธส่วนกลางมาใช้ส่วนตัว โดยอ้างว่านำมาฝึกทหารเพื่อสำรวจทางเหนือ หวังสร้างค่ายทหารป้องกันแนวชายแดนทางเหนือ เหล่าทหารชั้นผู้นำในกองทัพก็เปลี่ยนมาเข้าพวกกับเขาเรื่อยๆ
ส่วนผู้ที่ได้ชื่อว่าบุตรกตัญญูแห่งยุคได้รับการแต่งตั้งเป็นายอำเภอซานหยาง มันยิ่งทำให้เหล่าคนตระกูลใหญ่ต่อต้านเขา ทว่าเขาคือบุคคลที่คนในราชสำนักยกย่องให้เป็ต้นแบบเื่ความกตัญญู ซื่อสัตย์ และเที่ยงธรรม ทั้งยังเป็ที่รู้กันดีว่าผู้ใดก็ตามที่มีเื่กับเขา จะต้องถูกเขาตามกัดเหมือนหมาบ้า จึงไม่มีผู้ใดกล้าคิดสั้นหาเื่เขา และพยายามหลีกเลี่ยงเขาอย่างถึงที่สุด
“อำเภอข้ามีเกษตรกรร่ำรวยคนหนึ่งนามว่า “จางซาน” ภรรยาเอกไม่มีบุตรสักคน ส่วนภรรยารองมีบุตรสาวที่ยังไม่ได้ออกเรือน กระทั่งจางซานเสียชีวิต ครอบครัวนี้ก็ได้รับบุตรชายของญาติมาเป็บุตรบุญธรรม จากนั้นภรรยารองได้เสียชีวิตลง บุตรสาวผู้อ่อนแอจึงถูกบุตรบุญธรรมรังแก แต่ไม่ยอมรับผิดชอบ และส่งเด็กสาวอายุสิบสองไปแต่งกับชายแก่อายุห้าสิบห้าที่อยู่อีกหมู่บ้านเพื่อหวังสินสอด ภรรยารองไม่มีญาติพี่น้อง พอสิ้นมารดาแล้ว บุตรสาวจึงไม่มีที่พึ่งอื่น นางจึงไปตีกลองร้องทุกข์ ขอความเป็ธรรม มาฟ้องร้องพี่บุญธรรมถึงที่ทำการของข้า”
กล่าวจบเจิ้งก่วงอี้ก็โค้งคำนับและนั่งลง เฉินปั๋วจึงหันไปถามเหล่าเด็กหนุ่ม “หากพวกเ้าเป็นายอำเภอ พวกเ้าจะตัดสินคดีนี้อย่างไร?”
เฉินปั๋วกวาดตามองรอบๆ เห็นนายน้อยจากหลายตระกูลห้อยถุงหอมกลิ่นกล้วยไม้ [3] ปักปิ่นดอกไม้ [4] ก็พลันนึกรังเกียจ แต่จ้าวผูไม่คิดเหมือนเขา เขารู้ดีอยู่แก่ใจ ยามนี้บัณฑิตยึดเอาแิจ้วงจื่อและเล่าจื่อเป็ศาสนา และเอาใจออกห่างจากหกคัมภีร์ [5] นักวิจารณ์พ่นคำพูดไร้แก่นสาร หยาบคายไร้มารยาท
ผู้รับราชการถือว่าตนมีเกียรติ ดูิ่ความเที่ยงธรรม เป็ขุนนางเงยหน้ามองฟ้าสูง [6] ขยันปั้นหน้ายิ้ม สรุปแล้วก็คือผู้คนส่วนใหญ่ลุ่มหลงชื่อเสียงอันจอมปลอม แสร้งทำตัวเป็ผู้มีความรู้มีคุณธรรม เป็ขุนนางมียศมีเกียรติ แต่แท้จริงแล้วสถานที่ทำงานเหม็นเน่าจนต้องปิดจมูกเหมือนเดินเข้าตลาดปลา [7] พอนึกถึงเื่นี้ เฉินปั๋วก็พลันถอนหายใจ หากเป็เช่นนี้ต่อไป ไม่รู้บ้านเมืองจะเป็เช่นไร
จ้าวผูไม่้าให้คนอื่นได้หน้า รีบเรียกคนของตนเองเสียงเข้มกึ่งบังคับ “หลิวเปียว เ้าออกมาตอบ”
หลิวเปียวก็แค่หุ่นฟาง [8] ตัวหนึ่ง ยังแยกแยะไม่ได้ด้วยซ้ำว่าใครเป็ใคร นั่งนิ่งอยู่นานก็เริ่มเอ่ยบางสิ่ง “ถึงอย่างไรหากวันหน้า ข้าได้เป็ขุนนางก็จะเป็ขุนนางหลวงในราชสำนัก ทำงานสบายๆ ไม่ต้องตัดสินคดี แต่หากให้ข้าตัดสิน ข้าจะเชื่อฟังท่านพ่อ หากไร้ซึ่งท่านพ่อแล้วก็ต้องเชื่อฟังท่านพี่ หากพี่ชาย้าให้นางแต่ง นางก็ต้องแต่ง สิบสองปีมีระดูแล้ว นางอาจตั้งครรภ์ได้ ฉะนั้นนางควรรีบออกเรือน”
สิ่งที่สำคัญที่สุดในการสนทนาคือความสุภาพ ทว่าคำพูดของเขามันหยาบคายมากเสียจนทั้งห้องตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ก่อนจะะเิเสียงหัวเราะออกมา
จ้าวผูลุกเดินจากไปด้วยท่าทางไม่สบอารมณ์สุดๆ
เฉินปั๋วกวาดตามองรอบๆ อีกครั้ง ผู้คนบนโต๊ะบางคนกำลังงุนงง บางคนทำท่าเบื่อหน่าย แต่พอเห็นสายตาของเฉินปั๋ว ต่างก็รีบก้มหน้าก้มตา เพราะกลัวโดนเรียกออกมาพูด มีเพียงเด็กชายสองคนจากตระกูลิที่ยังนั่งตัวตรง เฉินปั๋วจึงพยักหน้าให้เด็กทั้งสองออกมา “พวกเ้าเป็คนเริ่มหัวข้อนี้ พวกเ้าสองคนก็ต้องออกมาตอบ”
ิหยวนผลักิเยี่ยออกไปข้างหน้า เขามาที่นี่เพื่อหาประสบการณ์และเป็ผู้ช่วย ไม่จำเป็ต้องเสนอหน้า แค่ที่ผ่านมาเมื่อครู่ก็เกินพอแล้ว
ิเยี่ยกล่าวทักทายด้วยท่าทางผ่อนคลาย และเริ่มแสดงความเห็นทันที “เรียนฝู่จวินที่เคารพ หากเป็ศิษย์ ศิษย์จะไม่ยอมทำตามคำสั่งผู้อื่น ศิษย์เชื่อว่าบุตรควรกตัญญูต่อบิดามารดา รักใคร่ดูแลพี่น้อง การที่คนผู้นั้นรังแกเด็กสาวผู้อ่อนแอนั้นถือเป็การกระทำที่ผิดและไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง ตามหลักนิติธรรมแล้ว หากผู้ใดไม่มีบุตรชายสืบทอด บุตรสาวที่ออกเรือนแล้วมีส่วนในทรัพย์สมบัติของตระกูลหนึ่งในสี่ส่วน บุตรสาวที่ยังไม่ออกเรือนมีสิทธิ์หนึ่งในสามส่วน ฉะนั้นทรัพย์สมบัติของจางซานควรแบ่งออกเป็สามส่วน หนึ่งส่วนมอบให้บุตรสาว และภรรยาเอกของบิดาจะต้องเป็คนอบรมเลี้ยงดูนางต่อ จนกว่าจะออกเรือน พอถึงยามออกเรือน ทรัพย์สมบัติส่วนของนางก็นำออกมาใช้เป็สินเดิมเ้าสาว ส่วนบุตรบุญธรรมควรถูกลงทัณฑ์ โดยให้ถูกโบยยี่สิบไม้ แห่ประจานให้ชาวบ้านได้รับรู้ถึงความชั่วกันให้ถ้วนทั่ว”
เฉินปั๋วหันไปถามความเห็น “นายอำเภอซานหยางคิดอย่างไรกับคำตอบของเด็กหนุ่มผู้นี้?”
“เข้าใจมนุษยสัมพันธ์ รู้แจ้งหลักนิติธรรม ตัดสินคดีอย่างเด็ดขาด แม้จะมีข้อบกพร่องอยู่บ้าง ทว่าเด็กหนุ่มอายุน้อยมีความเข้าใจลึกซึ้งถึงเพียงนี้ก็นับว่าไม่เลวแล้ว”
เฉินปั๋วยิ้มพลางพยักหน้าพอใจ “น้อยคนนักที่จะทำให้นายอำเภอซานหยางชื่นชมได้”
ิเยี่ยนั่งลง ลูบอกตนพร้อมถอนหายใจ ก่อนจะหันไปกระซิบถามิหยวน “เ้ารู้ได้อย่างไรว่าท่านเ้าเมืองจะทดสอบหลักนิติธรรมด้วย”
ิหยวนยังไม่ทันได้ตอบ เฉินปั๋วก็เอ่ยเสียงเรียบ “บอกข้ามาตามตรง พวกเ้าเตรียมตัวล่วงหน้า เพราะคาดเดาจากฎีกาที่ข้าเขียนก่อนหน้านี้ใช่หรือไม่?”
สิ้นเสียงราบเรียบ ทุกคนในที่นั้นต่างใ นั่งแทบไม่ติดที่
----------------------------------------------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] จือหลันหายากกับไม้หยกงาม (芝兰玉树) หมายถึง เด็กมีความสามารถ มีอนาคต
[2] สามซือ (三司) หมายถึง ขุนนางขั้นสูงสามตำแหน่ง ได้แก่ ไท่เว่ยหรือซือหม่า (太尉、司馬) เ้ากรมกลาโหม ซือคง (司空) เ้ากรมโยธา และซือถู (司徒) เ้ากรมการศึกษา
[3] กลิ่นกล้วยไม้ (兰芳) สื่อถึงคนมีคุณธรรมมีความรู้
[4] ปักปิ่นดอกไม้ (簪花) คือ เนื่องจากในเทศกาลฉงหยางผู้คนนิยมนำกิ่งจูอวี๋ (茱萸) มาประดับร่างกาย ไม่ว่าจะคล้องแขน ผูกเอว หรือปักผม เพราะเชื่อว่ามันสามารถปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายและช่วยขจัดโรคภัยได้ จึงทำให้บุรุษเริ่มนำดอกไม้มาติดผมั้แ่สมัยราชวงศ์ฉินและฮั่น และได้รับความนิยมจนถึงขั้นกลายเป็มารยาททางการในสมัยราชวงศ์ถังและซ่ง
[5] หกคัมภีร์ (六经) หมายถึง ตำราลัทธิขงจื่อทั้งหกเล่ม ประกอบด้วย คัมภีร์ว่าด้วยเื่การเปลี่ยนแปลง กวีนิพนธ์ นิติธรรม สังคีตศิลป์ การปกครอง และประวัติศาสตร์ยุคชุนชิว
[6] เงยหน้ามองฟ้าสูง (望空为高) หมายถึง ไม่รู้ว่าสิ่งใดถูกสิ่งใดผิด
[7] ตลาดปลา (鲍鱼之肆) หมายถึง สถานที่ที่เต็มไปด้วยคนชั่ว หรือสภาพแวดล้อมไม่ดี มีกลิ่นเหม็นคาว
[8] หุ่นฟาง (草包) หมายถึง คนที่ไร้ความสามารถ แต่ตั้งตัวยืนกรานว่าตนมีความสามารถ แสร้งทำตัวเหมือนตนเป็คนฉลาด
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้