อวิ๋นซานได้กลิ่นสมุนไพรหอมอ่อนๆ จากร่างของจ้าวลี่เจีย กลิ่นนี้เป็กลิ่นที่เขาคุ้นเคยที่สุดและชอบมากที่สุด อย่างไรเสีย เขาก็มีความยึดติดบางอย่างต่อวิชาแพทย์ เป็ความยึดติดที่ไม่ได้น้อยไปกว่าที่มีให้มารดาของอวิ๋นซี ถึงกระนั้นเขาก็ยังคิดจะผลักคนออกไปยามที่สติสุดท้ายยังหลงเหลืออยู่เพียงน้อยนิด
แต่คนบนร่างกลับกอดเขาแน่นเข้า จ้าวลี่เจียมองเขา สีหน้าแน่วแน่ “จางเฉินปิน ข้าทำถึงเพียงนี้แล้ว แต่เ้าก็ยังคิดจะผลักข้าออกไปอีก หรือว่าเ้าจะร่วมแสดงละครเป็พ่อแม่กับข้า แต่อีกทางหนึ่งก็จะออกไปหาสตรีอื่น? ”
ชั่วขณะนั้นอวิ๋นซานก็ไม่รู้แล้วว่าควรจะอธิบายอย่างไร “ข้าไม่เคยคิดจะออกไปหาสตรีคนใดทั้งนั้น” สตรีที่ว่านี้ รวมถึงเ้าด้วย
จ้าวลี่เจียจุมพิตลงไปอย่างดื้อดึง เพื่อกลบฝังคำพูดของเขาให้สนิท จะอย่างไรนางก็เป็คนดื้อดึง ตอนนั้นที่ชอบศิษย์พี่รองก็เป็เช่นนี้ หรือตอนที่ปฏิเสธหลิ่วเซิงเองก็เป็เช่นนี้ และตอนนี้ที่คิดอยากจะเดินไปด้วยกันกับอวิ๋นซานก็เป็เช่นนี้เช่นกัน
นางรู้ดี หากเื่ราวนี้ได้เกิดขึ้นแล้ว นั่นย่อมจะหมายความว่าอย่างไรในอนาคต แต่ว่า นางก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า อวิ๋นซานเป็บุรุษที่เหมาะจะใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน คอยประคับประคองกันและกัน ให้เกียรติเคารพกันไปชั่วชีวิต ซึ่งนางก็เชื่อว่าตนกับอวิ๋นซานต้องทำได้แน่
อวิ๋นซานคิดไม่ถึงว่า นางจะกล้าบ้าบิ่นจริงๆ ทำให้สติที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดของเขาถูกความปรารถนาและเสียงเรียกร้องของร่างกายเข้าครอบงำด้วยจุมพิตของนาง เขาพลิกกายทันที กดคนไว้ใต้ร่าง พูดว่า “ซานเหนียง ต่อให้เ้าคิดอยากจะเสียใจกับการตัดสินใจนี้ ก็ไม่ทันแล้ว”
ยี่สิบปีแล้ว ถึงแม้ความรู้สึกบางอย่างจะยังอยู่ แต่ตามเวลาที่ล่วงเลยไปและความเป็ไปของเื่ราว จริงๆ ก็ไม่ได้สลักไว้บนกระดูกจารึกไว้บนหัวใจแบบในตอนแรกอีกแล้ว บวกกับการเร่งเร้าจากพิษ อวิ๋นซานก็รู้ดีว่า สิ่งที่รอตนเองและจ้าวลี่เจียอยู่คืออะไร
เขาอุ้มคนขึ้นมาด้วยท่าทางหมดสภาพเล็กน้อย ก่อนจะวางคนลงบนเตียงอย่างระมัดระวัง แล้วถามอีกประโยคหนึ่ง “แน่ใจหรือ? ”
แน่ใจหรือว่าจะทำเช่นนี้? แน่ใจหรือว่าจะไม่เสียใจภายหลัง?
จ้าวลี่เจียส่ายหน้า จากนั้นจึงยื่นมือออกไปช่วยเขาแก้ผ้ารัดเอวด้วยใบหน้าแดงก่ำ “ข้า ชอบอาซี ชอบฉางรุ่ยฉางฮว๋าย ชอบครอบครัวนี้” นางเองก็ปรารถนาจะมีครอบครัวเหมือนใครเขา ปรารถนาจะให้มีคนเรียกนางด้วยเสียงหวานหยดว่า ท่านยาย ทั้งยังปรารถนาให้มีคนมาเรียกนางว่า ท่านแม่
ตลอดเวลาที่ผ่านมานางไม่เคยบอกใครว่า แท้จริงแล้วตัวนางโดดเดี่ยวเพียงไร นางเองก็อยากเป็ฝ่ายได้รับความอบอุ่นเล็กๆ น้อยๆ บ้าง ทั้งๆ ที่เคยคิดว่าคนคนนั้นน่าจะเป็ศิษย์พี่รอง แต่สุดท้ายกลับถูกทำร้ายอย่างแสนสาหัส ทำให้นางเพิ่งรู้ว่า หากคนบางคนไม่ใช่ของตน ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มีทางเป็ของตน
อวิ๋นซานถูกความหอมเย้ายวนทรมานเสียจนแทบกระอักแล้ว อีกทั้ง เบื้องล่างยังมีสตรีที่เนื้อตัวอ่อนนุ่มที่ตนไม่รังเกียจอยู่อีกด้วย ตอนนี้สติสัมปชัญญะทั้งหมดของเขาถูกแทนที่ด้วยความปรารถนาโดยสมบูรณ์แล้ว
ทว่า ยามที่กำลังไปถึงปากทางเข้า เขากลับเห็นน้ำตาที่เอ่อไหลลงมาจนถึงโหนกแก้มของจ้าวลี่เจีย เขาหยุดนิ่ง และคิดอยากจะถามนางว่ารู้สึกเสียใจแล้วใช่หรือไม่ แต่นางกลับกล่าวขึ้นก่อนว่า “เบาหน่อย”
เมื่อพูดจบ นางก็เรียนรู้ที่จะตอบรับอวิ๋นซาน
เขาอึ้งไป ก่อนจะจูบซับน้ำตาบนโหนกแก้มนาง กระทั่งยามที่รู้สึกถึงสิ่งขวางกั้น ในใจเขาก็ยิ่งมีความรู้สึกผิดเพิ่มขึ้นหลายส่วน เขาเคียดแค้นคนที่โรยพิษหอมที่เย้ายวนนี้ไว้ยิ่งนัก พิษหอมกินกระดูกจากซีอวี้นี้ นอกจากจะมีฤทธิ์ที่รุนแรงแล้ว ยังสามารถทำให้คนที่ถูกพิษยังคงมีสติรับรู้ในระหว่างที่กระทำเื่เช่นนั้น แต่ไม่อาจควบคุมร่างกายได้
คนเ่าั้้าให้เขาและหลิงเยว่เซวียนกระทำเื่เช่นนั้นในวังหลวง เขาจดจำเื่ราวทั้งหมดไว้ในใจ คนพวกนี้โหดร้ายยิ่งนัก คิดอยากจะทำลายหลิงเยว่เซวียนให้สิ้นซาก
ค่ำคืนนี้ที่เดิมทีควรเป็การเฝ้าปี จ้าวลี่เจียไม่รู้ว่าตนต้องทนรับไปกี่ครั้งกระทั่งฤทธิ์ยาในตัวอวิ๋นซานสลายไปจนหมด นางถึงได้ค่อยๆ หลับไปด้วยความเหนื่อยล้า อวิ๋นซานมองจ้าวลี่เจียที่หลับใหล มองร่องรอยมากมายบนเรือนร่างนาง ดวงตาของเขาฉายแววรู้สึกผิด ขณะเดียวกันในใจก็ได้ตัดสินใจบางประการ นั่นก็คือการยืดอกรับผิดชอบอย่างที่บุรุษควรทำ เื่ในอดีตเ่าั้ผ่านไปแล้วยี่สิบปี ก็ให้มันผ่านไปอย่างไม่หลงเหลือสิ่งใดให้ค้างคา
ในตอนที่เขากำลังครุ่นคิดถึงปัญหานี้อยู่นั้น จู่ๆ จ้าวลี่เจียก็พลิกกาย ยกขาเรียวยาวของนางพาดไปบนท้องน้อยของเขา คนทั้งสองในยามนี้อยู่ในสภาพร่างกายเปลือยเปล่าที่ไร้ช่องว่างระหว่างกัน
เขารู้อยู่แล้วว่า ท่านอนของนางดูไม่ดีนัก แต่เมื่อถูกแขนอ่อนนิ่มทั้งสองข้างนั้นกอดรอบเอวสอบของเขา เขาก็อดไม่ได้ให้ขมวดคิ้ว ก่อนที่สุดท้ายจะทำเพียงดึงผ้ามาห่มคลุมให้ตนและจ้าวลี่เจียอย่างทำอะไรไม่ได้
หวังว่าพรุ่งนี้ยามที่เ้าตื่นขึ้นมาแล้ว เห็นท่าทางเช่นนี้จะไม่นึกเสียใจในภายหลัง...
ระหว่างที่คนทั้งสองกำลังร่วมกันสลายพิษ เดิมทีอวิ๋นซีคิดจะรออวิ๋นซานมาเฝ้าปีด้วยกัน แต่รออยู่เป็นานก็ไม่เห็นท่าทีว่าคนจะมา นางจึงสั่งให้เพ่ยเอ๋อร์ไปดูเสียหน่อย แต่เมื่อเพ่ยเอ๋อร์กลับมารายงาน สีหน้าคนกลับแดงระเรื่อ สาวใช้ยื่นหน้าเข้าใกล้ข้างหูของอวิ๋นซีแล้วกล่าวรายงานเสียงเบาสองสามประโยค
เมื่ออวิ๋นซีได้ยินก็ให้ประหลาดใจเล็กน้อย บิดาของนางกับอาจารย์อาน้อยกระทำเช่นนั้นจริงๆ หรือ ทั้งยังเลือกคืนข้ามปีคืนนี้อีกด้วย
นางยิ้มๆ กล่าวว่า “ดูท่าใช้เวลาไม่นาน ก็จะมีเด็กน้อยที่เด็กยิ่งกว่าลูกชายข้าเรียกข้าว่าพี่หญิงแล้ว” ไม่รู้เพราะเหตุใด คิดๆ แล้วก็รู้สึกแปลกๆ
เพ่ยเอ๋อร์ได้แต่ยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้
อวิ๋นซีหัวเราะหึหึ “มา มา เร็วเข้าเถอะ แม้ท่านพ่อท่านแม่ข้าจะกำลังสร้างเด็กอยู่ แต่พวกเราก็ต้องห่อเกี๊ยว ต้องเฝ้าปีกันต่อไป”
หลังจากที่เฝ้าปีเสร็จ เด็กๆ ก็หลับกันไปแล้ว จวินเหยียนและอวิ๋นซีถึงได้กลับไปห้องตน เมื่อไปถึง เขาก็อุ้มภรรยาสุดที่รักไว้แล้วพูดว่า “ภรรยา ท่านพ่อตายังขยันถึงเพียงนี้ ทว่าสามียังหนุ่มแน่นกว่าเขา แน่นอนว่าจะยอมแพ้ไม่ได้ เ้าว่า พวกเราควรจะขยันให้มากขึ้นหน่อยหรือไม่”
ในคืนนี้ คนที่ถูกทรมานจนกระดูกแทบแหลกสลายออกจากกัน นอกจากจ้าวลี่เจียแล้วก็ยังมีอวิ๋นซีอีกคนหนึ่ง...
เช้าวันถัดมา ตอนที่ตื่นขึ้นมา อวิ๋นซีก็รู้สึกปวดไปทั้งร่าง นางกัดฟันพูดอย่างเหี้ยมโหด “โอวหยางจวินเหยียน อีกเจ็ดวันข้างหน้า หากท่านยังกล้าบังอาจทำกับข้าเช่นนั้นอีก ข้าจะให้ท่านย้ายไปนอนในห้องหนังสือ”
จวินเหยียนรีบพูด “อย่าสิฮูหยิน สามีผิดไปแล้ว ครั้งหน้าสามีไม่กล้าอีกแล้ว เ้าอย่าได้โมโหเลย ข้าผิดไปแล้วจริงๆ ” ััภรรยาไม่ได้ไปเจ็ดวัน น่าอนาถนัก
อวิ๋นซีแค่นเสียงเ็า ฝืนร่างกายที่เ็ปลุกขึ้นมาแต่งเนื้อแต่งตัว หากเป็ในยามปกติ นางนอนมากอีกหน่อยก็ไม่นับเป็อันใด แต่วันนี้เป็วันแรกของปีใหม่ พวกนางต้องติดตามฮ่องเต้และคนอื่นๆ ไปกราบไหว้ฟ้า
จวินเหยียนมองท่าทางของภรรยาจึงได้รู้ว่า เมื่อคืนนี้ตนทำเกินไปจริงๆ ในใจเขารู้สึกผิดยิ่งนัก ทั้งยังพาลโมโหที่กฎบ้าบออะไรนั่นต้องให้คนไปกราบไหว้ฟ้าั้แ่ต้นยามเหม่า [1]
อวิ๋นซีและจวินเหยียนพาเด็กๆ เข้าวัง เพื่อไปคารวะไทเฮา ฮ่องเต้ และฮองเฮาในวันแห่งการเริ่มต้นของปีใหม่ก่อน จากนั้นจึงติดตามฮ่องเต้ไปกราบไหว้ฟ้าที่อารามบรรพชน ชาติก่อนอวิ๋นซีเป็ชายารัชทายาท แน่นอนย่อมต้องรู้ว่า ยามที่กราบไหว้ฟ้านั้น ฮองเฮาจะต้องนำบรรดาฮูหยินตราตั้งทำอันใดบ้าง
‘สามคุกเข่าเก้าคำนับ’ รอจนพิธีการทั้งหมดเสร็จสิ้นก็เกือบจะสิ้นยามเหม่าแล้ว จวินเหยียนพาอวิ๋นซีที่เหนื่อยล้าเสียจนน่าสงสารกลับจวนอ๋อง และเมื่ออยู่ในรถม้า อวิ๋นซีก็นอนหลับไปในอ้อมแขนของจวินเหยียนอย่างไม่ได้เื่เอาเสียเลย
อวิ๋นซีคิดว่า ่เวลาที่ยากลำบากที่สุดในชีวิตก็คือ ยามที่ขึ้นปีใหม่นี่แหละ เมื่อกลับไปถึงจวนอ๋องแล้ว นางยังต้องรับการคารวะปีใหม่จากพ่อบ้าน จากนั้นก็มอบอั่งเปาให้พวกเขา ส่วนเหล่าสาวใช้ ผ่อจื่อ เด็กรับใช้ และองครักษ์ล้วนยกให้เป็หน้าที่ของพ่อบ้าน
หลังจากเสร็จสิ้นพิธีทั้งหมดนี้ อวิ๋นซีและจวินเหยียนก็เตรียมพาเด็กๆ ทั้งสามไปยังที่พำนักของบิดามารดา เพื่อไปคารวะผู้าุโ เนื่องในโอกาสวันปีใหม่
————————————————————————————————————
เชิงอรรถ
[1] ยามเหม่า(卯时)เวลา 05.00-07.00น.