หลิงเสี่ยนก็ลงนามสัญญากับสกุลหูเช่นกัน
สัญญาจ้างเป็เวลาสามปี แม่นางสกุลหูกล่าวไว้แล้วว่าหากภายหลังครบสามปีแล้วและอยากลงนามสัญญาต่ออีกก็นับปีเหมือนเดิม
เช่นนั้นรอเขาก่อสร้างที่ริมฝั่งแม่น้ำผืนนี้เสร็จ ก็สามารถเหมือนกับซิ่วฉายหยาง ที่ถ่ายถอดความรู้อยู่โรงเรียนวั้งหลินได้ใช่หรือไม่?
ในใจของหลิงเสี่ยนตื่นเต้นเล็กน้อย และเขียนร่างสัญญาการคุ้มครองค่ายาแปดฉบับขึ้น
สามฉบับในจำนวนนั้นเป็การลงนามตกลงของเขาและเด็กสองคน
เมื่อซิ่วฉายหยางเห็นสัญญาก็เงียบไม่พูดจาไปครู่หนึ่ง หลังจากนั้นกล่าวอย่างทอดถอนใจว่าสกุลหูช่างเป็ครอบครัวที่มีน้ำใจอย่างแท้จริง
ภายในใจฟางเสิงรู้สึกซาบซึ้งเป็อย่างมาก เขารู้สึกว่าสัญญาคุ้มครองค่าใช้จ่ายยานี้ เห็นได้ชัดว่าตั้งขึ้นมาเพื่อเขา จนถึงตอนนี้เขายังคงดื่มยาตามใบสั่งยากำจัดพิษที่ท่านหมอจางจัดให้อยู่ เดิมทีทุกสิบวันจะไปตรวจอีกรอบและเปลี่ยนใบสั่งยา ต่อมาท่านหมอจางรู้สึกว่าพิษตกค้างในร่างกายของเขากำจัดไปได้แปดถึงเก้าในสิบส่วนแล้ว หนึ่งถึงสองส่วนที่เหลืออยู่ดื้อดึงยากที่จะกำจัดได้ ถูกฟางเสิงใช้กำลังภายในกดยับยั้งไว้อยู่มุมหนึ่ง ดังนั้นตอนนี้วัตถุดิบยาจึงสั่งให้เป็ทุกครึ่งเดือนต่อการไปหนึ่งครั้ง ทั้งนี้จะได้ให้ร่างกายค่อยๆ ขับพิษที่เหลืออยู่ออกไป
ไม่กี่ครั้งก่อนล้วนเป็หูฉางกุ้ยไปส่งพวกเขา พอภายหลังอาชิงเรียนรู้การเร่งเกวียนล่อแล้วจึงไม่รบกวนเขาอีก
ทุกครั้งที่ไปตรวจอีกรอบและซื้อยาสมุนไพร แม่นางสกุลหูให้เงินเต็มหนึ่งเหลียงตามที่ไปเอายาครั้งก่อน หากไม่พอค่อยมาจ่ายคราวหน้า ทุกครั้งนางล้วนให้พวกเขานำใบชำระเงินของท่านหมอจางกลับมาด้วย ตอนแรกเขากับอาชิงไม่ค่อยพอใจเล็กน้อย คิดว่าแม่นางผู้นี้ไม่เชื่อใจพวกเขา ขณะนี้พวกเขาถึงได้รู้ว่าใบชำระเงินเ่าั้คือการนำมาคิดบัญชีในภายหลังได้อย่างสะดวกสบาย
ค่าใช้จ่ายยาสมุนไพรของเขาสองเดือนกว่าที่ผ่านมา นับยิบย่อยมากมายรวมกันขึ้นก็เกือบเกินหนึ่งร้อยเหลียงแล้ว
หากเขายังเป็จอมยุทธ์ในยุทธภพจับดาบไปสุดขอบฟ้าอย่างเมื่อก่อน เงินนิดหน่อยนั่นไม่เท่าไรหรอก แต่เขาประสบกับการถูกคนลอบกัด ตัดเอ็นและกระดูกมือกับเท้า ได้รับการโจมตีที่ทุกข์ทรมานจากพิษที่ไม่มีหนทางกำจัดออก วีรบุรุษอ้างว้างที่เงินหนึ่งเหวินสร้างความลำบากให้ [1] จนกระทั่งชีวิตลำบากยากแค้นระหกระเหินจิตใจสิ้นหวังและเกือบจะสิ้นชีพ
ด้วยเหตุนี้เขาถึงได้เข้าใจว่า มูลค่าของเงินหนึ่งร้อยเหลียงในสายตาคนธรรมดาคือมีค่ามากเท่าไร
เขาลงนามสัญญาด้วยหัวใจที่มีความสำนึกบุญคุณติดอยู่ข้างใน
จ้าวหงซานและจ้าวหงยู่สองคนกลับตื่นใจนส่ายหน้าติดๆ กัน เอาแต่ะโคำพูดทำนองว่า... ไม่ได้ๆ ไม่สามารถให้สกุลหูถูกเอาเปรียบอะไรต่อมิอะไรมากมายได้
เจินจูหยิบสัญญาของอีกหกคนออกมา สองพี่น้องมองหน้ากันอย่างพูดอะไรไม่ออกอยู่นาน ถึงได้กดพิมพ์รอยมือสั่นระริก
ส่วนความคิดอาชา์ทะยานข้ามฟาก [2] ของเจินจู สำหรับหูฉางกุ้ยและหลี่ซื่อนั้นเห็นความประหลาดจนไม่ประหลาดแล้ว และเจินจูยังตั้งใจอธิบายเนื้อหาในสัญญาให้พวกเขาฟังเป็พิเศษแล้วด้วย
สามีภรรยาสองคน เ้ามองข้าหนึ่งที ข้ามองเ้าหนึ่งที ต่างก็ไม่เข้าใจเนื้อหาอยู่บ้าง แค่รู้สึกว่าบุตรสาวตนเองคล้ายกับซ่านไฉถงจื้อ [3] สิงร่าง ทรัพย์สินเงินทองของที่บ้านไม่ได้อยู่ในสายตาเลยสักนิด
แน่นอนว่าเงินของสกุลหู ส่วนใหญ่แล้วมาจากนาง นางอยากใช้มันเพื่อวัตถุประสงค์อะไรก็ตามแต่ใจนาง
สามีภรรยาคู่นี้ต่างไม่ได้มีนิสัยขี้เป็ห่วง ที่บ้านยกให้เจินจูจัดการ ส่วนพวกเขาสองคนเพียงดูแลเื่ที่ตนเองต้องรับผิดชอบก็พอแล้ว
เื่การคุ้มครองค่ายา เพียงอยู่ในขอบเขตเล็กๆ ที่ทำให้เกิดระลอกคลื่น
ไม่กี่คนที่ลงนามสัญญาล้วนเต็มไปด้วยความซาบซึ้งใจ โดยเฉพาะคนที่เคยประสบกับความทุกข์ยากลำบากของชีวิตและการเจ็บป่วย ทั้งหมดต่างเข้าใจได้อย่างลึกซึ้ง
ตอนแรกเจินจูแค่คิดว่า เงินมากมายในมิติช่องว่างของตนเองจะจ่ายออกไปอย่างไรดี คิดไปคิดมาจึงคิดถึงสวัสดิการแรงงานขึ้นได้ แม้สกุลหูตอนนี้จะมีสมาชิกที่ลงนามสัญญาอย่างเป็ทางการแปดคน แต่ไม่แน่ต่อไปอาจยิ่งมากขึ้นก็ได้
ค่าใช้จ่ายยาและการรักษาเมื่อเจ็บป่วย เงินเล็กน้อยเหล่านี้สำหรับนางแล้ว เล็กน้อยจริงๆ ที่สำคัญคือมีน้ำแร่จิติญญาอยู่ในมือ นางรู้สึกว่ารายจ่ายค่ายาและการรักษาในภายภาคหน้าอาจไม่มีความจำเป็เลย
สัญญาการลงนามแค่เลียนแบบสัญญาของกิจการในยุคปัจจุบัน ไม่เพียงแต่มีประโยชน์ต่อการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีงามของสกุลหู แต่ยังสามารถเพิ่มความสามัคคีของพวกเขา ยกระดับความกระตือรือร้น และเก็บบุคคลที่มีความสามารถไว้ได้
การกระทำเล็กน้อยก็สามารถยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวเช่นนี้ ทำไมจะไม่อยากทำล่ะ
อาชิงเดินออกจากบ้าน เห็นหลัวจิ่งกำลังฝึกอยู่กับหุ่นไม้อย่างแข็งขัน ขณะที่กวัดแกว่งหมัดและเท้า เสียงของหุ่นไม้ที่ถูกกระทบก็ดัง “ปึกปักๆ”
อาชิงอดมุมปากกระตุกไม่ได้ เคียดแค้นอะไรเพียงนี้? มือไม่เจ็บหรือ?
“ยู่เซิง วิชา่บ่าย เ้าช่วยอาจารย์คุมนักเรียนหน่อย ข้าจะเข้าเมืองไท่ผิงกับท่านอาฉางกุ้ยสักรอบ”
การกระทำของหลัวจิ่งหยุดลง ตามกรอบใบหน้าเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อชัดเจน “ท่านอาฉางกุ้ยเข้าเมืองเวลานี้ไปทำอะไร?”
“อ่า... ก็ไม่ใช่คุณชายกู้อู่ผู้นั้นมาหรือ บอกว่าเตรียมจะกลับเมืองหลวงแล้ว เลยถือโอกาสผ่านมาเอากระต่ายกับไก่อย่างละสิบตัวกลับไปด้วยเลย รถม้าของเขาเอาไปมากมายเพียงนั้นไม่ไหว ท่านอาฉางกุ้ยเลยช่วยเขานำไปส่งที่ฝูอันถัง” อาชิงเดินไปด้วยกล่าวไปด้วยในปากก็บ่นพึมพำ “ก็ไม่รู้ว่า พวกคนมีเงินเขาคิดอย่างไรกัน ซื้อไก่ซื้อกระต่ายกันในเมืองตรงๆ ก็ได้แล้วไม่ใช่หรือ ทำไมต้องวิ่งมาซื้อถึงหมู่บ้านวั้งหลินเป็พิเศษด้วย แน่นอนว่าไก่และกระต่ายของครอบครัวท่านอาฉางกุ้ยเลี้ยงได้ดีจริงๆ แต่ต่อให้ดีแค่ไหนก็แค่ไก่กับกระต่ายเท่านั้นเองไม่ใช่หรือ”
ดวงตาที่หรี่ลงของหลัวจิ่งมองไปยังทิศทางของบ้านสกุลหู แววตาล้ำลึกและซับซ้อน หลังจากนั้นครู่หนึ่งเขาก็เตะต่อยหุ่นไม้ขึ้นอีก เสียงออกกำลังเตะต่อยดังกว่าก่อนหน้านี้อยู่สองสามส่วน ราวกับระบายความรู้สึกบางอย่างออกมา
ต้นเดือนแปด ผลผลิตทางการเกษตรของหมู่บ้านวั้งหลินเริ่มค่อยๆ เข้าสู่่สุกงอม
ต้นพุทราภายในลานบ้าน ผลพุทราสีเขียวและสีแดงอยู่เต็มทั่วกิ่งก้าน ทำเอากิ่งไม้ล้วนโน้มเอนลงไปครึ่งหนึ่งอย่างหนักหน่วง รออีกสองสามวันก็สามารถเก็บได้อย่างเป็ทางการแล้ว
ข้าวโพด ถั่วเขียว เผือก ถั่วเหลือง ถั่วลิสง และพืชผลอื่นๆ ทยอยลำเลียงเข้าไปยังห้องเก็บของในบ้านทีละชนิด
สิ่งที่ทำให้หูฉางกุ้ยรู้สึกแปลกใจไม่หยุดคือ ปริมาณธัญพืชเกือบทั้งหมดล้วนมากกว่าปีที่แล้วๆ มาสามถึงสี่เท่า ไม่เพียงปริมาณสูงเท่านั้น แต่ยังรูปร่างอิ่มเอิบอีกด้วย
โดยเฉพาะข้าวโพด
ปีนี้หูฉางกุ้ยปลูกข้าวโพดไม่น้อย ที่สำคัญคือตอนต้นปีที่ขุดสระน้ำ เขาใช้ดินที่ขุดสระน้ำขึ้นมาเติมบริเวณที่เป็หลุมจนเต็ม แล้วปลูกข้าวโพดลงไปทั้งหมด พอถึงเวลาเก็บข้าวโพด ผู้ชายทั้งเด็กและผู้ใหญ่ในบ้านล้วนออกมาช่วยเหลือกัน พื้นที่ข้าวโพดหนึ่งแปลงใหญ่ไม่ถึงหนึ่งชั่วยามก็เก็บเรียบร้อย
เมื่อหูฉางกุ้ยตรวจสอบดูข้าวโพดอย่างละเอียด ดวงตาของเขาเกือบถลนจนเข้าไปแนบชิดบนข้าวโพด
นี่เป็ข้าวโพดที่ครอบครัวเขาปลูกหรือ?
รูปร่างใหญ่ อวบอิ่ม สมบูรณ์และเม็ดเรียงแน่น เกือบจะแตกต่างโดยสิ้นเชิงกับข้าวโพดที่ปลูกเมื่อก่อน
เขาเขี่ยฝักข้าวโพดอันแล้วอันเล่า เม็ดข้าวโพดทุกฝักต่างก็ขึ้นถี่แน่น มองแล้วเป็ที่ชื่นชอบอย่างมาก
หลี่ซื่อก็รู้สึกแปลกใจมากเช่นกัน เมื่อก่อนทานเม็ดข้าวโพดผสมซังข้าวโพด ภาพแห่งความทรงจำที่ผ่านมาเข้มข้นเกินไป ทำให้นางไม่ได้คาดหวังต่อข้าวโพดเลย
แต่เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าเป็ข้าวโพดเหมือนกัน ทำไมรูปร่างกับรูปลักษณ์แตกต่างกันมากปานนี้
ไม่เพียงข้าวโพดของครอบครัวหูฉางกุ้ยที่เป็เช่นนี้ ตอนครอบครัวหูฉางหลินเก็บเกี่ยวข้าวโพดก็ค่อนข้างรู้สึกทึ่งเช่นกัน
ข้าวโพดถือเป็การเพิ่มเติมให้กับอาหารประเภทข้าวและแป้งหมี่ตอนที่ไม่เพียงพอ โดยข้าวโพดไม่เป็ที่นิยมในหมู่บ้านวั้งหลินเท่าไร เพราะปลูกได้รูปร่างเล็กปริมาณน้อย และยังกินพื้นที่อีกด้วย ดังนั้นคนที่ปลูกข้าวโพดจึงมีไม่มาก
สกุลหูนับเป็ครอบครัวส่วนน้อยที่ปลูกข้าวโพด อาจเป็เพราะความเคยชิน หากที่นาส่วนใหญ่มีพื้นที่ปลูกข้าวเหลือ ผู้ใดก็ไม่อยากปลูกข้าวโพด
สองพี่น้องสกุลหูถูกข้าวโพดปริมาณสูงหนึ่งกองทำให้ใ จึงมารวมตัวกันที่บ้านเก่าปรึกษาหารือกันและกันทันที
“ฉางกุ้ย ข้าวโพดที่บ้านเ้าปลูกเป็เมล็ดพันธุ์ที่เก็บจากปีก่อนหรือไม่?” หูเฉวียนฝูใช้มือเขี่ยข้าวโพดที่บุตรชายคนเล็กนำมา รูปร่างใหญ่จริงๆ เม็ดเล็กเรียงกันเป็ระเบียบอีกด้วย
“อื้ม ท่านพ่อ ไม่ใช่ล้วนเป็พวกท่านที่ช่วยกันเก็บหรือขอรับ” หูฉางกุ้ยกล่าวเสียงกลัดกลุ้ม
หูฉางหลินส่ายหน้าไม่อยากเชื่อ “จุ๊ๆ ประหลาดนัก ข้าวโพดที่ออกมาของปีก่อนกับปีที่แล้วๆ มาก็เหมือนกันนี่ ล้วนรูปร่างเล็กเม็ดกระจัดกระจาย ทำไมปีนี้เปลี่ยนไปมากเช่นนี้ได้?”
หวังซื่อหยิบข้าวโพดขึ้นมาเพ่งพิจารณาอยู่นานมากเช่นกัน “แม้ข้าวโพดรูปร่างใหญ่ปริมาณสูงจะเป็เื่ดี แต่อย่างไรเสียก็น่าแปลกประหลาดเกินไปแล้ว เื่นี้อย่าบอกกับคนภายนอกเลย ไม่เช่นนั้นครอบครัวเราไม่รู้ว่าจะถูกปั้นเสริมเติมแต่งไปจนกลายเป็ภูติผีปีศาจอะไรเข้าได้”
สีหน้าหูเฉวียนฝูอึมครึม พยักหน้าคล้อยตาม
“แต่ท่านแม่ ตอนเก็บเกี่ยวข้าวโพด คนมากมายล้วนเห็นกันหมดแล้วนะขอรับ” หูฉางกุ้ยกล่าวด้วยความรู้สึกลำบากใจ
พื้นที่ปลูกข้าวโพดของที่บ้านอยู่บริเวณโรงเรียน ตอนเก็บข้าวโพด เด็กมากมายล้วนมาช่วยทั้งนั้น
“นี่… จะทำอย่างไรดีล่ะ?” หูเฉวียนฝูสีหน้าตึงเครียดขึ้น
ยุคสมัยนี้ขนบธรรมเนียมพื้นบ้านศักดินาทางสังคมเป็แบบอนุรักษ์นิยม ความคิดงมงายเชื่อถือเื่ผีสางได้หยั่งรากลึกอยู่ในจิตใจประชาชนชั้นล่างสุด เื่ที่บอกมูลเหตุออกมาไม่ได้ก็จะถูกตราหน้าว่าไม่ดีได้อย่างง่ายดาย
ผลการเก็บเกี่ยวดีก็มีความน่ากลุ้มใจเช่นกันนะนี่
สายตาของหวังซื่อตกอยู่บนกายของเจินจู
เจินจูยิ้มไปทางนาง “เมื่อก่อนข้าวโพดของครอบครัวเราปลูกได้ไม่ดี เป็เพราะเมล็ดพันธุ์ที่เก็บไว้ไม่ดี ข้าวโพดของเราในปีนี้ล้วนเป็เมล็ดพันธุ์ดีที่ซื้อกลับมาใหม่จากในเมือง รวมกับท่านพ่อและท่านลุงใส่ปุ๋ยได้เหมาะสม ดังนั้นการเก็บเกี่ยวข้าวโพดของปีนี้จึงดีกว่าปีที่แล้วๆ มาอย่างมากไงล่ะเ้าคะ”
“อื้ม แต่ครอบครัวเราไม่ได้ซื้อเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดมาจากในเมืองนี่?” หูฉางกุ้ยมองบุตรสาวอย่างมึนงง เมล็ดพันธุ์เหล่านี้เป็เขาเก็บไว้ด้วยมือของตัวเองเลยนะ
“แปะ” หวังซื่อตบฝ่ามือทันที ยิ้มขึ้นทันใด “ก็นั่นน่ะสิ ต้นปีนี้ครอบครัวเราซื้อเมล็ดข้าวโพดพันธุ์ดีจากข้างนอกกลับมา เพราะอย่างนั้นการเก็บเกี่ยวของปีนี้เลยดีเป็พิเศษ เป็เมล็ดพันธุ์ดีจริงๆ ด้วย เงินนั่นจ่ายไปได้คุ้มค่าจริงๆ”
คนทั้งห้องมองหวังซื่อ หูฉางหลินมีปฏิกิริยาโต้กลับมาก่อนคนอื่นๆ “ใช่ๆ ไม่ใช่ว่าเปลี่ยนเมล็ดพันธุ์ใหม่หรือ พวกเราเกือบจำไม่ได้แล้ว ฮ่าๆ”
หูเฉวียนฝูก็รู้สำนึกขึ้นมาเช่นกัน “อื้มๆ ไม่เลว เมล็ดพันธุ์ใหม่เป็ข้าที่ปลูกลงไปด้วยมือของตัวเองเลยนี่”
มีเพียงหูฉางกุ้ยที่ยังคงใบหน้าเขลาอยู่เช่นเดิม ทำไมเขาจำไม่เห็นได้ว่าครอบครัวตนเองเปลี่ยนเมล็ดพันธุ์ใหม่แล้ว
หวังซื่อตีเขาทีหนึ่งอย่างเกลียดเหล็กไม่เป็เหล็กกล้า และกล่าวเสียงต่ำข้างหูของเขาสองสามประโยค
จากนั้นหูฉางกุ้ยจึงดึงสติกลับมาได้
ข่าวคราวผลการเก็บเกี่ยวอุดมสมบูรณ์ของข้าวโพดสกุลหูในปีนี้ แพร่กระจายไปทั่วทั้งหมู่บ้าน
ชาวไร่ชาวนาเกือบทั้งหมดต่างวิ่งไปที่บ้านเก่าเพื่อดูข้าวโพดที่เก็บใหม่ และเป็ไปตามคาด รูปร่างเม็ดอวบอิ่มจริงๆ ด้วย
ได้ยินว่าเป็เมล็ดพันธุ์ข้าวโพดที่ซื้อมาจากในเมืองด้วยราคาสูง จึงให้ผลผลิตในปริมาณที่สูงกว่าเมื่อก่อนอย่างมาก
ในตอนนั้นเองทุกคนต่างเกิดความคิดขึ้น ได้พากันมาขอหูฉางหลินซื้อฝักข้าวโพดไปสองสามฝัก เพื่อให้พวกเขาเก็บไว้ปลูกบ้าง
ผลสุดท้ายข้าวโพดเก็บใหม่ของที่บ้านเก่า พริบตาเดียวก็น้อยลงไปมากกว่าครึ่งแล้ว
หวังซื่อกอบเหรียญทองแดงเศษเล็กเศษน้อยหนึ่งกอง และยิ้มจนตาเป็รูปพระจันทร์เสี้ยว
เป็หลานสาวของนางที่ฉลาดปราดเปรื่องนัก พอคิดขึ้นมาได้ก็ทำภัยพิบัติที่อาจจะเกิดขึ้นให้กลายเป็เื่ดีได้ทันที
เจินจูกำลังกัดข้าวโพดนึ่งสุกคำใหญ่และเคี้ยวอย่างมีความสุข ข้าวโพดเก็บได้ค่อนข้างแก่เล็กน้อย แต่ไม่ได้เป็อุปสรรคต่อความหวานหอมและเหนียวของมันเลย
ข้าวโพดนึ่งหนึ่งหม้อ พริบตาเดียวก็ถูกยื้อแย่งไปจนหมดเกลี้ยง
ผิงอันในมือแทะหนึ่งฝัก ในถ้วยยังวางไว้อีกหนึ่งฝัก
“อื้ม ข้าวโพดอร่อยจริงๆ เมื่อก่อนข้าวโพดที่ใช้ทำวอวอโถวของบ้านเราไร้รสชาติเพียงนั้น แต่ข้าวโพดนึ่งเป็ฝักทั้งหอมทั้งเหนียว ไม่เหมือนฝักข้าวโพดเมื่อก่อนเลยสักนิด”
“อร่อยก็ทานให้มากหน่อย ผ่านไปสองวันจะตากแห้งข้าวโพด ส่วนข้าวโพดเป็ฝักจะไม่มีให้ทานแล้ว จะเอาไปทำเป็แป้งข้าวโพดเก็บเอาไว้” หลี่ซื่อมองบุตรชายทานได้เอร็ดอร่อย ในใจมีความสุขมาก
“ท่านแม่ แป้งข้าวโพดของปีนี้อย่าปนซังเข้าไปเลยนะเ้าคะ ไม่เช่นนั้นจะฝืดติดคอเอาได้” เจินจูคิดถึงวอวอโถวข้าวโพดที่เคยทานเมื่อปีที่แล้วขึ้น ช่างไม่อร่อยจนไม่มีอะไรมาบรรยายได้เลยจริงๆ
หลี่ซื่อได้ยินดังนั้นเบ้าตาจึงแดงขึ้นทันที “เมื่อก่อนเป็พ่อกับแม่ที่ไร้ประโยชน์ ทำให้พวกเ้าได้รับความทุกข์ยากไปด้วย”
“…”
พูดเื่ข้าวโพดอยู่ดีๆ ทำไมถึงพูดเื่เมื่อก่อนขึ้นมานี่ เจินจูอดกุมหน้าผากไม่ได้
อาการแพ้ท้องจากการตั้งครรภ์ของหลี่ซื่อไม่ค่อยปรากฏออกมาชัดเจน แต่อารมณ์ความรู้สึกแปรปรวนอยู่บ้าง เปลี่ยนไปจนอารมณ์เปราะบางอ่อนไหวขึ้น
เจินจูรีบไปข้างหน้าเพื่อปลอบใจ แล้วหันไปส่งสัญญาณทางผิงอัน
เ้าหนุ่มน้อยรีบวิ่งไปออดอ้อนอย่างน่ารักอยู่ในอ้อมอกของหลี่ซื่อทันที
หลี่ซื่อจึงเปลี่ยนจากร้องไห้มาเป็ยิ้มแย้มดังคาด
เชิงอรรถ
[1] วีรบุรุษอ้างว้างที่เงินหนึ่งเหวินสร้างความลำบาก มาจากเงินหนึ่งเหวินสร้างความลำบากให้วีรบุรุษ เป็การอุปมาว่า ความลำบากเล็กน้อยแต่กลับทำให้เื่สำคัญไม่อาจดำเนินต่อไปได้ หรือบ่งชี้ว่าคนที่มีความสามารถ แต่เผชิญหน้ากับปัญหาเล็กน้อยกลับไม่รู้ว่าควรแก้อย่างไร
[2] อาชา์ทะยานข้ามฟาก หมายถึง ความสามารถในการรังสรรค์พรั่งพรูสิ่งต่างๆ ออกมา หรือเรียกว่าความคิดแปลกประหลาดใหม่ๆ ในทางที่ดี
[3] ซ่านไฉถงจื้อ (散财童子) หรือพระสุธนกุมาร หรืออาเอี๊ย ว่ากันว่าขณะที่กำเนิดออกมาได้มีแก้วแหวนเงินทองเพชรนิลจินดาพร้อมรัตนชาติอันมีค่า ต่างได้ผุดขึ้นมาจากพื้นดินเต็มไปทั่วอาณาบริเวณพระราชวังทั้งสี่ทิศ แต่พระกุมารมีนิสัยเบื่อโลก เห็นทรัพย์สินเงินทองของมีค่าเหมือนกองขยะมูลฝอย ภายหลังจึงบำเพ็ญจนกลายมาเป็ผู้ช่วยมือซ้ายของพระโพธิสัตว์กวนอิม
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้