ในฐานะนักวิเคราะห์ทองคำของแผนกการเงินการโดนสั่งให้ไปรินน้ำเพื่อพนักงานฝ่ายขายเล็กๆ ทำให้หลินส้วยโกรธมากจนอยากฆ่าคนเขากล่าวอย่างไม่มีความสุข “ทำไมฉันต้องรินน้ำให้แกด้วย? ฉันคิดว่าแกควรอธิบายการกระทำสุดระยำของตัวเองก่อนนะ”
“ฮะ? ทำไมนายยังไม่ไปอีก? ไม่ใช่ว่านายพูดว่าผู้ช่วยหานพูดถูกและฉันต้องอธิบายให้ทุกคนหรือไง?ตอนนี้ฉันอยากจะอธิบายแล้ว นายก็ไม่ให้ฉันอธิบาย แสดงว่านายจงใจขัดขวางผู้ช่วยหานสินะ...เ้าหลินฮุ่ยนายเกลียดผู้ช่วยหานเหรอ? นายตั้งใจจะเป็ปรปักษ์กับเธอหรือไง?”
หลินส้วยสะดุ้งใเขารีบมองหานอิ๋งอิ๋งและอธิบาย “ผู้ช่วยหานครับ อย่าไปฟังคำไร้สาระของไอ้หมอนี่นะผมไม่ได้ตั้งใจจะเป็ปรปักษ์กับคุณ ผมชื่นชมคุณ...ไม่ว่าจะเป็ความสวยหรือความสามารถที่โดดเด่นของคุณก็ตาม”
หลินส้วยมีพร์สมชื่อไม่สงสัยว่าทำไมเขาถึงสามารถไต่เต้าจากตำแหน่งผู้ช่วยนักวิเคราะห์การเงินเล็กๆจนมาถึงตำแหน่งนักวิเคราะห์ทองคำได้หลังจากเข้ามาในหวงเจียกรุ๊ปเพียงเวลาไม่ถึงสองเดือนการอธิบายของเขาซ่อนคำสารภาพรักไว้อย่างดี
เมื่อคำพูดพวกนั้นออกมาหานอิ๋งอิ๋งก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่และหดรอยยิ้มที่มีเสน่ห์ของเธอ สีหน้าของเธอบึ้งลง“ผู้จัดการหลิน รีบไปรินน้ำสิคะ”
หลินส้วยมองเหมือนคนโดนทุบหัวเขาไม่เคยคิดว่าหานอิ๋งอิ๋งจะยอมรับคำขอที่ไร้ยางอายของฉินเฟิง อย่างไรก็ตามที่หานอิ๋งอิ๋งพูดคือความจริง เธอบอกให้เขาไปรินน้ำให้กับพนักงานฝ่ายขายฉินเฟิงแม้ว่าเขาจะไม่เต็มใจสุดท้ายหลินส้วยก็กัดฟันและไปเอาน้ำมาให้ฉินเฟิงภายใต้สายตาคนดูมากมายนับไม่ถ้วน
ฉินเฟิงหยิบน้ำและสาดมันลงพื้นทันที“ว้าว กะอีแค่รินน้ำล่อไปเป็ชั่วโมง ตอนนี้ฉันไม่หิวแล้ว”
“ฉินเฟิง แก...”
“ฉินเฟิง อธิบายให้ทุกคนฟังได้แล้ว” หานอิ๋งอิ๋งเรียกร้องอีกครั้งเมื่อเธอพูดเสียงจอแจของโรงอาหารก็เงียบลงทันที
“แน่นอนว่าผมจะแถลงให้กับทุกคนเอง แต่นี่ไม่ใช่คำอธิบาย มันเป็คำวิจารณ์”ฉินเฟิงยืนท่ามกลางผู้คนด้วยความจริงจัง เขายืนตัวตรงดั่งปลายทวนเสียงของเขาก็ดังฟังชัด
“ในสังคมที่เจริญและวุ่นวายนี้ เราทุกคนต่างเป็พนักงานของหวงเจียกรุ๊ปเป็เพื่อนร่วมงานที่ทำงานหนักด้วยกันมา ซึ่งเป็เื่ที่น่าภูมิใจมากนี่คือครอบครัวที่อบอุ่นและปลอดภัยเป็เวทีที่ทุกคนสามารถดึงตัวตนและแสดงศักยภาพออกมา ที่นี่เราใช้หยาดเหงื่อของหนุ่มสาวทำงานอย่างหนัก”
“พวกเราต่างเป็พนักงานธรรมดาที่อยู่ระดับล่างและทำงานหนักที่สุดพวกเราอดทนต่อคำเหยียดหยามและการซักถามมากที่สุด แต่เรากลับได้เงินเดือนต่ำที่สุดถึงอย่างนั้นเราก็ไม่ยอมแพ้ พวกเรายังคงทำงานหนัก...ทว่าเมื่อถึงเวลากินข้าวเที่ยง โรงอาหารก็มีการแบ่งแยกลำดับชั้นกันพนักงานธรรมดาที่มีงานยุ่งและหิวมานาน กลับได้กินข้าวที่ไม่น่ากินจากหม้อใหญ่ในขณะที่พวกระดับสูงที่นั่งรับโทรศัพท์แค่ไม่กี่สายในตอนเช้า หิวก็ไม่ได้หิวแต่กลับได้กินอาหารเลิศหรูแทน”
“การกระทำของฉันในตอนแรกมันบ้าบิ่นก็จริง แต่ความคิดของฉันง่ายมากฉัน้าตัดกำแพงแบ่งแยกนี้ออก กำแพงที่แยกความเชื่อใจและความรักใคร่ของเราตอนที่เรากินและพัก เราควรจะโยนตำแหน่งหน้าที่การงานทิ้งไปและเป็เพื่อนที่ดีต่อกันเราไม่ควรจะแบ่งแยกชนชั้น แต่เราควรจะพูดและกินด้วยกันอย่างมีความสุข”
“ตอนนี้เหลือกำแพงกระจกแค่ 3 บานแล้วใครที่เห็นด้วยกับฉัน จงออกมาถีบมันให้พัง”
เมื่อฉินเฟิงพูดจบทุกคนก็ตกตะลึง หัวใจของผู้คนจากฝั่งพนักงานธรรมดาพรั่งพรูและเืร้อนในทางกลับกันหัวใจของคนที่อยู่ในฝั่งชนชั้นสูงก็ถูกแช่แข็งและมีสีหน้าเ็าขึ้น
“ฮ่าๆๆ นี่แกกำลังเล่นเป็ชาวนากำลังประท้วงหรือไง? บ้าบอสิ้นดีแกไม่สามารถล้มล้างชนชั้นฝั่งธรรมดาและชนชั้นสูงได้หรอกฝั่งชนชั้นสูงไม่ใช่แค่ให้พวกเราเหล่าบุคคลมีระดับใช้พักกินข้าวแต่เมื่อมีแขกมาที่บริษัท เราก็ต้องต้อนรับพวกเขาที่นี่ไม่งั้นแกจะให้ลูกค้าคนสำคัญเ่าั้กินกับพวกพนักงานธรรมดาอย่างแกหรือไง?หวงเจียกรุ๊ปไม่จ้างคนขี้แพ้”
“พอได้แล้ว การแยกโรงอาหารเป็ความคิดของท่านประธานฉินมันน่าหัวร่อสิ้นดีที่พนักงานขายอยากจะเป็ผู้นำ ฮ่าๆๆ!”หลินส้วยเป็คนแรกที่ต่อต้านฉินเฟิง เขาเริ่มหัวเราะโดยไม่มีความยับยั้งชั่งใจ
แล้วเสียงหัวเราะก็ดังต่อมาจากหวังเชาและเสี่ยวจางผู้จัดการและบุคคลระดับสูงที่อยู่ในฝั่งชนชั้นสูงหลายสิบคนก็เริ่มหัวเราะตามนี่คือกำแพงปราสาทที่บ่งชี้ถึงสถานะชนชั้น มันขวางกั้นระดับชั้นของพนักงานธรรมดาให้พวกมันเคารพนอบน้อมอยู่ด้านนอกและปรารถนาในตำแหน่งที่สูงมากขึ้นใครจะไม่อยากมีประสบการณ์กับความหรูหราบ้างล่ะ?
“ฮ่าๆ” หานอิ๋งอิ๋งก็หัวเราะด้วยเช่นกัน แต่ไม่ใช่เสียงหัวเราะเยาะเย้ยเธอหัวเราะแบบมีเสน่ห์ให้กับฉินเฟิง แล้วเสียงเ็าเข้มแข็งก็ดังออกมา“พวกคุณทุกคนคิดว่ามันตลกนักเหรอ? จริงๆฉันก็คิดว่าสิ่งที่ฉินเฟิงบอกค่อนข้างมีเหตุผลนะฉันจะถ่ายทอดให้ท่านประธานฉินทราบแน่นอน”
เสียงหัวเราะหยุดลงทันทีพนักงานระดับสูงจ้องหานอิ๋งอิ๋งด้วยความตะลึง ในฐานะผู้ช่วยของท่านประธานฉินทำให้เธอมีตำแหน่งสำคัญในบริษัทคนพวกนั้นไม่กล้าหาเื่เธอ
“ใช่แล้ว ผู้ช่วยหานพูดถูกความคิดของฉินเฟิงแสดงความรู้สึกของพนักงานระดับล่างนับไม่ถ้วนในบริษัทเราควรจะให้ความสำคัญแก่มัน” คนที่สองที่เข้าข้างฉินเฟิงคือหวังจุนหลังจากพูดจบประโยค เขาก็มองฉินเฟิงด้วยความพยายามที่จะเอาใจเขา
ตอนแรกหลินส้วยมาที่นี่เพื่อให้หานอิ๋งอิ๋งมีความประทับใจที่ดีกับเขาและได้รับความกรุณาที่ดีจากเธอแต่ตอนนี้เขาได้ตบหน้าตัวเองอย่างรุนแรง เขาโกรธมากจนคอแดงเขาอยากจะยืนขึ้นและประท้วงเพื่อกอบกู้หน้า แต่แล้วก็มีเสียงต่ำดังออกมาในโรงอาหารสายตาของทุกคนเหลือบไปมองทันที เมื่อพวกเขาเห็นว่าใครพวกเขาก็อ้าปากค้างด้วยความช็อก
แปะๆ!
ฉินหวงที่มาพร้อมกับผู้บริหารสองคนได้เดินมาขณะปรบมือ“หืม?เ้าหนุ่มนี่ก็พูดค่อนข้างกินใจนะ ทำไมเราไม่ปรบมือให้เขากันล่ะ?”
หลังจากเงียบไปสักพักเสียงปรบมือก็สนั่นหวั่นไหวไปทั้งโรงอาหาร
ตอนนี้ท่านประธานฉินยืนขึ้นและเผยความคิดของตัวเองไม่ว่าจะพนักงานในฝั่งธรรมดาหรือในฝั่งชนชั้นสูงทุกคนต่างมีรอยยิ้มบนใบหน้าและปรบมือสุดแรงพร้อมกับส่งเสียงเชียร์
“หลินฮุ่ย หวังเชา ไอ้ขี้ประจบ พวกนายสามคนต่อต้านคำแนะนำของฉันั้แ่แรกพวกนายจะปรบมือทำไม? ลูกผู้ชายควรจะมั่นคงในคำพูดของตัวเองนะเขาไม่ควรก้มหัวให้กับความกดดันของพลังอำนาจหรอก”ฉินเฟิงยิ้มขณะที่กล่าวเื่นี้กับทั้งสาม
หัวใจของทั้งสามเหมือนโดนยิงด้วยลูกศรมันเจ็บมากจนพูดไม่ออก
“ฉินเฟิง คุณสุดยอดมากเลย ฉันดีใจกับคุณด้วยนะ”สวี่รั่วโหรวเดินมาหาฉินเฟิงด้วยความตื่นเต้นเธอมีความรู้สึกเดียวกันกับปัญหาแบ่งแยกชนชั้นของโรงอาหารแห่งนี้แต่ไม่มีความกล้าพอที่จะเปล่งความรู้สึกออกมา
ไม่ใช่ว่านมทุกขวดจะเป็นมชั้นเลิศไม่ใช่ทุกคนจะกลายเป็คนเ้าสำราญได้
“เอาล่ะ ทุกคนเงียบหน่อย” ฉินหวงโบกมือและบอกให้ทุกคนเงียบ
บรรยากาศที่ดูเหมือนงานฉลองตรุษจีนเงียบลงทันทีรอยยิ้มของฉินหวงฉายไปหาทุกคน เขากล่าวอย่างหนักแน่น“ฉันคิดว่าคำแนะนำของเ้าหนุ่มคนนี้ดีมากและการตอบสนองที่กระตือรือร้นของพวกคุณก็แสดงว่าเห็นด้วยงั้นั้แ่วันนี้เป็ต้นไป โรงอาหารพนักงานจะไม่มีการแบ่งแยกกันอีกทุกคนจะกินอาหารเหมือนกันและเพลิดเพลินกับมื้อกลางวันเหมือนกัน”
หลังจากได้ยินการตัดสินใจของฉินหวงเหล่าพนักงานธรรมดาก็รู้สึกเหมือนฝัน ความรู้สึกยินดีมาถึงไวมากตอนที่พวกเขาคิดเื่ความล้ำเลิศของอาหารในระดับไฮคลาสอย่างสเต๊กและอาหารฝรั่งเศสพวกเขาก็เริ่มน้ำลายไหลทันที
สายตาของพวกเขาจับจ้องไปยังฉินเฟิงพร้อมกันเขาเป็คนนำพาเื่ทั้งหมดนี้มาให้ ในสายตาของพวกเขาฉินเฟิงเป็คนสูงส่งเป็เหมือนดั่งแสงสว่าง ไม่ว่าเขาจะไปที่ไหนความสว่างและความยินดีก็จะตามไปด้วย
แล้วฉินหวงก็กล่าวไม่กี่ประโยคเพื่อให้ทุกคนกินต่อเขาไปหาฉินเฟิงและจ้องเขาระหว่างที่ไม่มีใครสนใจ “ไอ้เด็กขี้เหม็นมันจำเป็ต้องก่อความวุ่นวายเพื่อจัดการกับการแบ่งแยกฝั่งในโรงอาหารหรือไง? แค่โทรหาฉันก็พอ แล้วเราจะลงมือเอง”
“ท่านประธานฉินครับ ในฐานะพนักงานฝ่ายขายตัวเล็กๆ ในบริษัทผมจะรู้เบอร์โทรศัพท์ท่านได้อย่างไร? แม้ว่าผมจะโทรไปท่านก็คงเมินผมอยู่ดี” ฉินเฟิงกล่าวลวกๆ
สีหน้าของฉินหวงดำมืดเขาเริ่มโกรธแต่หลังจากคิดสักพัก สิ่งที่ฉินเฟิงบอกก็มีเหตุผลมาก
“ครั้งนี้แกทำได้ค่อนข้างดี ทำให้ดีแบบนี้ต่อไปแล้วกัน!” สุดท้ายแล้วฉินหวงก็กล่าวคำชมสองสามประโยค
ตอนที่เขาได้ยินคำพูดที่เร่าร้อนของฉินเฟิงในตอนแรกคลื่นขนาดใหญ่ก็ท่วมผ่านไปทั้งหัวใจเขารู้สึกใจชื้นระหว่างที่มองดูลูกชายของตัวเองกำลังยืนอยู่ท่ามกลางพนักงานระดับล่างและคิดถึงประโยชน์ของพวกเขา
ผู้นำที่ดีและบริษัทที่ประสบความสำเร็จต้องเริ่มจากการใส่ใจพนักงานระดับล่างพยายามทำให้พวกเขารู้สึกถึงความอบอุ่นและทัศนคติของบริษัทเพื่อให้บริษัทสามารถอยู่รอดต่อไปได้
“ทุกคนกินต่อเถอะ ฉันขอตัวก่อน”สายตาของท่านประธานฉินสบกับหานอิ๋งอิ๋งและสวี่รั่วโหรวและก่อนที่เขาเตรียมจะออกไปนั้น
“ท่านประธานฉินครับ ผมทำเื่ยอดเยี่ยมอย่างนี้แล้วท่านจะไม่ให้รางวัลผมหน่อยเหรอครับ?” ฉินเฟิงถาม
ฉินหวงหยุดเท้าเขามองไปหาฉินเฟิง เงียบไปชั่วครู่และกล่าวกับกรรมการอสังหาริมทรัพย์“ผู้อำนวยการหวง เด็กนี่ถีบผนังกระจกไป 9 บานคิดราคาตามผนังกระจกทุกบานที่ถูกทำลายไปและเพิ่มให้เป็เงินเดือนของเขาในเดือนนี้”
มุมปากของฉินเฟิงยิ้มขึ้นขณะที่มองดูหลังของฉินหวงกำลังห่างออกไป
หานอิ๋งอิ๋งและสวี่รั่วโหรวยืนอยู่คนละข้างของฉินเฟิงครั้งนี้ พวกเธอเอียงใบหน้าและพยายามอย่างหนักเพื่อป้องกันไม่ให้มีอะไรผิดปกติแต่ก็สามารถบอกได้ว่าพวกเธอกำลังสั่นจากการที่หัวเราะอย่างหนัก
ฉินเฟิงชายตาไปที่ผู้หญิงสองคนนั้นและเดินมาหาหวังเชา“หัวหน้าทีมหวังดูเหมือนว่าผมจะไม่สามารถนำอาหารจากฝั่งชนชั้นสูงมาให้คุณได้ลองแล้วล่ะ...เพราะตอนนี้มันไม่มีฝั่งชนชั้นสูงอะไรอย่างนั้นแล้ว”
“ฮึ่ม ก็แค่คนชั้นต่ำที่มัวเมาความสำเร็จ” หวังเชาออกไปด้วยสีหน้าดำมืด
เสี่ยวจางจ้องฉินเฟิงและเดินตามไปทันที“อย่ารีบเหลิงนักเลย เดี๋ยวฉันจะสอนบทเรียนแกในอนาคตเอง”
“ไอ้ขี้ข้า เดินดีๆ ล่ะ” ฉินเฟิงมองดูสองคนที่กำลังหันหลังออกไปและโบกมือ
เมื่อเสี่ยวจางได้ยินคำว่า“ขี้ข้า” เขาก็สะดุดจนเกือบล้ม