ศาลต้าหลี่
บนโต๊ะหินภายในเรือนวางกรงที่มีสัตว์อยู่สามตัว ด้านในแบ่งขังกระต่ายขาว ลูกลิงกับหนูท่อ ร่างกายของสัตว์ทั้งสามมีขนาใหญ่พอๆ กัน
“กระต่ายตัวนี้น่ารักเสียจริง ดวงตาสีแดงคู่นั้นดูแล้วหัวใจของข้าแทบจะละลาย”
“ลิงตัวนี้ปฏิกิริยาตอบโต้ฉับไว น่ารักน่าเอ็นดู ข้าอยากจะอุ้มกลับบ้านนัก”
“หนูตัวนี้ดูแล้วอย่างกับหนูนาที่กินข้าวสารจนอิ่ม”
พวกเขาพูดกันไปเรื่อยเปื่อย สัตว์สามตัวดื่มน้ำไปกัดผักไป ท่าทางน่ารักน่าชัง
มีคนถาม “ใต้เท้าเสิ่น สัตว์สามตัวนี้ซื้อกลับมาทำอะไรหรือ?”
เสิ่นจือเหยียนกับมู่หรงฉือยืนอยู่ด้านข้าง เขายิ้มอย่างมีเลศนัย “อีกเดี๋ยวก็รู้”
พูดจบ เขาก็เตรียมขาหมูสามชิ้นแบ่งเข้าไปในกรงของสัตว์สามตัว จากนั้นก็ปิดประตูกรง
บุรุษหนุ่มคนนั้นรอคอยว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น ดวงตาพลันเบิกกว้าง
มู่หรงฉือจ้องมองตาไม่กระพริบ หวังว่าวิธีการที่เ้าของร้านคนนั้นบอกมาจะใช้ได้
เพียงไม่นาน หนูตัวนั้นเริ่มเปลี่ยนสีหน้า ส่ายหน้าอย่างรุนแรง ก่อนจะคำรามออกมาเสียงต่ำ หนวดข้างปากชี้ขึ้น
ใช้เวลาเพียงเล็กน้อย จากสัตว์ตัวเล็กท่าทางนุ่มนิ่มก็เปลี่ยนมาเป็สัตว์ดุร้ายน่ากลัว
มันะโขึ้นลงอยู่ในกรงอย่างเกรี้ยวกราด ส่งเสียงคำรามออกมาหลายครั้งราวกับคลุ้มคลั่ง ดวงตาดำสองข้างทอประกายดุร้าย มันเห็นขาหมูวางอยู่ด้านข้างก็พุ่งเข้าไป อ้าปากแยกเคี้ยวกัดลงไปด้วยความโกรธ
กระต่ายขาวกับลูกลิงก็มีการเปลี่ยนแปลง แต่ว่าไม่ได้ดุร้ายเช่นเดียวกับหนู
ผ่านไปไม่นาน หนูท่อกัดขาหมูข้างนั้นจนมีสภาพ ‘เต็มไปด้วยาแ’
บุรุษคนนั้นถูกความดุร้ายของหนูทำให้ใจนถอยหลังไปหลายก้าว
มู่หรงฉือกับเสิ่นจือเหยียนมองตากัน เป็อย่างที่คิดเอาไว้
ผ่านไปหนึ่งถ้วยชา กระต่ายขาวกับลูกลิงเริ่มสงบลง กลับมาเรียบร้อยตามปกติ แต่ว่าหนูยังคงดุร้ายอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ดุร้ายจนน่าใ
ครั้นผ่านไป่หนึ่ง หนูจึงค่อยๆ กลับมาเป็ปกติ
เสิ่นจือเหยียนเอาขาหมูทั้งสามชิ้นออกจากกรง เมื่อเอามาเทียบ ‘าแ’ แล้ว ขาหมูที่ถูกหนูกัดสาหัสที่สุด มีาแใหญ่น้อยเต็มไปหมด หลายแผลลึกจน ‘เนื้อ’ ฉีกขาด
“เหมือนาแที่ซุนอวี้เหม่ยถูกกัดหรือไม่?” มู่หรงฉือยิ้มสดใส าแพวกนี้แค่มองก็รู้ สามารถยืนยันได้แล้ว
“คงจะเป็หนูแล้ว”
เสิ่นจือเหยียนกับนางมองตากันแล้วยิ้ม วันนี้ไปยังเขตตะวันออกของเมืองไม่เสียแรงเปล่า ในที่สุดก็ไขปริศนา ‘ปลากินคน’ ได้แล้ว าแบนแขนทั้งสองข้างกับใบหน้าของซุนอวี้เหม่ยกับเสี่ยวลู่คงจะถูกหนูกัด
เ้าหน้าที่ของศาลต้าหลี่คนหนึ่งหัวเราะปรบมือ “ปริศนาปลากินคนที่แม่น้ำลั่วเหอประกาศไขคดี! องค์รัชทายาทกับใต้เท้าเสิ่นร่วมมือกัน ก็ไม่มีคดีที่ไม่สามารถแก้ได้”
ทุกคนพากันร้องรับอย่างประจบประแจง
เสิ่นจือเหยียนสั่งการให้ลูกน้องเอาสัตว์สามตัวไปจัดการ แล้วคุ้มกันองค์รัชทายาทกลับตำหนัก
มู่หรงฉือปฏิเสธไป บอกว่านัดกับฉินรั่วเอาไว้แล้ว
นางเดินทางไปยังสวนซูอวี้เซวียน โดยมีสตรีชุดเขียวคอยนำทางไปถึงหอไม้ไผ่ทางตะวันตกเฉียงเหนือ
ทั้งสองด้านของหอปลูกไผ่เลี้ยงเอาไว้จนแน่นขนัด สีเขียวชอุ่ม ครั้นลมพัดผ่านเบาๆ ต้นไผ่สีเขียวต่างสั่นไหวไปมาให้ความร่มรื่นเป็อย่างยิ่ง
ตัดภาพมาที่ห้องโถงศาลาร่มรื่น ทางเดินใต้ร่มเงา มีต้นไผ่เขียวดกเป็พื้นหลัง หรงจ้านสวมอาภรณ์สีขาว แขนเสื้อทั้งสองข้างพลิ้วไหวไปกับสายลม เส้นผมสีดำมีกวานรัดปักไว้ด้วยปิ่นหยก อาภรณ์ขาวลายน้ำขยับพลิ้วไหวไปตามลม ล่องลอยเป็อิสระ
มือของเขาถือพัดด้ามหนึ่ง กำลังเชยคางสวยของสตรีในชุดเขียวเบาๆ “แม่นางช่วยบอกนามของเ้าได้หรือไม่?”
ในการหยอกเย้านั้นแฝงไว้ด้วยความดื้อรั้นและอิสระไร้การผูกมัด
ดวงตาของมู่หรงฉือมองตรง ก่อนจะเดินเข้าไปในหอไม่ไผ่แล้วเดินมายังห้องที่สอง
ภายในหอไม้ไผ่เย็นสบาย ตัวเรือนตั้งอยู่ในดงไผ่ เป็ความเย็นสบายที่ไม่สามารถบรรยายออกมาได้
แม่นางชุดเขียวเตรียมชา ขนมที่ทานกับชาก็นำมาให้ หรงจ้านถึงค่อยเดินมา
เขายกชายเสื้อคลุมขึ้นแล้วนั่งลง ก่อนจะยื่นหน้าเข้าไปมองนางอย่างละเอียด แล้วคลี่ยิ้มซุกซน “ท่านเ้าสำนักผอมเกินไปแล้ว ท่านควรจะบำรุงร่างกายเยอะๆ ขอรับ”
“ชื่อของสตรีคนเมื่อครู่ ได้มาแล้วหรือ?” นางหยอกเย้า แล้วหยิบขนมเปี๊ยะรสถั่วเขียวขึ้นมาทาน
“เ้าสำนักล้อเล่นแล้ว” เขาไม่ได้รู้สึกกระอักกระอ่วน กลับยังสุขุมยิ่งนัก
“เื่ที่ข้าให้เ้าไปสืบมา ได้อะไรบ้างแล้วหรือยัง?”
“หากสำนักหนึ่งในใต้หล้า้าจะสืบ แม้จะเป็เื่เมื่อหนึ่งร้อยปีก่อนก็สามารถสืบออกมาได้” หรงจ้านทานขนมเปี๊ยะเข้าไปหนึ่งชิ้น ดื่มน้ำชาไปหนึ่งถ้วย หลังจากนั้นก็พูดต่อ “ตอนนั้นรุ่ยหวางกับจิงหวางเป็ศัตรูกัน ต่อสู้กันทั้งต่อหน้าและลับหลังนานหลายปี รุ่ยหวางได้รับความไว้วางใจจากฝ่าา จะทำการใดก็ระมัดระวังตัวมาก แม้จะเป็เื่จวนของตนเองก็ยังระแวดระวัง ข้าหลวงที่วังหลวงส่งมายังจวนหวางก็ลอบจัดการจนหมดไปหลายรอบ”
“เข้าประเด็นสำคัญ” มู่หรงฉือกลอกตามองบนอย่างหมดคำพูด
“เ้าสำนักอย่าเพิ่งรีบร้อนสิ” เขายิ้มสดใสเต็มใบหน้า “รุ่ยหวางให้ความเคารพชายาของตน ในสายตาของผู้อื่น รุ่ยหวางกับชายาปรองดองรักใคร่ รุ่ยหวางไม่มีเจ๋อเฟย แต่กลับมีอนุอยู่หลายคน ข้าเสียเวลาไปมาก ต้องสอบถามคนไปมากมายถึงได้ความมาว่า สตรีที่รุ่ยหวางรักมากที่สุดคือข้ารับใช้คนหนึ่ง แต่เื่นี้น้อยมากที่จะมีคนรู้”
“อ้อ? ทำไมเล่า? เช่นนั้นอนุคนนั้นมีนามว่าอะไร?”
“รุ่ยหวางเฉลียวฉลาด ภายใต้กฎการถ่วงดุลอำนาจเขาไม่ได้ยกสตรีที่ตนโปรดปรานที่สุดขึ้นเป็เจ๋อเฟย แล้วก็ไม่ได้รักใคร่ผู้ใดเป็พิเศษ แต่เอานางมาเป็อนุที่คอยรับใช้ดูแลธรรมดา”
“รุ่ยหวางแพ้ในาแย่งชิงอำนาจ ในจวนของรุ่ยหวางเหล่าข้ารับใช้ที่สำคัญหน่อยถูกลอบสังหารจนหมด แล้วอนุคนนั้นเล่า?” มู่หรงฉือถามอย่างร้อนรน
หรงจ้านดื่มชาอย่างไม่รีบร้อน แล้วพูดต่อ “อนุที่รุ่ยหวางรักมากที่สุดผู้นั้นมีนามว่าชุ่ยหนง ตอนนั้นข้ารับใช้ในจวนรุ่ยหวางถูกสังหารเกือบหมด มีเพียงข้ารับใช้ที่ไม่ค่อยสำคัญมากเท่าไรที่ถูกไล่ออกไป”
ชุ่ยหนง!
คิดไม่ถึงว่าชุ่ยหนงแห่งเรือนชุนอู๋จะเป็อนุของรุ่ยหวาง นางไม่ใช่ข้ารับใช้ธรรมดา
นางนวดหัวคิ้ว รู้สึกว่าเื่ราวชักจะยิ่งวุ่นวายมากขึ้นเรื่อยๆ “ที่เรือนชุนอู๋ในวังหลวงมีสตรีคนหนึ่งนามว่าชุ่ยหนง เ้าไม่รู้สึกว่ามันแปลกๆ หรือ? นางเข้ามาในวังได้อย่างไร?”
เขาพยักหน้า “แปลกจริงๆ หากรุ่ยหวางมีความคิดจะปกป้องอนุที่ตนรักมากที่สุด ให้นางเอาสถานะข้ารับใช้หนีออกจากจวนหวาง นางก็ควรจะหนีออกจากเมืองลั่วหยางไปให้ไกล แล้วทำไมถึงเข้ามาในวังได้?”
“หรือบางทีตอนนั้นอาจบังเอิญเกิดความผิดพลาดอะไรบางอย่าง ทำให้นางจำเป็ต้องเข้าวัง บางทีนางอาจระลึกถึงบุญคุณของรุ่ยหวาง จึงสาบานว่าจะแก้แค้นให้รุ่ยหวาง ดังนั้นจึงวางแผนเข้าวัง แต่คิดไม่ถึงว่าจะถูกขังอยู่ในเรือนชุนอู๋” มู่หรงฉือคาดเดา
หรงจ้านพูดอย่างมั่นใจ “ข้ารู้สึกว่านางกอดความตั้งใจ้าแก้แค้นเข้ามาในวัง”
“แต่นางกลับถูกขังไว้ที่เรือนชุนอู๋ จากนั้นก็ถูกไฟคลอกตายไปเมื่อห้าหกปีก่อน”
“สตรีปกติแล้วก็ตายได้ง่าย ยิ่งอยู่ในวังก็มีชะตาที่จะต้องตายเพิ่มขึ้นอีก”
“ข้าคิดว่าชุ่ยหนงคนนี้ยังมีจุดที่น่าสนใจให้ค้นหาอีกมาก ไม่ใช่แค่ความลับที่นางรู้ เพียงแต่ไม่สามารถพูดออกมาได้ในตอนนี้” หรงจ้านกล่าว
“ชุ่ยหนงกอดความคิดที่้าแก้แค้น ย่อมไม่มีทางอยู่ในวังเฉยๆ โดยไม่ทำอะไรอยู่หลายปี”
จากนั้นทั้งสองยังคุยกันเื่สำนักหนึ่งในใต้หล้า แล้วมู่หรงฉือถึงได้ออกไปจากสวนซู่อวี้เซวียน
ครั้นกลับมาถึงตำหนักบูรพา นางก็อยู่ในห้องตำราจนถึงกลางดึกถึงได้กลับไปพักผ่อนที่ตำหนักบรรทม
...
แสงแรกของยามเช้าย้อมหมู่เมฆ สาดส่องเข้ามาในตำหนักชิงหยวนทำให้เกิดแสงสีแดงประกายทองอันงดงาม
องค์หญิงจาวฮวาพาข้าหลวงนามหรูอวิ๋นเข้ามาที่ตำหนักชิงหยวน แต่มีเพียงข้ารับใช้ข้างกายสองคนที่ตามนางเข้าตำหนักไปได้
มู่หรงเฉิงตื่นแล้ว หยวนซุ่นกำลังดูแลเขาอาบน้ำ
“ลูกมาเข้าเฝ้าเสด็จพ่อเพคะ”
มู่หรงฉางยิ้มสดใส ต่อมาก็มานั่งลงตรงริมเตียง พลางดึงแขนเสื้อของเขา “วันนี้สีหน้าของเสด็จพ่อดูสดใสนะเพคะ”
เขาลูบหัวของบุตรสาวอย่างรักใคร่ ยิ้มเอ่ย “จริงหรือ? ไม่รู้ว่าทำไม วันนี้เจิ้นรู้สึกว่าสดชื่นกว่าวันก่อนๆ”
“วันนี้เสด็จพ่อมีโชคแล้ว ทรงได้รับพรจาก์ เหล่าิญญาร้ายจึงล่าถอยไปแล้วเพคะ”
“ขอแค่เ้าอยู่ในวังดีๆ เจิ้นจะได้ไม่เป็กังวลถึงเ้า อาการป่วยย่อมต้องหายอย่างแน่นอน”
“เพคะ ลูกทำให้เสด็จพ่อเป็ห่วงแล้ว ต่อไปลูกจะเป็องค์หญิงที่เป็แบบอย่างของสตรีในใต้หล้านี้เพคะ” นางคลี่ยิ้มงามราวบุปผา
“เหอะๆๆๆ…” เสียงสรวลของมู่หรงเฉิงดังสดใสขึ้นมา เต็มไปด้วยความยินดี
“ลูกทำโจ๊กซิ่งเหรินเองเชียวนะเพคะ เสด็จพ่อลองชิมฝีมือของลูกสักหน่อย” มู่หรงฉางรับถ้วยหลิวหลีมาจากมือของหยวนซิ่วคนสนิท
“โอ้ เ้าเข้าครัวลงมือทำอาหารให้พ่อด้วยตัวเองเลยหรือ ลงมือทำน้ำแกงแบบนี้ไม่ง่ายเลยนะ” ฮ่องเต้ตรัสพลางสรวล ทำท่าทางตกตะลึง “ลาภปากเจิ้นแล้ว”
“แน่นอนสิเพคะ เสด็จพ่อรีบชิมเถิด ลูกทำครั้งแรก เสด็จพ่อช่วยแนะนำด้วยนะเพคะ” นางออดอ้อน
มู่หรงเฉิงลองชิมไปหนึ่งคำ แล้วก็ตักขึ้นมาชิมอีกคำ หัวคิ้วขมวดเล็กน้อย
ตอนนี้เอง มีนางกำนัลเดินเข้ามาอย่างเงียบเชียบ มือทั้งสองข้างถือถาดไม้ที่วางอาหารเช้าของฮ่องเต้
มู่หรงฉางขมวดคิ้วอย่างผิดหวัง “ไม่อร่อยถึงเพียงนั้นเลยหรือเพคะ?”
มู่หรงเฉิงยิ้มให้กำลังใจ “พอใช้ได้ เ้าทำเป็ครั้งแรก ฝีมือขนาดนี้ก็เก่งมากแล้ว”
หยวนซุ่นกล่าวเตือน “ฝ่าา ควรเสวยอาหารเช้าได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
มู่หรงฉางลุกขึ้น ก่อนจะยกถ้วยหลิวหลีนั้นคืนมา “เสด็จพ่อรับอาหารเช้าเถิดเพคะ ลูกทูลลา”
มู่หรงเฉิงยิ้มพยักหน้า นางกำนัลคนนั้นก้มหน้าน้อยๆ พลางยกถาดไม้เข้ามา หยวนซุ่นััได้ถึงความผิดปกติ จึงพูดตำหนิเสียงต่ำ “ไม่รู้จักกฎระเบียบหรือ? ส่งอาหารมาให้ข้าก็พอ เ้าถอยไป”
นางกำนัลไม่มีความคิดที่จะส่งถาดไม้ไปให้ หยวนซุ่นยิ่งรู้สึกแปลกประหลาด ในตอนที่กำลังจะห้ามไม่ให้นางเข้ามาใกล้มากกว่านี้ ทันใดนั้นเอง
แสงสีเงินก็ปรากฏขึ้น เพียงวูบเดียวผ่านไป
มีดสั้นก็แทงไปทางมู่หรงเฉิงด้วยความรวดเร็ว
มู่หรงเฉิงใตะลึงค้าง เพียงครู่เดียวก็ถอยหลังไป
เพียงเสี้ยวขณะก็เพียงพอให้นางกำนัลคนนั้นเข้าใกล้
ภายในชั่วพริบตา นางกำนัลคนนั้นก็เผยดวงตาดุดัน ก่อนจะแทงมีดเข้าไปที่เนื้อ
ทว่า ที่แทงไปไม่ใช่หัวใจของมู่หรงเฉิง แต่เป็บ่าของหยวนซุ่น เขาซึ่งอยู่ในอารามใ จะหยุดนักฆ่าก็คงไม่ทันการ จึงทำได้เพียงเอาร่างกายของตนเข้ากำบัง
โลหิตไหลทะลักออกมา หยาดเืกระเซ็นถูกใบหน้าของนางกำนัลผู้นั้น
“มีนักฆ่า! ใครก็เข้าได้มาที! มีนักฆ่า!”
มู่หรงเฉิงร้องออกมาด้วยความใ แล้วหนีลงจากเตียงด้วยความหวาดกลัว
นางกำนัลคนนั้นทำภารกิจไม่สำเร็จ ดวงตาเต็มไปด้วยไอสังหารรุนแรง นางะโข้ามเตียงตามไปโจมตีมู่หรงเฉิง
หยวนซุ่นไม่สนใจบ่าที่าเ็ คว้าตัวนักฆ่าเอาไว้แน่น ไม่ให้นางทำร้ายฝ่าา “ใครก็ได้เข้ามาที...มีนักฆ่า...”
นักฆ่าคนนั้นซัดฝ่ามือเข้าที่อกของหยวนซุ่นไปหนึ่งที แต่หยวนซุ่นยังคงจับนักฆ่าเอาไว้แน่น ปากมีเืสดๆ ทะลักออกมาจนโลหิตชุ่มไปทั้งตัว
“ฮ่องเต้ ตายเสียเถอะ!”
นักฆ่ายิ้มเย็น ซัดฝ่ามือไปอีกหนึ่งที ปรานสีขาวรุนแรงก็พุ่งไปยังมู่หรงเฉิงที่หลบอยู่ตรงมุมกำแพง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้