อวิ๋นอี้ไม่คิดไม่ฝันเลยว่า นางจะโด่งดังด้วยเื่กระไรเช่นนี้
แปลกใจก็แปลกใจ แต่มิได้ทำให้นางโกรธเกรี้ยว
นางเป็คนที่ไม่ค่อยสนใจสายตาผู้อื่นมากนัก เพราะนางรู้ว่าตนเองเป็ผู้ใด ดังนั้นคำพูดของผู้อื่นจึงมิมีอิทธิพลต่อนาง
เพียงแต่ว่าชื่อสตรีร้ายที่ได้มา ทำให้นางรู้สึกสับสนไม่น้อย
“ข้าทำกระไรหรือ เหตุใดถึงเล่าขานกันเช่นนั้น?” อวิ๋นอี้มองยาชิงอย่างไม่เข้าใจ โน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย แล้วพูดด้วยน้ำเสียงสงบ “บอกข้าทีสิ”
นางตอบกลับอย่างสงบนิ่ง ทำให้หรงซิวกังวล ทำเอามิกล้าที่จะพูดออกมา "อวิ๋นเออร์ น่าจะเป็เสียงเ้าในตอนบ่ายล่ะนะ"
"อ้อ..." นางลากเสียงยาว แล้วเลิกคิ้วขึ้น "เช่นนี้นี่เอง"
เดิมทีคิดว่านางคงจะดุด่าออกมาบ้าง หรือถึงกับโกรธ ทว่าผู้ใดจะรู้ว่านางเพียงพูดเบาๆ แล้วก้มหน้าทานต่อ
หรงซิวก็ยิ่งไม่เข้าใจ
สตรีล้วนใส่ใจชื่อเสียงของตนเองกันทั้งนั้น แม้ใบหน้าจะสงบ แต่ภายในอาจจะมีอารมณ์รุนแรง เขาจึงสังเกตใบหน้าของอวิ๋นอี้ เงียบนิ่งไม่พูดกระไร
หลังจากทานอาหารเสร็จทั้งสองพลันกลับไปที่ห้อง เขาจึงถามขึ้นด้วยความไม่สบายใจ “อวิ๋นเออร์ เ้าไม่สนใจคำข้างนอกที่บอกว่าเ้าเป็สตรีร้ายเลยหรือ?”
“ถึงสนใจแล้วจะทำอย่างไรได้เพคะ ข่าวมันลามออกไปหมดแล้ว ข้าจะห้ามปากผู้คนได้หรือ?" อวิ๋นอี้นั่งลงบนเตียง ขาเล็กๆ ทั้งสองห้อยไปมา "ที่จริงแล้ว ข้ารู้ดีว่าข้าเป็คนอย่างไร มิจำเป็ต้องรู้จักจากปากผู้อื่น"
ดวงตาของหรงซิวมืดลง ถามต่อไป “ทว่าต่อไปเ้าก็จะต้องใช้ชีวิตในชื่อของสตรีร้ายนะ”
“เช่นนั้นก็ดีสิเพคะ” อวิ๋นอี้ยิ้ม “เช่นนั้นข้าจะทำกระไรได้ตามใจชอบ จะด่าท่านก็ด่า จะตีก็ดี อย่างไรเสียข้าก็เป็สตรีร้าย หากเื่แพร่ออกไปก็มิมีกระไรเลวร้ายลงหรอกเพคะ”
“......”
ก็ได้
หรงซิวมุมปากกระตุก แต่ก็ต้องเห็นด้วยว่าสิ่งที่นางพูดมีเหตุผล
เมื่อเห็นว่านางกำลังจัดเตียง ดูเหมือนว่านางกำลังจะเข้านอน หรงซิวพลันเดินช้าๆ ไปข้างหน้า กำลังจะถอดเสื้อนอกออก ก็ถูกอวิ๋นอี้เอาหมอนให้
นางชี้ไปที่ประตูด้านนอก “ออกไปนอนข้างนอกเพคะ”
“อวิ๋นเออร์...”
“ออกไปเพคะ”
ใบหน้าของสตรีตัวน้อยเคร่งเครียด ริมฝีปากตึง มีความดุดันในแววตา
หรงซิวถอนหายใจ ก้มตัวลงจูบที่แก้มของนาง พูดอย่างเสียใจเบาๆ “ออกก็ออก หากเ้าคิดถึงข้ากลางดึกออกมาเรียกข้านะ ข้าจะมาหาทันทีเลย”
หลงตนเองให้น้อยๆ หน่อย
อวิ๋นอี้กลอกตาขาว โบกมือให้เขาอย่างไร้อารมณ์ ส่งสัญญาณให้เขาออกไปเร็วๆ
หลังจากคืนนั้น อากาศก็ร้อนขึ้น
ในตอนเช้า อวิ๋นอี้เอนหลังพิงเก้าอี้อย่างเกียจคร้านดูบัญชีที่นางยังดูไม่จบเมื่อวาน จึงเอากลับมาด้วย เพราะอย่างไรนางอยู่บ้านก็มิมีกระไรทำ
ตอนแรกดูจนเหนื่อยแล้วนางอยากจะออกไปข้างนอกเสียหน่อย ทว่าทันทีที่นางออกไป ก็เห็นสีแดงเต็มไปหมด นางจึงได้แต่เดินกลับเข้าไปในเรือนของนาง
เกือบทุกที่ในจวน มีอักษรมงคลสีแดงไปทั่ว ใต้ชายคาเรือนหลักเรือนรองล้วนมีโคมไฟสีแดงแขวนอยู่ บรรยากาศของงานอภิเษกที่ใกล้เข้ามามีอยู่ในทุกมุมของจวน
นอกจากที่เรือนของอวิ๋นอี้กับเสี่ยวมู่อวี่แล้ว ยังมีเรือนของหลี่ซูซวน
เซียงเหอถอนหายใจ “พระชายาเพคะ คิดไม่ถึงเลยนะเพคะ ว่าท่านอัจฉริยะหลี่จะเป็คนยึดความเป็ธรรม เขาไม่แขวนโคมแดง ดูแล้วเขาคงจะชอบท่านกับองค์ชายนะเพคะ!”
มิใช่หรอก อวิ๋นอี้คิด
คนอย่างหลี่ซูซวน เขาไม่ทำเพื่อไว้หน้าผู้ใดหรอก เหตุผลที่เขาไม่แขวนโคมแดง คงเป็เพราะเขาคงจะแค่ไม่ชอบสีแดงล่ะนะ
“ฝ่าาเล่า?” นางมิได้ตอบคำถามเซียงเหอ นางเพียงถามคำถามที่อยากรู้ “เขาอยู่ที่ใด?”
เซียงเหอมุ่ยปาก ลังเลเป็อย่างมาก แต่นางไม่อยากบอก
อวิ๋นอี้เห็นท่าทีของนางจึงจิ้มคางเซียงเหอไปหนึ่งที “บอกมา! มิฉะนั้นข้าจะจับเ้าแต่งงานพรุ่งนี้เลย!”
สตรีสาวหน้าบาง นางกลัวที่สุดที่จะพูดถึงเื่แต่งงาน ตอบอย่างไม่เต็มใจไปเพราะกลัวอำนาจของพระชายา “ฝ่าาออกไปเพคะ บอกว่าจะไปพบท่านหญิงหว่านฉือ”
“......”
นางอยากจะตบตนเองจริงๆ ถามกระไรมิถาม ดันถามคำถามที่ทำให้ตนเองต้องทุกข์ใจ
หรงซิวไปหาหว่านฉือ เพราะเขาได้รับคำเชิญจากหว่านฉือ ที่นัดพบอยู่ที่ตึกดอกไม้ไกลออกไป เมื่อเข้าไปในร้านจะได้เห็นดอกไม้บางสะพรั่ง หลากหลายชนิด
บริเวณหลังพุ่มดอกไม้ มีอาคารสูงแปดชั้นตั้งอยู่ ค่อนข้างตระการตา
ตามขั้นบันได ในทุกๆ สองถึงสามขั้น จะมีคนใช้ตัวเล็กๆ คอยรับใช้ เมื่อเขาเห็นเขามาจึงนำเขาไปที่ห้องชั้นสี่
การเก็บความลับของตึกดอกไม้นั้นดีมาก หรงซิวนั่งลง มองสตรีตรงข้าม สีหน้าของเขามิมีความเคลื่อนไหวใด
เขาพยักหน้า “หว่านฉือ”
“การเชิญฝ่าามาครานี้ หว่านฉือขาดการพิจารณาเสียจริง แต่ว่าหว่านฉือมีเื่สำคัญจะต้องพูดกับฝ่าาเพคะ” หว่านฉือมองเขาอย่างรวดเร็ว แล้วละสายตาออกอย่างเร็ว
หรงซิวมีหน้าตางดงาม เพียงนั่งเฉยๆ ก็ยากที่จะเก็บซ่อนความเป็ชนชั้นสูงของเขาไว้ได้ ท่าทีเรียบง่าย ความเย่อหยิ่ง เขามิได้พูดกระไรเลย ดวงตาที่สวยงามดูเยือกเย็น เพียงยกยิ้มขึ้นเล็กน้อยก็เพียงพอที่จะทำให้ผู้คนหลงใหล
นี่คือบุรุษที่นางหลงใหลมานานหลายปี
“เ้าพูดเถิด”
หว่านฉือขยับริมฝีปาก “ข้ารู้ว่าฝ่าาถูกบังคับให้แต่งงานกับข้า ทว่าเื่ก็มาถึงเช่นนี้แล้ว เรามิมีทางเลือกอื่น เช่นนั้นข้าจึงคิดว่าเราควรจะอภิเษกกันปลอมๆ เสียจะดีกว่าเพคะ”
บุรุษหนุ่มที่อยู่ตรงข้ามมีการเคลื่อนไหวขึ้น มือของเขาที่หยิบถ้วยชาอยู่ขยับเล็กน้อย เขาดูเหมือนจะยิ้มแล้วพูดว่า “อภิเษกปลอมๆ อย่างไรหรือ?”
“ก็คือผ่านไประยะหนึ่งข้าจะออกมาเอง จะไม่รบกวนท่านกับพระชายาเพคะ” หว่านฉือมองไปที่เขาแล้วถามอย่างระมัดระวัง “ฝ่าาคิดอย่างไรเพคะ?”
หรงซิวไม่พูดกระไร เขาจิบชาช้าๆ
“......”
หว่านฉือมิรู้ว่าเขาคิดกระไร
อันที่จริง รู้จักกันมานานเช่นนี้ ทว่านางมิเคยรู้ว่าบุรุษผู้นี้คิดกระไรอยู่
ดูเหมือนว่าจะเข้ากันได้ดี แต่ก็มิใช่เช่นนั้น
เขามีขอบเขตอยู่ในใจของเขา หากมิได้รับการอนุมัติจากเขา ก็เข้าไปมิได้ ราวกับเป็คนนอกเสมอ มิรู้เลยจริงๆ ว่าตัวตนของเขาจริงๆ เป็อย่างไร
หว่านฉือได้สติจากความคิดของนาง ยังคงมิได้คำตอบจากหรงซิว นางก็เม้มปากแล้วพูดด้วยน้ำเสียงแ่เบาว่า “ฝ่าาเพคะ?”
หรงซิววางชาลงบนโต๊ะ ลุกขึ้นยืนแล้วยิ้มให้นาง จากนั้นก็โบกมือให้ “ขอบคุณสำหรับน้ำชา”
“ฝ่าา!”
หรงซิวออกจากตึกดอกไม้ไปอย่างไม่เหลียวหลังกลับ
เขาไม่สนใจว่าการอภิเษกจะจริงหรือปลอม สิ่งที่เขาสนใจคือมีคนคิดว่าเขาเป็คนโง่ คิดจะปั่นหัวเขาเล่น
ความสงสัยที่มีต่อหว่านฉือก่อนหน้านี้ยังไม่ชัดเจน ถึงขั้นยังไม่กล้าจะแน่ชัดได้ เขาเป็เพื่อนกันสมัยเด็ก เป็คนรักในวัยเยาว์ คุ้นเคยกันมาก หว่านฉือในใจของเขาช่างเป็คนจิตใจดี นางมิมีทางเ้าเล่ห์ได้เช่นนี้
ทว่าเพลานี้การกระทำที่ต่อเนื่องของนางได้ทำลายความไว้วางใจทั้งหมดของเขา
อย่างแรกคือนางไปคุยกับอวิ๋นอี้ บอกนางในเื่ที่เขาตั้งใจจะปิดบังมาตลอด จากนั้นก็สารภาพกับเขามาบอกว่านางจะออกไปเอง สร้างภาพลักษณ์ที่สมบูรณ์แบบให้ตนเอง
หรงซิวพ่นลมหายใจเบาๆ คิดจะเล่นกับเขา ยังอ่อนหัดนัก
เขาขอให้ยาชิงตรวจสอบหว่านฉือ พอถึงกลางคืนก็รู้ผล
ยาชิงพาคนสองสามคนที่ดูเหมือนพวกอันธพาลเข้าจวนมาจากประตูหลัง และพาเข้าไปในห้องหนังสือ
หรงซิวกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้กำลังเล่นกริชในมือที่มีแสงเย็นเยียบ เขาควงกริชในฝ่ามือ โยนขึ้นไปในอากาศแล้วจับไว้อย่างมั่นคง
อันธพาลทั้งสามถูกยาชิงสั่งสอนจนหน้าปูดโปนเขียวบวมพวกเขาคุกเข่าลงบนพื้นตัวสั่น ร้องขอความเมตตา
“ฝ่าาพ่ะย่ะค่ะ”
ทันทีที่เขาพูดจบ เขาก็ได้ยินเสียงแทงเข้าที่ไหล่ของพวกอันธพาล
ในคืนที่เงียบสงัด เสียงกรีดร้องนั้นโหยหวนฟังดูน่ากลัวไม่น้อย
หรงซิวหยิบผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดเืในมือ แล้วถามอย่างไม่รีบร้อนว่า “ผู้ใดให้พวกเ้าไปป่าวประกาศข่าวลือเื่ข้ากับหว่านฉือกัน?”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้