ณ ถ้ำเพลิงวาโยที่ผาหทัยโดดเดี่ยวแห่งตำหนักดาวเหนือ
หลิ่วิเยวี่ยอยู่ที่นี่มาสามวันแล้ว เมื่อใดก็ตามที่เพลิงปฐีปรากฏ นางจะใช้เสียงฉินเพื่อช่วยนักบุญหญิงบรรเทาความเ็ป ยามสายวาโยพัดมาทั้งสองก็จะพูดคุยกันอย่างจริงใจ
“ิเยวี่ยรู้หรือไม่? การได้พบเ้าเป็สิ่งที่มีความสุขที่สุดที่เกิดขึ้นกับข้าในรอบสิบหกปี ์ทรงเมตตาข้าอย่างแท้จริง!” นางจับมือหลิ่วิเยวี่ยด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความอ่อนโยน
“ข้ารู้ว่าท่านนักบุญดีต่อข้าเพียงใด ในอนาคตหากข้าแข็งแกร่งขึ้น ข้าจะช่วยท่านออกไปเป็แน่” หลิ่วิเยวี่ยสูญเสียมารดาไปั้แ่ยังเล็ก และใน่สามวันนี้นักบุญก็ปฏิบัติต่อนางราวกับเป็ลูกของตนเอง ซึ่งทำให้นางรักและผูกพันกับนักบุญอย่างมาก
“เพียงเ้ามีใจก็พอแล้ว เราจะพูดถึงเื่นี้ในภายหลัง เ้าเติบโตขึ้นมาในเมืองเสวียนซานและความแข็งแกร่งของซูอู่นั้นก็อยู่ในระดับปานกลาง เช่นนั้นพลังของเ้าตื่นขึ้นมาและฝึกทักษะซิงซิวจนเชี่ยวชาญได้อย่างไร?”
ในฐานะนักบุญแห่งตำหนักดาวเหนือ จัวหลานชิวจึงมีความรู้และค่อนข้างสับสนเกี่ยวกับการตื่นขึ้นของหลิ่วิเยวี่ย
เมื่อหลิ่วิเยวี่ยได้ยินเช่นนี้ ร่องรอยความขมขื่นก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่งดงามของนาง
“พลังของข้าตื่นขึ้นเพราะโบราณวัตถุของท่านแม่ที่ห้อยอยู่บนอกมาั้แ่ยังเล็ก” หลิ่วิเยวี่ยตอบพลางถอดจี้ออกจากคอ สายสร้อยทอจากด้ายเงิน ส่วนจี้เป็หินเมฆาโปร่งใสที่มีแสงเรืองรองไหลอยู่ภายใน
จัวหลานชิวมองจี้ด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อ “นี่คือสมบัติของแม่เ้าหรือ?”
“ซูอู่บอกว่าหลังจากที่ข้าเกิดท่านแม่ก็ห้อยจี้นี้ไว้ให้ และั้แ่ข้าจำความได้ ข้ามักจะหยิบมันออกมาดูทุกครั้งที่คิดถึงท่านแม่ จากนั้นเมื่อเวลาผ่านไปข้าก็ค้นพบความลับของมันเข้าโดยบังเอิญ”
จัวหลานชิวหยิบจี้นั้นขึ้นมาดูอย่างระมัดระวังเป็เวลานาน ก่อนจะถอนหายใจ “ข้าจำสิ่งนี้ได้”
“อะไรนะ? ท่านรู้จักโบราณวัตถุของแม่ข้าหรือ?” หลิ่วิเยวี่ยทั้งใและตื่นเต้น เื่นี้ทำให้นางประหลาดใจมาก
“ถ้าข้าจำไม่ผิด นี่น่าจะเป็ของที่พ่อของเ้าทิ้งไว้ให้เ้า”
“ของที่ท่านพ่อทิ้งไว้? ท่านรู้จักพ่อของข้าหรือ?” หลิ่วิเยวี่ยจับมือจัวหลานชิวแน่น นี่เป็ครั้งแรกที่นางได้ยินข่าวคราวเกี่ยวกับบิดาผู้ให้กำเนิดของตน
แม่ของนางเสียชีวิตเมื่อสิบหกปีก่อน ยามนั้นนางยังเด็กและไม่รู้ว่าพ่อของตนคือผู้ใด แต่ใครจะคิดว่าสิบหกปีต่อมาจะได้ยินเบาะแสที่เกี่ยวข้อง เช่นนี้จะไม่ให้นางตื่นเต้นได้อย่างไร?
เมื่อเห็นสายตาคาดหวังของหลิ่วิเยวี่ย จัวหลานชิวก็ได้แต่เศร้าใจ “สิบแปดปีที่แล้ว ในแดนลับซิงซิวแห่งหนึ่ง ข้ากับพ่อของเ้าเคยติดต่อกันอยู่บ้าง เขาเป็อัจฉริยะรุ่นหนึ่งของศาลาดารา์ ขณะที่ข้าเป็นักบุญของตำหนักดาวเหนือ เพื่อแย่งชิงสมบัติลับในยามนั้น เหล่าศิษย์ที่โดดเด่นจากสามแดนศักดิ์สิทธิ์ของซิงซิวต่างมารวมตัวกัน เราเป็ศัตรูกันในตอนแรกแล้วกลายเป็สหายกันในตอนหลัง จี้นี้ห้อยอยู่บนหน้าอกของเขาและข้าเคยเห็นมันถึงสามครั้ง”
ร่างกายอันละเอียดอ่อนของหลิ่วิเยวี่ยสั่นสะท้านก่อนจะถามว่า “พ่อของข้าเป็ใคร? แล้วยามนี้เขาอยู่ที่ใดหรือ?”
“พ่อของเ้ามีนามว่าพานจวิ้นหย่ง เป็ผู้มีพร์และมีความสามารถโดดเด่น เราเคยเผชิญอันตรายมาด้วยกันและได้ร่วมทุกข์ร่วมสุขกัน แต่น่าเสียดายที่สุดท้าย...”
หลิ่วิเยวี่ยถามอย่างไม่สบายใจ “มีเื่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นกับเขาหรือ?”
“มีวิหารโบราณอยู่ในแดนลับ มีเพียงไม่กี่คนรวมทั้งข้าและพ่อของเ้าที่เข้าไป บางคนบอกว่ามันเป็วิหารต้องสาป ใครก็ตามที่เข้าไปล้วนไม่พบจุดจบที่ดี ย้อนกลับไปตอนนั้นข้าก็ไม่ต่างไปจากเ้าเลย ข้าเป็ดาวคู่ประสานธาตุ แต่พลังแห่งเืถูกแลกเพื่อสิ่งหนึ่งภายในวิหารโบราณ หลังออกมาจากแดนลับ ข้าและพ่อของเ้าก็ไม่เคยพบหน้ากันอีกเลย ยามนั้นข้าเริ่มหลบหนีก่อนจะถูกวังดาราจับขังอยู่ที่นี่ จึงไม่ทราบข่าวคราวของพ่อของเ้าเลยั้แ่ออกจากแดนลับ ยามนี้ไม่รู้ว่าเขาเป็หรือตาย ทว่าคนอื่นๆ อีกหลายคนล้วนตายหลังจากออกมา หรือไม่ก็กลายเป็ง่อย ทุกคนล้วนจบลงอย่างเลวร้าย”
การแสดงออกของหลิ่วิเยวี่ยเปลี่ยนไปมาก จิตใจนางเกิดความว้าวุ่นถึงขีดสุด “ท่านจะบอกว่าพ่อข้า...”
“ข้าไม่รู้ว่าตอนนี้เขาเป็หรือตาย แต่เนื่องจากสิ่งนี้อยู่ในมือของเ้า มันหมายความว่าพ่อของเ้าตกอยู่ในอันตราย ย้อนกลับไปในตอนนั้น ผู้มีพร์โดดเด่นที่เข้าสู่แดนลับแทบเหี่ยวเฉาไปทั้งหมด เหตุผลที่ตำหนักดาวเหนือไม่สังหารข้าก็เพราะพวกเขาสงสัยว่าข้าได้รับบางอย่างจากแดนลับ พวกเขาจึงขังข้าไว้และพยายามบังคับให้ข้ายอมก้มหัว”
“แต่ท่านไม่ยอม”
“พวกเขาพยายามใช้ทักษะสะกดจิตค้นหาความทรงจำของข้าหลายครั้งหลายคราก็ยังไม่พบอะไรเลย แต่พวกเขาไม่อยากสังหารข้า ดังนั้น พวกเขาจึงขังข้าไว้ที่นี่”
จัวหลานชิวไม่พอใจ การกดขี่ข่มเหงของวังดาราทำให้นางแค้นเคืองอย่างสุดซึ้งและประทับใจไม่รู้ลืม
“ข้าเคยสาบานจากก้นบึ้งของหัวใจว่าข้าจะไม่ก้มหัวแม้จะต้องตายก็ตาม!”
หลิ่วิเยวี่ยรู้สึกถึงความมุ่งมั่นของจัวหลานชิว และรู้ว่านางต้องทนทุกข์ทรมานมามาก “ท่านนักบุญช่างมีความมุ่งมั่น ข้าชื่นชมจากใจ! และในอนาคตข้าเต็มใจที่จะล้างแค้นให้ท่าน!”
จัวหลานชิวรู้สึกะเืใจอย่างมากกับคำมั่นสัญญาที่เอ่ยด้วยน้ำเสียงอันหนักแน่น นางกอดหลิ่วิเยวี่ยไว้ในอ้อมแขนอย่างอบอุ่นทันที “เด็กดีของข้า”
เวลาผ่านไปพักใหญ่กว่าจัวหลานชิวก็สงบลง นางจับมือของหลิ่วิเยวี่ย และเล่าถึงเหตุการณ์ภายในแดนลับเมื่อสิบแปดปีก่อน “วิหารโบราณนั้นมาจากนอกโลก ประกอบด้วยคัมภีร์ดาวเหนือ์ศักดิ์สิทธิ์ ข้าแลกมันมาด้วยพลังแห่งสายเืและมันซ่อนอยู่ในทะเลจิตสำนึกของข้ามาโดยตลอด แม้ยอดฝีมือจากวังดาราจะค้นหาความทรงจำของข้าหลายครั้ง พวกเขาก็ล้วนถูกคัมภีร์ดาวเหนือ์ศักดิ์สิทธิ์ทำให้พบเพียงความมืดบอดจึงไม่ได้รับอะไรเลย จากนี้ไปข้าสอนทักษะควบคุมดวงดาว์ในคัมภีร์ดาวเหนือ์ศักดิ์สิทธิ์!”
หลิ่วิเยวี่ยตกตะลึง “ท่านนักบุญ นี่...”
“นี่อะไร? ยามนั้นที่ข้าคว้าคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์มาได้ก็เพราะการมีส่วนร่วมของพ่อเ้า ข้าถูกฝังไว้ด้วยคำสาปแผดเผาจิตใจ ตราบใดที่ข้าฝึกฝนทักษะอื่น ข้าจะสังเกตเห็นโดยวังดาราทันที ดังนั้นจึงมีเพียงทักษะจากคัมภีร์ดาวเหนือ์ศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นที่เ้าสามารถฝึกได้ แต่มันไม่สามารถเอาออกจากร่างกายของข้าได้ ทำได้เพียงดึงจิตสำนึกของเ้าเข้าสู่ทะเลจิตสำนึกของข้าเท่านั้น ส่วนเ้าจะเข้าใจความสามารถสูงสุดที่บันทึกไว้ในคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์หรือไม่ก็ล้วนขึ้นอยู่กับตัวเ้าเอง”
หลิ่วิเยวี่ยทั้งประหลาดใจและอยากรู้อยากเห็น ในใจนางเกิดความรู้สึกอบอุ่น “นักบุญดีกับข้ายิ่งนัก”
จัวหลานชิวยิ้มพร้อมดุว่า “เด็กโง่ เหตุใดยังไม่เปลี่ยนคำเรียกอีก?”
ทันใดนั้นหลิ่วิเยวี่ยก็ตระหนักถึงสิ่งที่นางพูด ก่อนจะเปลี่ยนคำพูดอย่างรวดเร็ว “ิเยวี่ยคารวะอาจารย์”
“อืม อาจารย์ก็ไม่เลวเหมือนกัน แต่หากเรียกข้าว่าแม่ข้าคงมีความสุขกว่านี้” จัวหลานชิวเต็มไปด้วยความสุข แต่หลิ่วิเยวี่ยค่อนข้างเขินอาย
นางสูญเสียแม่ไปั้แ่ยังเด็ก ดังนั้นนางจึงรู้สึกใกล้ชิดกับจัวหลานชิวซึ่งเป็ทั้งอาจารย์และแม่มาก
หลังจากสร้างความสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์และศิษย์แล้ว จัวหลานชิวก็เริ่มมีสมาธิกับการสอน
ร่างกายของหลิ่วิเยวี่ยนั้นพิเศษมาก นางถือเป็อัจฉริยะชั้นยอดที่หาได้ยากในบรรดาหยวนซิว
ความเข้าใจและรากฐานนั้นยอดเยี่ยมมาก และเลขเก้ามีบทบาทสำคัญในความเข้าใจในคัมภีร์ดาวเหนือ์ศักดิ์สิทธิ์
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ครึ่งเดือนผ่านไปในพริบตา
ในวันนี้เกิดคลื่นผันผวนอย่างแปลกประหลาดที่ถ้ำเพลิงวาโย และจัวหลานชิวขอให้หลิ่วิเยวี่ยถอยออกไปนอกพื้นที่เป็การชั่วคราว
ไม่ช้าร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในส่วนลึกของถ้ำเพลิงวาโย ผู้มาเยือนเป็สตรีที่มีรูปร่างเพรียวบางและงดงามยิ่ง
“ศิษย์พี่ ข้ามาเยี่ยมท่านแล้ว” น้ำเสียงของผู้มาเยือนแ่เบา ทั้งยังแฝงไว้ซึ่งความขมขื่น
จัวหลานชิวพูดอย่างใจเย็น “เ้าไม่ได้มาที่นี่นานแล้วนะ”
“เป็เวลาหนึ่งปีเจ็ดเดือนแล้ว ทว่าข้าก็ยังไม่สามารถก้าวต่อไปและช่วยท่านออกจากที่นี่ได้”
เว่ยซูเสวี่ยเอ่ยขึ้นอย่างรู้สึกผิด นางมีรูปร่างสง่างามและรอยยิ้มทรงเสน่ห์ ทว่าในยามนี้นางกลับขมวดคิ้วแน่น
จัวหลานชิวมองนางแล้วถอนหายใจ “ผ่านมานานถึงเพียงนี้แล้ว เ้าไม่ได้เป็หนี้ข้าอีกต่อไป ไม่จำเป็ต้องโทษตัวเอง”
“ศิษย์พี่ ข้าช่างไร้ประโยชน์เหลือเกิน หากข้าสามารถเป็ปรมาจารย์ได้ ข้าจะสามารถพูดแทนท่านได้ บางทีข้าอาจพาท่านออกจากที่นี่ก็เป็ไปได้”
“มันไม่มีประโยชน์ แม้เ้าจะไปถึงขอบเขตเหนือเมฆาแต่เ้ายังไม่มีคุณสมบัติที่จะพูดต่อหน้าวังดาราเช่นเดิม”
เว่ยซูเสวี่ยกล่าวว่า “แต่...”
“ไม่จำเป็ หากเ้า้าช่วยข้าจริงๆ ก็แค่หาทางอื่น”
ดวงตาของจัวหลานชิวลุกเป็ไฟ ครั้งหนึ่งนางเคยเสื่อมโทรมแต่ตอนนี้นางสดใสขึ้น ประกายความปรารถนาของนางถูกจุดขึ้นอีกครา
“ท่าน้าให้ข้าทำสิ่งใด? ขอเพียงพูดออกมาเท่านั้น” เว่ยซูเสวี่ยเห็นด้วยโดยไม่ลังเล
จัวหลานชิวจ้องเข้าไปในดวงตาของนาง พวกนางมองหน้ากันเป็เวลานาน “ซูเสวี่ย ข้าเชื่อเ้าได้หรือไม่?”
“ข้าขอสาบานต่อ์ ถ้าข้าไม่ซื่อสัตย์กับศิษย์พี่แม้เพียงนิด และทำสิ่งที่ก่อให้เกิดผลร้ายต่อศิษย์พี่ ขอให้ข้าโดนสายฟ้าห้าสายฟาดใส่ร่าง”
จัวหลานชิวครุ่นคิดอย่างถี่ถ้วน นางถูกขังอยู่ที่นี่และไม่สามารถออกไปข้างนอกได้ หลิ่วิเยวี่ยก็ยังคงอ่อนแอ ต้องใช้เวลานานกว่าจะเติบโตเป็ปรมาจารย์ และนางต้องมีผู้ช่วยที่ไว้วางใจได้
“ข้ารับศิษย์ไว้คนหนึ่ง...”
เว่ยซูเสวี่ยตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหันกลับไปมองนอกถ้ำ “คนข้างนอกหรือ? ขอบเขตของนางอยู่ในเกณฑ์ดีเลย ศิษย์พี่อยากให้ข้าดูแลนางหรือ?”
“ให้นางอยู่ที่นี่กับข้าก่อนชั่วคราว ข้ามีเื่อยากจะถามหน่อย”
“ไม่รบกวนเลย ศิษย์พี่เชิญถาม!” เว่ยซูเสวี่ยตื่นเต้น หลังจากผ่านไปหลายปี ในที่สุดนางก็สามารถชดเชยความผิดต่อศิษย์พี่ได้ ไม่ว่าจัวหลานชิวจะขอให้นางทำอะไร นางย่อมเห็นด้วยโดยไม่ลังเล
“ข้าได้ยินมาว่ามีศิษย์ที่โดดเด่นคนหนึ่งจากสำนักของจื๋อซิว”
“ข้าเคยได้ยินเื่นี้มาแล้ว เขาเป็เด็กชายอายุสิบเจ็ดปีนามว่าหนิงเทียน ความแข็งแกร่งทางกายภาพของเขาเกินแสนจิน และเขายังเป็ศิษย์ของบุปผารัตติกาล”
“ศิษย์น้อง หากเ้ามีเวลาโปรดช่วยข้าตรวจสอบเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของหนิงเทียนด้วยเถิด หากพบว่าเขาตกอยู่ในอันตรายก็โปรดช่วยเขาด้วย”
เว่ยซูเสวี่ยพยักหน้า แต่มีความสงสัยอยู่ในใจ “ทำไมศิษย์พี่ถึงใส่ใจศิษย์จื๋อซิวมากขนาดนี้?”
ร่างกายอันละเอียดอ่อนของจัวหลานชิวสั่นเล็กน้อย นางระงับความตื่นเต้นในใจแล้วพูดด้วยเสียงทุ้มนุ่ม “ยื่นมือขวาของเ้าออกมา”
เว่ยซูเสวี่ยเหยียดมือขวาของนางออกไป จากนั้นจัวหลานชิวก็เขียนฝ่ามือของนางด้วยเล็บและทิ้งลวดลายพลังไว้
“คำสาปหัวใจ์? ศิษย์พี่ยังไม่ไว้ใจข้าหรือ?” ดวงตาของเว่ยซูเสวี่ยมีความเ็ปและผิดหวังอย่างมาก
“นี่คือความลับที่ลึกที่สุดในใจของข้า ต้องมีความไว้วางใจที่แน่นอนต่อกันก่อน เช่นนี้ข้าจึงจะบอกเ้าได้” จัวหลานชิวไม่ได้ร่ายมนต์ แต่มองนางอย่างเงียบๆ
เมื่อเว่ยซูเสวี่ยได้ยินคำพูดนี้ ดูเหมือนนางจะมีความกระจ่างแจ้งบางอย่าง “ถ้าเช่นนั้นเรามาเริ่มกันเลย”
จัวหลานชิวเปิดใช้คำสาปหัวใจ์ พลันลวดลายบนฝ่ามือของเว่ยซูเสวี่ยเริ่มเรืองแสง รูปแบบของดวงดาวควบแน่นเป็ลูกตา ก่อนจะตรวจสอบไปถึงส่วนลึกของหัวใจของเว่ยซูเสวี่ย
ดวงตานี้สามารถมองผ่านหัวใจของผู้คนได้ ทั้งยังรับรู้ได้ถึงความรู้สึกของเว่ยซูเสวี่ยที่มีต่อตน
“ขอบใจนะศิษย์น้อง” จัวหลานชิวกอดเว่ยซูเสวี่ยแล้วร้องไห้ด้วยความตื่นเต้น
“ศิษย์พี่...” เว่ยซูเสวี่ยก็ร้องไห้เช่นกัน ฉากนี้เคยเกิดขึ้นในอดีตเมื่อยี่สิบปีก่อนเช่นกัน
“ช่วยข้าตรวจสอบเื่ของหนิงเทียนและปกป้องเขาอย่างลับๆ ด้วยนะ เพราะเขาคะ...คือลูกของขะ...ข้า” จัวหลานชิวมีความรู้สึกอย่างหลากหลายจนร่างกายอันบอบบางของนางสั่นเทา จากนั้นนางจึงปิดหน้าร้องไห้อย่างขมขื่น
“อะไรนะ? ขะ...เขา...”
เว่ยซูเสวี่ยเปลี่ยนสีด้วยความใ นางไม่อยากจะเชื่อหูของตนเลย
“ศิษย์พี่ นี่เป็เื่จริงหรือ?”
จัวหลานชิวพยักหน้าตอบอย่างเศร้าโศกและร้องไห้ด้วยความเสียใจอย่างยิ่ง
“อัจฉริยะที่โดดเด่นที่สุดในเชื้อสายจื๋อซิวคือลูกชายของศิษย์พี่ ดีมาก! ศิษย์พี่โปรดวางใจ ข้าจะทำตามความไว้วางใจของท่านและจะช่วยท่านดูแลเขา ใครก็ตามที่้าสังหารเขาจะต้องข้ามศพข้าไปก่อน!” เว่ยซูเสวี่ยให้สัญญา
“ศิษย์น้อง...”
“ศิษย์พี่...”
ทั้งสองกอดกันร้องไห้ ก่อนจะพูดคุยกันมากมาย
“ข้าไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ”
“รบกวนศิษย์น้องแล้ว”
“ศิษย์พี่ไม่ต้องกังวล เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน”
