“ดีๆ เช่นนั้นก็ดีแล้ว” ฮูหยินผู้เฒ่าเหนียนรู้สึกโล่งใจ ตระกูลหนานกงเป็ตระกูลที่มีอำนาจยิ่งใหญ่ จวนจิ้นหวางเองก็เป็จวนที่ไม่ควรมีเื่ด้วย หากสองตระกูลนี้ต่อสู้กัน หายนะคงบังเกิดแก่ตระกูลเหนียนเป็แน่
“นายท่าน ท่านแม่ พวกท่านไปก่อนเถิด ในเมื่อมีแขกมากมายเยี่ยงนี้ ข้าคงต้องขอเปลี่ยนชุดก่อน” ใบหน้าหนานกงเยวี่ยผุดรอยยิ้ม พลางเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
เหนียนเย่าและฮูหยินผู้เฒ่าเหนียนเหลือบมองหนานกงเยวี่ย ต่างเห็นด้วยว่าควรเปลี่ยนเสื้อผ้า ครั้นไม่สงสัยสิ่งใดแล้ว เหนียนเย่าจึงประคองฮูหยินผู้เฒ่าเหนียนออกไป
ทว่าลู่ซิวหรงกลับมีท่าทีเอื่อยเฉื่อย
“อนุสองยังไม่ออกไปอีกหรือ? ้าให้ข้าไปส่งเ้าหรือไม่?” หนานกงเยวี่ยปราดตามองลู่ซิวหรงอย่างไร้อารมณ์ รอยยิ้มบนใบหน้าเมื่อครู่นี้เลือนหายไปทันใด
ลู่ซิวหรงชะงักไปครู่หนึ่ง พลันได้สติขึ้นมาทันใด จึงยกยิ้มเอ่ยตอบ “มิต้อง มิต้อง ไหนเลยอนุต่ำต้อยจะกล้ารบกวนฮูหยิน ไปแล้ว ข้าไปแล้ว...”
ลู่ซิวหรงย่อเข่าโค้งคำนับด้วยท่าฝูเชิน นางไม่กล้าอยู่ต่อนาน รีบเร่งก้าวเดินทางออกไป ทว่าทันทีที่เพิ่งหันหลังเดินออกไป นางกลับหยุดฝีเท้าลงและหันกลับไป
ดวงตาคู่นั้นราวกับพาดผ่านประกายแสงบางอย่าง
การเปลี่ยนแปลงแบบพลิกหน้ามือเป็หลังมือของหนานกงเยวี่ยดูจะไม่ใช่นิสัยของนางเลย จำได้ว่าวันนั้นที่หนานกงเยวี่ยเอ่ยปากขอสงบศึกกับจ้าวอิ้งเสวี่ย แม้แต่ท่าทางหยิ่งยโสนั้น นางยังละทิ้งมันไม่ได้ วันนี้นางจะสามารถปล่อยวางอย่างเชื่อฟังและก้มหัวให้กับจ้าวอิ้งเสวี่ยได้จริงหรือ?
แถมยังอยู่ต่อหน้าผู้คนมากมายเยี่ยงนี้อีก!
ลู่ซิวหรงอย่างไรนางก็มิอาจทำใจเชื่อได้
หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ลู่ซิวหรงที่เพิ่งวางแผนย้อนกลับไป ครั้นหันหลัง พลันมองเห็นหนานกงเยวี่ยและเหนียนอีหลานกำลังพากันเดินออกจากห้อง ฉับพลันนั้นลู่ซิวหรงรีบก้าวเข้าไปซ่อนที่มุมทางเดินตามสัญชาตญาณ
“เื่ของนางสตรีชั้นต่ำเช่นเหนียนยวี่และฟางเหอ เ้าอย่าไปใส่ใจ เื่สำคัญที่ต้องรีบจัดการคือจ้าวอิ้งเสวี่ยตรงหน้า...” หนานกงเยวี่ยพูดด้วยน้ำเสียงเ็า สีหน้าจริงจังอย่างสุดจะบรรยาย “เื่ที่ข้าเพิ่งสั่งให้เ้าทำ เ้าต้องจัดการให้เร็วที่สุด ท่านยายของเ้า เ้าต้องไปเชิญนางด้วยตัวของเ้าเอง”
“เ้าค่ะ เหนียนอีหลานเข้าใจแล้ว” เหนียนอีหลานขมวดคิ้ว ตอบรับด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
ลู่ซิวหรงเห็นคนสองคนนั้นตรงมุมทางเดินกำลังเดินมาทางนาง นางมิกล้ารีรอ พลันเร่งรีบจากไป
เื่ทั้งหมดที่ลู่ซิวหรงได้ยินเมื่อครู่นี้ ยังคงดังก้องอยู่ในหัว
ท่านยาย...ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลหนานกง?
นางนึกไม่ออกเลยว่าหนานกงเยวี่ยสั่งให้เหนียนอีหลานไปเชิญฮูหยินผู้เฒ่าสกุลหนานกงทำไม นี่...นางตั้งใจจะทำอะไรกันแน่
เป็ไปตามคาด หนานกงเยวี่ยไม่มีทางยอมก้มหัวให้ผู้ใดง่ายๆ เยี่ยงนั้น ทั้งยังต้องเอาหน้าไปให้จ้าวอิ้งเสวี่ยเหยียบย่ำต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนี้อีก นี่ไม่...คงไม่ได้บอกให้เหนียนอีหลานไปสั่งทหารให้เข้ามาช่วยหรอกนะ?
หากฮูหยินผู้เฒ่าหนานกงผู้นั้นมา...
หึ ประหนึ่งมีบางสิ่งเบ่งบานอยู่ในดวงตาของลู่ซิวหรง จวนเหนียนวันนี้ แม้มิอาจพลิกฟ้าได้ แต่เกรงว่าคงได้มีศึกใหญ่เกิดขึ้นแน่!
แม่ลูกคู่นั้นพากันเดินออกจากลานเรือนของหนานกงเยวี่ย และแยกย้ายกันลงมือ
หนานกงเยวี่ยเดินนำสาวใช้ไปยังโถงใหญ่ ส่วนเหนียนอีหลานกลับไปที่ลาน เตรียมออกไปจัดการเื่ที่หนานกงเยวี่ยสั่งเมื่อครู่นี้ และวางแผนให้ตัวเองออกทางประตูหลังจวนเหนียนไปยังจวนหนานกง
ทว่าทันใดที่เดินออกจากจวน แผลบนมือนางพลันรู้สึกปวดและคันอย่างแปลกประหลาด
เหนียนอีหลานขมวดคิ้ว พลางดูแผลที่พันไว้ ท่านหมอบอกว่าถ้าแผลสมานตัวจะมีอาการคันเล็กน้อย ทว่าความเ็ปที่มีอาการคันแทรกซ้อนอยู่นี้ กลับทำให้นางกระวนกระวายใจอย่างบอกไม่ถูก
ความกังวลของเหนียนอีหลานนี้คงอยู่ชั่วครู่หนึ่ง ทว่าเมื่อนึกถึงคำสั่งของท่านแม่ นางจึงไม่กล้าหยุด รีบเร่งเดินออกไปทางประตูหลัง
ณ ห้องโถงใหญ่ของจวนเหนียน
แขกทุกคนในจวนล้วนเป็สตรี
ฮูหยินผู้เฒ่าเหนียนและเหนียนเย่านั่งลงบนที่นั่งประธาน มีรอยยิ้มผุดพราวบนใบหน้าทั้งสอง ทว่าจิ้นหวางเฟยที่นั่งตำแหน่งแรกทางขวามือกลับมีใบหน้าเคร่งขรึม
ั้แ่ที่ทุกคนเข้ามาในห้องโถงแห่งนี้ ต่างรับรู้ได้ถึงบรรยากาศแปลกประหลาดที่แผ่ขยายไปทั่วทุกมุมห้อง
สตรีชุดขาวข้างกายจิ้นหวางเฟย นางสวมหมวกซาเม่า ผืนผ้าบางห้อยระย้าปกปิดทั้งใบหน้า
มิต้องครุ่นคิดแต่อย่างใด เพราะบรรดาฮูหยินทั้งหลายในที่แห่งนี้ต่างรับรู้ได้ว่าสตรีผู้นี้เป็ใคร
จ้าวอิ้งเสวี่ย...วันนั้นนางก็สวมชุดสีขาวทั้งตัว เดินเข้าประตูใหญ่จวนเหนียนมิใช่หรือ?
เื่ราวความแค้นระหว่างจวนเหนียนกับจวนจิ้นอ๋อง เหล่าฮูหยินทุกคนที่นี่ล้วนเคยได้ยินได้ฟังกันมาบ้างแล้ว เื่พิธีสมรสแปลกประหลาดที่ไม่เคยมีมาก่อน ได้แพร่สะพัดไปทั่วเมืองชุ่นเทียนมานานแล้ว รวมถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนอกจวนเหนียนก็ได้แพร่สะพัดไปทั่วเมืองชุ่นเทียนไม่ต่างกัน
ท่านหญิงอิ้งเสวี่ยสวมชุดแต่งงานสีขาว กราบไหว้ฟ้าดินร่วมกับไก่ตัวผู้ ทุกเื่ราวที่เกิดขึ้นฉายชัดให้เห็นถึงความเคียดแค้นโกรธเกลียดที่มีต่อตระกูลเหนียน การแต่งงานในครั้งเป็สิ่งหนึ่งที่ทำเพื่อรักษาชีวิตและทำให้สถานการณ์สงบลง และการแต่งครั้งนี้ยัง...เปี่ยมล้นไปด้วยความเคียดแค้น จวนเหนียนแห่งนี้จะสงบสุขได้อย่างไร
และหลังจากวันนั้น จวนเหนียนจึงปิดประตูจวน แม้ตามท้องตลาดจะไม่ค่อยได้ยินเื่ราวความแค้นระหว่างแม่สามีลูกสะใภ้และระหว่างสามีภรรยาต่อจากตอนนั้นก็ตาม ทว่าผู้ใดต่างก็รู้กันว่า จวนเหนียนไม่มีทางสงบสุข นี่ไม่...
ได้ข่าวว่าหนานกงเยวี่ยตบหน้าท่านหญิงอิ้งเสวี่ย...
ยามที่ทุกคนได้ยินข่าวนี้ คราแรกต่างใกันมาก ทว่าหลังจากนั้นจึงคิดได้ว่าคงได้ชมงิ้วน่าสนุกเป็แน่
แม้ว่าหนานกงเยวี่ยจะยโสโอหัง ทว่าอย่างไรนางเองยังก็เป็สตรีที่ฉลาดเฉลียวใจเย็นผู้หนึ่ง ั้แ่ที่ออกจากจวนหนานกง ตลอดมานางคอยจัดการเื่ราวอย่างชาญฉลาดและไหวตัวในเื่ต่างๆ ได้รวดเร็ว จึงนึกไม่ถึงเลยว่า...นางจะตบลูกสะใภ้คนนี้โดยไม่สนใจสิ่งใดเช่นนี้
หากเป็คุณหนูที่มาจากตระกูลพื้นเพธรรมดา เกรงว่าหนานกงเยวี่ยคงจะตบแล้วตบอีก ทว่าจ้าวอิ้งเสวี่ยเป็ท่านหญิงราชนิกุล มาจากจวนจิ้นอ๋อง มิใช่ตระกูลธรรมดาที่ปล่อยเื่นี้ไปได้ง่ายๆ
หนานกงเยวี่ยยังกล้าตบหน้านางอีกงั้นหรือ
เกรงว่าหลังจากจ้าวอิ้งเสวี่ยแต่งเข้าจวนเหนียน ความขัดแย้งในแต่ละวันระหว่างแม่สามีกับลูกสะใภ้คู่นี้ คงเกิดเื่มากมายไม่น้อย สิ่งนี้คงทำให้ท่าทีใจเย็นเอาตัวรอดเก่งของหนานกงเยวี่ยยุ่งเหยิงวุ่นวาย
และวันนี้...
นางจะขอโทษจ้าวอิ้งเสวี่ยต่อหน้าจิ้นหวางเฟยหรือ ไม่เพียงเท่านั้นยังเชิญแเื่มากมายมาเป็สักขีพยานด้วย?
สิ่งนี้ดูไม่เหมือนวิธีการของนาง 'หนานกงเยวี่ย' เลย อีกทั้งยัง...
ฮูหยินแต่ละท่านที่นี่ ยามที่มาถึง ครั้นเห็นคนที่ตนไม่คาดคิดว่าจะมานั้น ต่างพากันรู้สึกประหลาดใจ
ได้ยินว่าไม่กี่ปีที่ผ่านมา ไม่แน่ใจนักว่าเป็งานเลี้ยงของผู้ใด ฮูหยินหลี่ชื่อ ฮูหยินของรองเ้ากรมผังเมืองไม่ทันระวัง จึงเดินชนกับหนานกงเยวี่ย หลี่ชื่อคุกเข่าขอโทษ ทว่าหนานกงเยวี่ยมิสนใจนางแม้แต่น้อย ปล่อยให้หลี่ชื่อคุกเข่าลงอยู่อย่างนั้นตลอดทั้งบ่าย
ยังได้ยินมาอีกว่า ก่อนหน้านี้นานมากแล้ว มีครั้งหนึ่งฮูหยินผู้เป็เ้าของกิจการสุราตระกูลเฉินทำพิธียกน้ำชาให้หนานกงเยวี่ย หนานกงเยวี่ยพูดจาสั้นๆ คำเดียวว่านาง้าเปลี่ยนจากน้ำชาเป็สุรา ทว่าฮูหยินของตระกูลเฉินยามนั้นกำลังตั้งครรภ์อยู่ ทุกคนล้วนรู้ดีว่าหนานกงเยวี่ยไม่มีทางฟังแน่ ฮูหยินเฉินมิอาจเลี่ยงได้ ตามที่เล่าลือกันมา เพราะการร่ำสุราในปริมาณมากครานั้น ทำให้ทารกในครรภ์เสียชีวิต
ยังมีอีกเื่ที่ได้ยินมา เล่ากันว่างานเลี้ยงในสวนครั้งหนึ่ง ยามที่ฮูหยินหลินเผลอเหยียบปลายกระโปรงของหนานกงเยวี่ยขณะที่ข้ามสะพาน ทำให้หนานกงเยวี่ยยามนั้นไม่พอใจอย่างมาก สั่งให้สาวใช้ผลักฮูหยินหลินตกจากสะพาน เนื่องจากอากาศที่หนาวเหน็บ ฮูหยินหลินที่ถูกช่วยขึ้นมา เกือบจะเอาชีวิตไม่รอด
ยังมีฮูหยินหยาง...ฮูหยินโจว...
เหมือนว่าวันนี้ทุกคนที่ถูกเชิญให้มาเป็สักขีพยาน ทั้งหมดล้วนเป็คนที่มีความแค้นต่อหนานกงเยวี่ยมาก่อน
คาดไม่ถึงว่าหนานกงเยวี่ยจะเชิญพวกนางมาเป็พยาน...
หึ ช่างแปลกเสียจริง เกรงว่าคงจะมีใครบางคนกดดันนาง จึงทำให้หนานกงเยวี่ยจำใจเชิญพวกนางมา!
ฮูหยินทุกคนที่นี่ ต่างเหลือบมองจิ้นหวางเฟยอย่างมิได้นัดหมาย เห็นสีหน้าที่ยังคงหม่นหมองของจิ้นหวางเฟย ในใจต่างเข้าใจแจ่มแจ้ง หลังจากนั้นจึงเบนสายตาหันมองจ้าวอิ้งเสวี่ยที่อยู่ข้างกายนาง
ผ้าคลุมผืนบางปกปิดใบหน้า ทำให้ผู้คนมองไม่เห็นสีหน้าของนางแม้แต่น้อย ทว่าบรรยากาศแปลกประหลาดยามนี้ กลับเพียงพอแล้วที่จะอธิบายอะไรบางอย่าง
คิดดูแล้ว วันนี้สองแม่ลูกคู่นี้ไม่มีทางปล่อยหนานกงเยวี่ยไปง่ายๆ แน่!
ครั้นคิดได้ดังนั้น ฮูหยินแต่ละท่านจึงพากันก้มหน้าดื่มชา
'หนานกงเยวี่ย' เองก็มีวันที่ต้องก้มหัวให้ผู้อื่น!
“จิ้นหวางเฟย ท่านกินของหวานเหล่านี้...” ฮูหยินผู้เฒ่าเหนียนกล่าวด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ท่าทางค่อนข้างเอาใจ นางรู้ว่าวันนี้จิ้นหวางเฟยมาเยือนที่นี่อย่างไม่ดีนัก ทว่านางเองทำได้เพียงทักทายด้วยการยิ้มแย้มแจ่มใสเท่านั้น
“หนานกงเยวี่ยเล่า?” จิ้นหวางเฟยเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเ็า มิเหลือบมองหน้าฮูหยินผู้เฒ่าเหนียนแม้แต่น้อย