หลังจากกินไปลูกหนึ่ง นางก็รู้สึกว่าท้องเริ่มอิ่มเสียแล้ว แต่ก็ยังหยิบขนมจ้างอีกลูกขึ้นมา นี่คือส่วนที่มารดาของนางส่งมาให้ นางแกะเปลือกแล้วส่งให้จางเจิ้นอันพลางกล่าวว่า "นี่เ้าค่ะ ลองชิมของฝีมือลูกศิษย์ท่านแล้ว คราวนี้ก็ลองชิมฝีมือท่านแม่ข้าบ้างนะเ้าคะ"
"ได้สิ" จางเจิ้นอันตอบรับอย่างว่าง่าย สำหรับเขาแล้ว จะกินของใครก็เหมือนกัน ไม่ได้คิดเล็กคิดน้อยอันใด
ในขนมจ้างของท่านแม่ยายเหลียงซื่อมีเพียงข้าวเหนียวล้วนๆ ไม่มีไส้อื่นใด แต่ถึงกระนั้น อันซิ่วเอ๋อร์ก็ยังคงกินอย่างเอร็ดอร่อย นางเงยหน้าถามจางเจิ้นอันว่า "ท่านว่าฝีมือใครอร่อยกว่ากันเ้าคะ"
"อร่อยทั้งคู่" จางเจิ้นอันตอบ
อันซิ่วเอ๋อร์รู้สึกว่าเขาตอบเหมือนไม่ได้ตอบ จึงกล่าวว่า "ดูท่านสิ ไม่ยอมตอบข้าดีๆ เลย ท่านพ่อท่านแม่ข้าก็ไม่ได้อยู่ตรงนี้เสียหน่อย ท่านกลัวพวกท่านจะน้อยใจหรืออย่างไร ข้าว่าขนมจ้างไส้ถั่วแดงอร่อยกว่าเห็นๆ"
"ข้าว่าอร่อยเหมือนกันจริงๆ อย่างหนึ่งคือของที่ท่านพ่อตาท่านแม่ยายส่งมาให้ นี่คือน้ำใจของท่านทั้งสอง อีกอย่างหนึ่งคือของที่เหล่าลูกศิษย์ข้าส่งมา นี่ก็เป็น้ำใจของพวกเขา ข้ารู้สึกปลาบปลื้มอย่างที่ไม่เคยเป็มาก่อน รู้สึกว่ากินอะไรเข้าไปก็หวานชื่นใจไปหมด"
พอได้ยินเขาตอบอย่างจริงจังเช่นนั้น อันซิ่วเอ๋อร์ก็อดไม่ได้ที่จะแย้มยิ้มออกมา "ดูท่าทางซื่อๆ ของท่านสิเ้าคะ"
"ข้าพูดกับเ้าอย่างจริงจัง เ้ากลับหาว่าข้าซื่อๆ เช่นนั้นข้าไม่พูดแล้วก็ได้" จางเจิ้นอันกล่าวจบก็เม้มปากแน่น ทำท่าไม่พอใจ
"ข้าแค่ล้อท่านเล่นเอง ท่านโกรธข้าจริงๆ หรือเ้าคะ" อันซิ่วเอ๋อร์เอียงศีรษะมองเขาอย่างน่ารัก จางเจิ้นอันกลับกอดอก หันหน้าหนีไปอีกทาง
"โอ้โฮ โกรธจริงๆ ด้วย" อันซิ่วเอ๋อร์แลบลิ้นออกมาอย่างซุกซน เดินเข้าไปใกล้ๆ เขาพลางกล่าวว่า "เอาล่ะๆ อย่าโกรธเลยนะเ้าคะ กินขนมจ้างอีกสักลูกดีหรือไม่"
จางเจิ้นอันยังคงนิ่งเงียบ อันซิ่วเอ๋อร์จึงแกะขนมจ้างลูกหนึ่งแล้วยื่นไปจ่อที่ปากเขา เขาไม่ยอมอ้าปาก นางก็เลยแกล้งดันเข้าไปเบาๆ ขนมจ้างที่เหนียวหนึบจึงเปรอะเปื้อนใบหน้าเขาเล็กน้อย อันซิ่วเอ๋อร์เห็นแล้วก็หัวเราะร่าอยู่ข้างๆ อย่างชอบใจ
จางเจิ้นอันเหลือบมองนางอย่างคาดโทษ แล้วหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดคราบข้าวเหนียวออก แต่คาดไม่ถึงว่านางจะยังคงหัวเราะอย่างมีความสุขอยู่เช่นนั้น ช่างน่าโมโหเสียจริง! เหตุใดจึงมีสตรีเช่นนางได้นะ ความอ่อนโยนที่แสดงออกก่อนหน้านี้ล้วนเป็การเสแสร้งทั้งสิ้น เขาหลงเชื่อคำลวงของนางเข้าเสียแล้ว
"ท่านพี่ ท่านจะไม่พูด ไม่ยอมอ้าปากจริงๆ หรือเ้าคะ"
อันซิ่วเอ๋อร์มองเขาด้วยรอยยิ้มท้าทาย "เช่นนั้นเรามาพนันกันดีหรือไม่ ท่านว่าดีไหม ข้าพนันว่าข้ามีวิธีทำให้ท่านเอ่ยปากพูดให้ได้ภายในชั่วเวลาจิบชา หากท่านชนะ ท่านสามารถขอให้ข้าทำอะไรก็ได้ตามใจหนึ่งอย่าง หากข้าชนะ ท่านก็ต้องยอมตกลงตามเงื่อนไขของข้าหนึ่งข้อ"
กล่าวจบ อันซิ่วเอ๋อร์ก็จ้องมองเขาอย่างแน่วแน่ ดวงตาคู่สวยสุกใส ฉายแววสงบนิ่งทว่าแฝงความมุ่งมั่น
จางเจิ้นอันยังคงมั่นใจในความสามารถควบคุมตนเองของเขา จึงตอบรับทันทีว่า "ดี ข้าตกลง"
อันซิ่วเอ๋อร์หัวเราะคิกคักอย่างเ้าเล่ห์ "ฮิฮิ ท่านเพิ่งเอ่ยปากพูดออกมาเองนะเ้าคะ เช่นนั้นก็ถือว่าข้าชนะแล้ว"
จางเจิ้นอันหันมาจ้องหน้านางเขม็ง "ไม่ได้ ข้ายังไม่ได้เริ่มพนันกับเ้าเลย"
"ถ้าเช่นนั้นก็เริ่มนับั้แ่บัดนี้เลยเป็อย่างไรเ้าคะ" อันซิ่วเอ๋อร์กล่าวเสนออีกครั้ง
"ดี" จางเจิ้นอันพยักหน้าอย่างหนักแน่น
"นั่นก็เป็ข้าที่ชนะอีกแล้วนะเ้าคะ ท่านเพิ่งเอ่ยคำว่า 'ดี' ออกมาอีกแล้ว" อันซิ่วเอ๋อร์จับผิดคำพูดของเขาอีกครั้งอย่างรวดเร็ว
จางเจิ้นอันรีบกล่าวแก้ "นับไม่ได้ คำว่า 'ดี' ของข้าเมื่อครู่ มิได้หมายความว่าตกลงกับเ้า หมายความว่าข้าไม่เห็นด้วยต่างหาก"
"ใช่แล้ว ท่านพูดถูก ท่านจึงพูดออกมาอีกแล้วอย่างไรเล่าเ้าคะ"
อันซิ่วเอ๋อร์ยกมือขึ้นปิดปากหัวเราะคิกคัก "ข้าว่าท่านซื่อบื้อ ท่านก็ยังไม่ยอมรับ แถมยังมาโกรธข้าอีก ดูสิ ท่านน่ะซื่อบื้อจริงๆ ใช่หรือไม่เ้าคะ"
"ดีจริง! ที่แท้เ้าก็วางกับดักรอข้าอยู่ตรงนี้นี่เอง" จางเจิ้นอันเพิ่งตระหนักว่าตนเองหลงกลนางเข้าให้แล้ว จึงกล่าวว่า "ครานี้ข้ายอมแพ้ก็ได้ พวกเรามาพนันกันใหม่อีกครั้งเถิด"
"จะพนันกันใหม่อีกครั้งหรือเ้าคะ เช่นนั้นของเดิมพันก็ต้องเพิ่มเป็สองเท่าสิ" อันซิ่วเอ๋อร์ยังคงยิ้มแย้มอย่างเหนือกว่า
จางเจิ้นอันมองรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจระคนเ้าเล่ห์บนใบหน้าของนาง พยักหน้าตกลงอย่างมั่นใจ "ดี" แค่ชั่วเวลาจิบชา ช่างง่ายดายนัก เขาไม่เชื่อหรอกว่าตนเองจะอดทนไม่ได้
"ตกลงนะเ้าคะ ท่านต้องจำไว้ว่าท่านยังติดค้างเงื่อนไขข้าอยู่อีกหนึ่งข้อนะ" อันซิ่วเอ๋อร์หัวเราะอย่างสดใส "ถ้าเช่นนั้นพวกเราเริ่มกันเลยดีหรือไม่เ้าคะ"
คราวนี้ จางเจิ้นอันเรียนรู้ที่จะฉลาดขึ้น เขาเพียงพยักหน้า ไม่ยอมเอ่ยคำใดออกมา
"ท่านพี่ช่างระมัดระวังตัวเสียจริง" อันซิ่วเอ๋อร์เอ่ยขึ้นประโยคหนึ่ง แต่เขากลับยังคงนิ่งเฉย นางจึงแสร้งทำเสียงอ่อย "แย่แล้ว ท่านพี่ ตอนนี้ท่านระวังตัวถึงเพียงนี้ ข้าอาจจะแพ้พนันแล้วกระมัง"
อันซิ่วเอ๋อร์กล่าวด้วยน้ำเสียงแ่เบา ถอนหายใจราวกับว่าตนเองแพ้แน่แล้วจริงๆ ทว่าจางเจิ้นอันกลับไม่หลงเชื่อกลอุบายของนางแม้แต่น้อย เขาคิดว่านางต้องกำลังวางแผนร้ายอะไรอยู่ในใจเป็แน่
ครั้งแรกนางเล่นทีเผลอ คราวนี้ไม่ว่านางจะพูดอะไร เขาก็ตั้งใจแน่วแน่ว่าจะไม่ยอมเอ่ยปากออกมาเด็ดขาด
อันซิ่วเอ๋อร์เห็นท่าทางตั้งมั่นเช่นนั้นของเขา ในใจก็รู้สึกขบขัน ที่แท้เขาก็แพ้พนันนางไปแล้วั้แ่ต้น แต่เพื่อความสนุก นางจะต้องทำให้เขารู้สึกว่าตนเองยังมีโอกาสชนะอยู่ ดังนั้น นางจึงแสร้งทำเป็ลืมเื่การพนันไปชั่วขณะ เขยิบเข้าไปนั่งข้างๆ เขาแล้วกล่าวว่า "ท่านพี่ พรุ่งนี้เป็วันเทศกาล พวกเราไปเยี่ยมบ้านข้ากันดีหรือไม่เ้าคะ"
จางเจิ้นอันพยักหน้าตกลง แต่ยังคงไม่ยอมพูด
อันซิ่วเอ๋อร์กลอกตาอย่างนึกสนุก ขยับไปนั่งบนเก้าอี้ตรงข้าม ยกมือขึ้นเท้าคางแล้วจ้องมองเขา จางเจิ้นอันถูกนางจ้องมองจนแก้เริ่มร้อนผ่าว ใบหน้าแดงซ่านขึ้นมาเล็กน้อย เขาจึงรีบไขว่ห้าง หันหน้าหนีไปอีกทาง แต่สายตาของนางก็ยังคงจ้องมองมาอย่างไม่ลดละ จางเจิ้นอันอยากจะเอ่ยปากบอกนางว่าอย่ามอง แต่เขาก็จำได้ว่านี่อาจเป็แผนของนางอีก ดังนั้นจึงกัดฟันอดทน ไม่ยอมเอ่ยปาก
"ท่านพี่ ท่านแพ้แน่แล้ว ท่านรู้หรือไม่เ้าคะ" อันซิ่วเอ๋อร์หัวเราะ รู้สึกว่าท่าทางอึดอัดเช่นนี้ของเขาช่างน่าเอ็นดูเสียจริง
"ท่านยังไม่เชื่อใช่หรือไม่เ้าคะ" อันซิ่วเอ๋อร์เดินเข้าไปข้างกายเขาอีกครั้ง พลางกล่าวว่า "เอาอย่างนี้ดีหรือไม่ พวกเรามาเพิ่มเดิมพันกัน ท่านตกลงตามเงื่อนไขข้าสามข้อเป็อย่างไร ในทางกลับกัน ข้าก็จะตกลงตามเงื่อนไขท่านสามข้อเช่นกัน หากตกลงก็พยักหน้า"
จางเจิ้นอันพยักหน้าอย่างรวดเร็ว เวลาจิบชาคงผ่านไปเกินครึ่งแล้ว เขาต้องชนะพนันครั้งนี้แน่ๆ
อันซิ่วเอ๋อร์เห็นว่าแผนการของตนสำเร็จลุล่วงแล้ว จึงกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า "ท่านพี่ ท่านอย่าลืมนะเ้าคะว่าการพนันครั้งแรกสุด ท่านยังติดค้างเงื่อนไขข้าอยู่หนึ่งข้อ อืม... เงื่อนไขข้อนั้นของข้าก็คือ... ให้ท่านเอ่ยปากพูดออกมาเดี๋ยวนี้เลยเ้าค่ะ"
จางเจิ้นอันลืมเื่เงื่อนไขที่ติดค้างอันซิ่วเอ๋อร์ไปเสียสนิท ไม่คิดว่านางจะนำกลับมาใช้ในตอนนี้ เขารู้สึกทั้งขุ่นเคืองทั้งขบขันระคนกันไป
"เ้าช่างเ้าเล่ห์เกินไปแล้ว!"
"แค่นี้เรียกว่าเ้าเล่ห์แล้วหรือเ้าคะ?"
อันซิ่วเอ๋อร์หัวเราะร่า "ก็ท่านมันซื่อบื้อเองนี่นา ก่อนหน้านี้ท่านไม่ยอมรับ ตอนนี้ยอมรับหรือยังเ้าคะ"
"ดีๆๆ ข้ายอมรับแล้วก็ได้" จางเจิ้นอันจนหนทาง ในฐานะบุรุษที่รักษาสัญญา เขาจึงต้องจำใจยอมรับแต่โดยดี
"ฮ่าๆๆ ใช้เงื่อนไขเดียวแลกกับสามเงื่อนไข ข้าช่างได้กำไรจริงๆ" อันซิ่วเอ๋อร์ดีใจจนเผลอปรบมือออกมา
จางเจิ้นอันเห็นท่าทางดีใจจนเกินเหตุของนาง หางตาและดวงตาล้วนเต็มไปด้วยประกายแห่งชัยชนะ จู่ๆ ก็รู้สึกทนมองต่อไปไม่ได้ เขาจึงลุกขึ้นพรวดพราด เดินเข้าไปช้อนอุ้มนางขึ้นมาในอ้อมแขน
อันซิ่วเอ๋อร์ร้องอุทานอย่างใ "ท่านจะทำอะไร!"
"เ้าว่ากระไรนะ"
เขาโน้มใบหน้าลงมาประทับริมฝีปากลงบนปากนางทันที บดเบียดจุมพิตอย่างหนักหน่วงจนท่าทางที่เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจของนางเมื่อครู่พลันแข็งค้างอยู่บนใบหน้า จางเจิ้นอันจูบนางจนมึนงงสับสนไปหมดจึงยอมปล่อยนาง อันซิ่วเอ๋อร์กล่าวอย่างงุนงงระคนไม่พอใจว่า "ท่านทำเช่นนี้กับข้าไม่ได้นะ ผู้ชนะในการพนันครั้งนี้คือข้า ข้าเป็ฝ่ายชนะ!"
"คนโบราณว่า ดวงดีในการพนันมักอาภัพในความรัก ข้าไม่สนใจหรอก การพนันต้องอยู่บนพื้นฐานของกำลังที่เท่าเทียมกัน แต่พวกเราสองคนนั้นกำลังหาได้เท่าเทียมกันไม่"
คราวนี้กลับเป็จางเจิ้นอันที่หัวเราะออกมาอย่างมีเลศนัย เขาไม่สนใจหรอกว่าใครจะชนะใครจะแพ้ อย่างไรเสียคืนนี้เขาจะต้อง 'กินเนื้อ' ให้สมใจแน่ๆ นางกล้ามาทำให้อับอาย กล้ามาว่าเขาซื่อบื้อดีนัก!
กว่าจะรู้ตัวอีกที อันซิ่วเอ๋อร์ก็ถูกเขาวางลงบนเตียงเสียแล้ว นางดิ้นรนขัดขืนไปพลางต่อว่าไปพลางว่า "ท่านนี่มันขี้อิจฉาชัดๆ! อิจฉาที่ข้าฉลาดหลักแหลม อิจฉาที่ข้าสวยงามราวกับดอกไม้ ใช่หรือไม่!"
"ใช่ๆๆ เ้าพูดถูกทุกอย่าง แต่ว่าคืนนี้...เ้าเป็ของข้า" กล่าวจบเขาก็โถมกายลงไปทาบทับ
ผู้หนึ่งเป็ดั่งเขียงรองรับ อีกผู้หนึ่งเป็ดั่งมีดที่บั่นทอน อันซิ่วเอ๋อร์รู้สึกมึนงงสับสนไปหมด ราวกับตนเองเป็ขนมจ้างลูกน้อยที่ถูกเขาค่อยๆ แกะเปลือกออกทีละชั้น จนสุดท้ายก็ถูกกลืนกินเข้าไปทั้งลูก มิเหลือแม้เศษเสี้ยว
ตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็ล่วงเข้าสู่ยามดึกสงัด อันซิ่วเอ๋อร์ซุกตัวเข้าไปในอ้อมกอดอันอบอุ่นของจางเจิ้นอันราวกับลูกแมวตัวน้อย แสงจันทร์นวลลอดผ่านช่องหน้าต่างเข้ามา สาดส่องให้เห็นร่องรอยความวุ่นวายในห้อง ชั่วครู่ แสงจันทร์ก็คล้ายจะเร้นกาย กลืนเลือนหายไปในหมู่เมฆ ราวกับกำลังขวยเขินต่อภาพที่ได้เห็น
เสียงไก่ขันแว่วมาแต่ไกล อันซิ่วเอ๋อร์ผลักอกจางเจิ้นอันเบาๆ จางเจิ้นอันตื่นขึ้น โน้มตัวลงจุมพิตเรือนผมนางแ่เบา "เป็อะไรไป"
"สว่างแล้ว ตื่นได้แล้วเ้าค่ะ" อันซิ่วเอ๋อร์เงยหน้าขึ้นบ่นพึมพำเสียงอู้อี้
"วันนี้ไม่ต้องไปหาปลา ไม่ต้องไปสำนักศึกษา นอนตื่นสายได้ ไม่เป็ไร" จางเจิ้นอันยื่นมือมาปิดตาของนาง ทั้งสองจึงเผลอหลับต่อ ครั้นตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ตะวันก็ขึ้นสูงโด่งเสียแล้ว!
จางเจิ้นอันรีบลุกพรวดขึ้นจากเตียง มองแสงแดดจ้าที่สาดส่องเข้ามาในห้อง "เหตุใดจึงสายป่านนี้"
"ท่านมาถามข้า แล้วข้าจะไปถามใครได้เล่าเ้าคะ" อันซิ่วเอ๋อร์ตื่นขึ้นมาเช่นกัน ได้ยินดังนั้นก็ค้อนให้เขาเบาๆ
"เมื่อก่อนข้าไม่เคยตื่นสายเช่นนี้เลย" จางเจิ้นอันกล่าวพลางลุกขึ้นยืน เริ่มสวมเสื้อผ้าอย่างคล่องแคล่ว
"ท่านหมายความว่าโทษข้ารึอย่างไรเ้าคะ" อันซิ่วเอ๋อร์ยกมือขึ้นลูบเอวของตนเองที่ยังปวดเมื่อยอยู่ รู้สึกขุ่นเคืองขึ้นมา
"โทษข้าเองๆ" จางเจิ้นอันสวมเสื้อผ้าเสร็จ ก็ก้มลงช่วยเก็บเสื้อผ้าที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้นมาวางไว้บนเตียงอย่างเรียบร้อย ก่อนจะยื่นมือมา "มา ข้าจะนวดเอวให้เ้าเอง"
"ไม่เอาเ้าค่ะ" อันซิ่วเอ๋อร์รีบขยับหนี นางกลัวเขาจริงๆ
"ข้าจะนวดให้เ้าดีๆ ไม่ทำอะไรอย่างอื่นแน่นอน" จางเจิ้นอันรีบให้สัญญา
เขานั่งลงที่หัวเตียง เอื้อมมือไปดึงร่างนางเข้ามาในอ้อมแขน ใช้ฝ่ามือใหญ่คลึงนวดที่เอวของนางอย่างตั้งอกตั้งใจ ััที่หยาบกร้านแต่กลับอบอุ่นส่งผ่านไออุ่นมายังเอวของนาง ทำให้อันซิ่วเอ๋อร์รู้สึกสบายขึ้นมาบ้าง นางเผลอครางออกมาเบาๆ สองครั้ง พลางบ่นอุบอิบ "ข้าจะกลับไปนอนบ้านเดิมสักสองสามวัน ไม่อยากนอนกับท่านแล้ว!"
ได้ยินดังนั้น ชายหนุ่มก็รีบออดอ้อนเสียงต่ำ "อย่าเลยนะ เมื่อคืนข้าดีใจมากเกินไปหน่อย ต่อไปข้าจะไม่ทำเช่นนี้อีกแล้ว"
"ข้าไม่ไว้ใจท่านหรอก" อันซิ่วเอ๋อร์ส่ายหน้า นางรู้สึกว่าเอวของนางแทบจะหักเป็สองท่อนอยู่แล้ว ไม่รู้ว่าเมื่อคืนเขาเป็อะไรไป ถึงได้รุนแรงราวกับอดอยากมานานปีเช่นนั้น
"เชื่อใจข้าเถิดนะ อันซิ่วเอ๋อร์ คนดีของข้า ข้ารักษาสัญญาเสมอ" จางเจิ้นอันลูบเรือนผมนางเบาๆ "ดูสิ ข้ากำลังพยายามไถ่โทษอยู่นี่อย่างไรเล่า"
"ชิ..." อันซิ่วเอ๋อร์แค่นเสียงเย็นๆ หันหน้าไปทางอื่น ที่จริงแล้ว นางก็แค่พูดไปอย่างนั้นเอง จะให้นางทำอะไรเขาได้จริงๆ เล่า นางแอบชำเลืองมองใบหน้าด้านข้างของชายผู้นี้ จู่ๆ ก็รู้สึกว่ามีบางสิ่งบางอย่างกำลังค่อยๆ หยั่งรากลึกลงไปในใจของนางอย่างช้าๆ ความรู้สึกนี้ช่างแปลกประหลาด และไม่เคยเกิดขึ้นกับนางมาก่อน
