ต้องบอกว่าถึงแม้เลี่ยเอ๋าจะมีนิสัยแปลกๆ แต่เขาก็มีความแตกฉานระดับสูงยิ่งนัก ภายใต้การชี้แนะของเขา ความก้าวหน้าของฉินอวี่จะต้องรวดเร็วเป็อย่างมาก
ในระยะเวลาเพียงหนึ่งเดือน ฉินอวี่ก็เกือบจะปลดปล่อยพลังของเพลิงแอ่งธรณีได้อย่างสมบูรณ์
“เ้าเด็กน้อย ั้แ่อดีตถึงตอนนี้ คนที่สามารถควบคุมเพลิงแอ่งธรณีได้ ที่มีระดับฝึกฝนใกล้เคียงกับเ้าต่างไม่มีใครเทียบเ้าได้แล้ว ส่วนคนที่มีระดับฝึกฝนที่สูงกว่าเ้า ต่อให้ต้านทานกันมากเพียงใดก็ไร้ประโยชน์ ในตอนนี้ เ้าจะช่วยข้าปรุงโอสถทลายแก่นพลังได้หรือยัง?” เลี่ยเอ๋าพูดอย่างอดทนไม่ไหว หากไม่ใช่เพราะโอสถทลายแก่นพลัง เขาก็คงไม่มีจิตใจเอาเวลามาคอยชี้แนะฉินอวี่
เพียงแต่ หนึ่งเดือนที่ผ่านมานี้ เลี่ยเอ๋าได้แสดงความชื่นชมต่อฉินอวี่ แม้ว่าเ้าเด็กน้อยคนนี้จะดูร้ายไปบ้าง แต่ความเข้าใจของเข้าอยู่ในระดับสูง ตนเองเพียงชี้แนะไปเล็กน้อยเท่านั้น เด็กคนนี้กลับเข้าใจได้อย่างชัดเจนในเวลาอันรวดเร็ว ซึ่งระดับความเข้าใจเช่นนี้ นับเป็สิ่งที่หาได้ยากยิ่งนัก
หากไม่ใช่เพราะคิดว่าฉินอวี่มีชีวิตอยู่ได้เพียงสามปี เลี่ยเอ๋าคงจะคิดรับไว้เป็ศิษย์อย่างแน่นอน
“ผู้าุโ... ท่านคิดว่าข้าเหมาะกับวิชาประเภทใด” ฉินอวี่รีบพูดไปอย่างไม่รีรอ หากสามารถได้วิชาจากเลี่ยเอ๋ามาเพิ่มเติมคงเป็เื่ดีไม่น้อย แม้ว่าฉินอวี่จะมั่นใจในการสร้างมันขึ้นมาเอง แต่อย่างไรก็ต้องดูเวลา ตอนนี้สิ่งที่เร่งด่วนที่สุดคือการเข้าร่วมการคัดเลือกศิษย์
“ช่างได้คืบจะเอาศอกเสียจริงนะ เ้าเด็กน้อย ความอดทนของข้ามีจำกัดนะ” ดวงตาของเลี่ยเอ๋าเป็ประกายแสงที่คมกริบ ะโออกไปอย่างเ็า
ฉินอวี่ก็หมดหนทางเช่นกัน และได้แต่ปล่อยมันไป หากไปยั่วโมโหผู้อาวุโคนนี้ขึ้นมาจริงๆ ผู้ที่ทรมานที่สุดก็คือตัวเอง จากนั้น ฉินอวี่ก็พูดขึ้น “ผู้าุโ ตอนนี้เราสามารถมาทดลองกันได้แล้ว ข้าจะใช้เพลิงแอ่งธรณีในการกระตุ้นอักขระ์ ถึงตอนนั้น ท่านต้องฟังข้า ใส่วัตถุดิบยาแต่ละชนิดลงไปตามลำดับ”
เลี่ยเอ๋าคว้าตัวฉินอวี่ขึ้นไปบนหม้อปรุงยา
ฉินอวี่ไม่ได้พูดอะไรมาก ยกมือข้างขวาขึ้น เพลิงแอ่งธรณีก็ปรากฏจากฝ่ามือของเขา และปล่อยตรงไปยังอักขระ์บนหม้อปรุงยา อักขระ์นี้มีความเกี่ยวข้องกับไฟอยู่แต่เดิม เมื่อฉินอวี่ใช้เพลิงแอ่งธรณีเข้ากระตุ้นอักขระ์ อักขระ์ก็ส่องสว่าง อุณหภูมิอันร้อนแรงที่กำลังแผดเผาก็แผ่ออกจากหม้อปรุงยา
“ผู้าุโ เพลิงธรณีของข้ายังมีพลังไม่เพียงพอ ท่านช่วยเสริมเพลิงอากาศธาตุของท่านเข้ามาหน่อยสิ”
“ผู้าุโ... ใส่ไผ่หยกเขียวเข้าไปก่อน หญ้ากระบี่หยางวิสุทธิ์เป็วัตถุพลังหยาง หากใส่เป็อันดับแรก มันจะทำลายคุณสมบัติในวัตถุดิบยาชนิดอื่น”
“ใส่ดอกบัวม่วง...”
“ใส่หญ้าหลงเสียน...”
...
“เร็วเข้า ผู้าุโ นำหญ้ากระบี่หยางวิสุทธิ์ใส่เข้าไปรวมกับดอกจี๋หยาง” ฉินอวี่ะโอย่างรวดเร็ว
เลี่ยเอ๋าโยนหญ้ากระบี่หยางวิสุทธิ์และดอกจี๋หยางลงในหม้อปรุงยาอย่างไม่ลังเล
“ใส่ผลเทียนหยวนเข้าไป เร็วเข้า!”
ฉินอวี่ะโอย่างกังวลใจ จริงๆ แล้วเขาก็ไม่ค่อยแน่ใจมากนัก แต่เขาได้อาศัยประสบการณ์ที่เคยเห็นการปรุงยาของนักปรุงยาในสำนักเทียนฉี ผนวกกับที่เขาได้อ่านตำราโบราณเกี่ยวกับการปรุงยามาเป็จำนวนมาก หลังจากไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วน ก็รู้สึกได้ว่าวิธีการเช่นนี้น่าจะปรุงโอสถทลายแก่นพลังออกมาได้
หลังจากฉินอวี่ส่งเสียงออกไป เลี่ยเอ๋าก็นำทุกสิ่งใส่ลงไปในหม้อปรุงยาตามลำดับ
หลังจากนั้นไม่นาน เมื่อวัตถุดิบยาทั้งหมดถูกโยนเข้าไป ฉินอวี่จึงกล่าวออกไปเบาๆ “ผู้าุโ ผนึกหม้อปรุงยา เร็วเข้า!” หลังจากพูดจบ ฉินอวี่ก็นำเพลิงแอ่งธรณีกลับคืน
“เสร็จแล้วหรือ?” หลังจากที่เลี่ยเอ๋าทำการผนึกหม้อปรุงยาแล้ว เขาก็มองไปทางฉินอวี่อย่างเหลือเชื่อ
“หากไม่มีอะไรผิดพลาด มันก็น่าจะสำเร็จ แต่จะต้องใช้เวลาปิดผนึกเอาไว้สักระยะหนึ่ง รอจนกว่าหญ้ากระบี่หยางวิสุทธิ์และดอกจี๋หยางจะผสานเข้าด้วยกันจนหมด” ฉินอวี่เหลือบมองหม้อปรุงยา ในใจของเขากลับไม่สบายใจอย่างยิ่ง เขาเองก็ได้แต่คาดเดาไปเท่านั้น หากครั้งนี้ไม่สำเร็จ ก็กลัวว่าตนเองจะต้องตกอยู่ในอันตรายจริงๆ เสียแล้ว
เลี่ยเอ๋าเหลือบมองหม้อปรุงยา ด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น จากนั้นเขาก็พูดขึ้นอย่างนั่งไม่ติด “นี่ เ้าบอกมาเถอะ ว่าเ้า้าการวิชาที่เกี่ยวข้องกับไฟประเภทใด?”
ฉินอวี่รู้สึกเบิกบานอยู่ในใจ และพูดขึ้นมา “ความรู้เกี่ยวกับไฟของผู้าุโมาถึงจุดสูงสุดแล้ว ขอผู้าุโโปรดเลือกให้จะดีกว่า ว่าวิชาอะไรเหมาะสมกับข้า ข้าก็ขอเรียนวิชานั้น” ฉินอวี่พูดขอคำชี้แนะ
เลี่ยเอ๋าชำเลืองมองฉินอวี่ เขาเลิกคิ้วขึ้นพลางครุ่นคิดเล็กน้อย จากนั้นจึงหยิบตำราหนังสัตว์ออกมาเล่มหนึ่ง
ฉินอวี่รับตำราเล่มนั้นเอาไว้ กวาดสายตามองตัวอักษรโบราณที่อยู่ตรงหน้า และรู้สึกยินดีอยู่ในใจ
“จี้เปลวอัคคี” “ะเิอัคคี”
“วิชาทั้งสองนี้ข้าได้รับมานานแล้ว เปลวอัคคีใดๆ ก็ตามล้วนมีพลังบรรจุอยู่ภายใน ะเิอัคคีจะช่วยกระตุ้นพลังของเปลวอัคคีออกมา เ้าสามารถรวมมันเข้ากับการโจมตีภายในร่างกาย และสามารถปล่อยสู่ระดับอากาศเบาบางได้ ส่วนจี้เปลวอัคคี คือรากฐานของะเิอัคคี ซึ่งจะช่วยเพิ่มพละกำลังของเพลิงแอ่งธรณีของเ้าให้ก้าวสู่ระดับสูงสุดได้” เลี่ยเอ๋ากล่าวอย่างเรียบเฉย
ฉินอวี่พลิกอ่านตำราทั้งสองเล่มอย่างรวดเร็วด้วยความปลื้มปีติ ดูเหมือนว่า การอยู่ในสถานะของคนใกล้ตายนำมาซึ่งประโยชน์มากมายที่นึกไม่ถึงเลยจริงๆ วิชาทั้งสองชนิดนี้ ดูเหมือนจะเป็... อาวุธอันสิ้นหวัง เ้าตาเฒ่าคนนี้คงจะเชื่อว่าตนเองคือคนใกล้ตายจริงๆ ดังนั้น จึงยอมนำวิชาสองชนิดนี้ออกมาให้ตนเองได้ต่อสู้กับความตายอันน่าสิ้นหวัง
“จริงสิ เพลิงแอ่งธรณีของเ้ายังไม่ใช่เพลิงแอ่งธรณีที่แท้จริง หากมีเวลาว่างเ้าควรลองศึกษาเพิ่มเติมดู” ดูเหมือนว่าเลี่ยเอ๋าจะนึกอะไรบางอย่างได้ และพูดอย่างช้าๆ
“ขอรับ ผู้าุโ!” ฉินอวี่กล่าวขอบคุณ เขารู้สึกได้ว่าเพลิงแอ่งธรณีของเขาดูแปลกไปเล็กน้อย แต่เขาก็ไม่สามารถบอกได้ว่ามีความผิดปกติอยู่ในส่วนใด
“เอ๊ะ เ้าลองดูหน่อยสิว่าโอสถทลายแก่นพลังใช้ได้หรือยัง?” เลี่ยเอ๋าชำเลืองมองหม้อปรุงยา และทันใดนั้นก็พูดขึ้นอย่างประหลาดใจ คว้าตัวฉินอวี่มาบนหม้อปรุงยาทันที
ฉินอวี่ก้มหน้ามองลงไป แต่กลับเห็นโอสถสีขาวดำขนาดเม็ดผลลำไยนอนนิ่งอยู่ที่ก้นหม้อปรุงยา ฉินอวี่ถอนหายใจอย่างโล่งอก มองขึ้นไปบนฟ้าและครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “น่าจะใกล้แล้วล่ะ แต่...”
“ตูม ตูม!”
ก่อนที่ฉินอวี่จะพูดจบ เสียงะเิราวกับเสียงสายฟ้าฟาดก็ะเิขึ้นทันที เกิดกลุ่มควันสีดำสนิทขึ้นเหนือศีรษะของเขา
“ทัณฑ์โอสถ! ผู้าุโ โอสถนี้จะสำเร็จหรือไม่ขึ้นอยู่กับตอนนี้แล้วล่ะ” สีหน้าของฉินอวี่เปลี่ยนไปทันที และพูดขึ้นเบาๆ ก่อนจะหันหลังวิ่งออกไป
ฉินอวี่วิ่งออกไปได้ไม่ไกล เขาก็รู้สึกได้ถึงพลังงานการทำลายของฟ้าดินปกคลุมไปทั่วร่างกาย เกิดเสียงะเิดังขึ้นในหูของเขา ฟ้าดินสว่างวาบเหมือนยามกลางวัน และมืดลงไร้แสงสว่างอีกครั้งในทันที
“ตูม ตูม ตูม!”
สายฟ้าอันสั่นะเืทั้งสามสายะเิขึ้นในเวลาเกือบจะพร้อมเพรียงกัน ฉินอวี่เตรียมวิ่งไปอย่างดุเดือดพร้อมกับพลังการทำลายล้างอันรุนแรงของฟ้าดิน
หลังจากสิ้นเสียงะเิเ่าั้ เสียงะโก็ดังตามขึ้นมาทันที “ฮ่าๆ! โอสถทลายแก่นพลัง ข้าเลี่ยเอ๋าปรุงโอสถทลายแก่นพลัง ได้สำเร็จแล้ว ตาเฒ่าตายยากหวงถิง รอข้าก่อนเถอะน่า ฮ่าๆ!”
ฉินอวี่ที่กำลังวิ่งอย่างดุเดือด สะดุดลงจนแทบจะล้มลงกับพื้น
“หวงถิง? อาจารย์? คนผู้นี้... คิดจะสร้างโอสถทลายแก่นพลังเพื่อทำร้ายอาจารย์หรือ?” ฉินอวี่รู้สึกใเป็อย่างยิ่ง ในตอนแรกเขาสงสัยเป็อย่างยิ่ง ว่าผู้าุโคนนี้มีความแค้นกับผู้ใดถึงเพียงนี้ แต่ฉินอวี่คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าจะเป็อาจารย์หวงถิง
เมื่อนึกถึงท่าทางที่ดูไม่น่าเคารพของอาจารย์หวงถิง นึกถึงน้ำเสียงของความเคืองแค้นของผู้าุโคนนี้ ในใจของฉินอวี่ก็รู้สึกขมขื่น “อาจารย์... เื่นี้ไม่ใช่ความผิดของข้า ข้าไม่รู้ว่าเขาจะปรุงโอสถทลายแก่นพลังไว้ทำลายท่าน”
“ไม่สิ ผู้าุโคนนี้อยู่ระดับเขตแดนเต๋า ส่วนอาจารย์ไม่น่าจะเกินระดับทลายวิถี ผู้าุโคนนี้ต้องใช้โอสถทลายแก่นพลังเพื่อเอาชนะอาจารย์ด้วยหรือ? เดี๋ยวสิ มิน่าล่ะจึงไม่มีใครยินดีจะช่วยผู้าุโคนนี้ปรุงยาเลย... ที่แท้ก็เพราะกังวลว่าผู้แข็งแกร่งในสำนักจะสังหารกันเอง ดังนั้น ผู้าุโคนนี้จึงต้องฝึกฝนด้วยตนเอง?” ฉินอวี่วิ่งไปก็ประหลาดใจไป
“เ้าเด็กน้อย อย่าเพิ่งรีบไปสิ ข้าจะให้ของอันยิ่งใหญ่กับเ้า” ขณะที่ฉินอวี่กำลังวิ่งไปอย่างบ้าคลั่ง เลี่ยเอ๋าก็ส่งเสียงเรียก ฉินอวี่รู้สึกเพียงภาพเบื้องหน้าของเขาได้เปลี่ยนแปลงไป และกลับมาอยู่ข้างกายเลี่ยเอ๋าอีกครั้ง
เมื่อมองไปยังใบหน้าที่มืดมน กลับพบว่าผู้าุโคนนี้กำลังตื่นเต้น ฉินอวี่รู้สึกหนาววาบขึ้นมาในใจ ยังโชคดี... ยังโชคดีที่ก่อนหน้านี้ยังไม่ได้พูดออกไปว่าหวงถิงเป็อาจารย์ของตนเอง ไม่เช่นนั้น จะพบจุดจบอย่างไรก็มิอาจรู้ได้
เลี่ยเอ๋าโบกมือขวาของเขา ต้นไม้ใหญ่จำนวนนับไม่ถ้วนก็ลอยกลับมาจากทุกทิศทาง ปิดกั้นทางเข้าออกของหุบเขาอย่างแ่า
เมื่อมองดูต้นไม้ใหญ่เหล่านี้ ในใจของฉินอวี่ก็สั่นสะท้าน และพูดขึ้นอย่างรวดเร็วว่า “ขอบคุณผู้าุโ ข้าไม่้าของดีอะไรแล้ว ข้าต้องขอตัวกลับไปฝึกฝนก่อน...”
“อยู่ช่วยข้าสร้างกระท่อมไม้ให้เรียบร้อยก่อน หากเ้ารู้แจ้งอะไรขึ้นมา ก็ออกไปได้ทุกเมื่อ แต่หากยังนึกอะไรไม่ออก ในสามปีนี้เ้าจะปลอดภัยแน่นอน อย่ามัวเสียเวลาสามปีไปศึกษาอะไรภายนอกที่มันไม่มีการเรียนรู้อะไรเลย” เลี่ยเอ๋าไม่ฟังคำพูดของฉินอวี่ ได้แต่พาตัวฉินอวี่กลับเข้ามาในหุบเขา ยกมือขึ้นทั้งสองข้าง จากนั้นเรียกม่านพลังป้องกันขึ้นมา วาดมือครอบไปทั้งหุบเขาจนเป็เหมือนกรงกักขัง
ก่อนที่ฉินอวี่จะตอบอะไรออกไป เลี่ยเอ๋าก็หายตัวไปทันที
ฉินอวี่ยืนอยู่ในหุบเขา มองดูต้นไม้ใหญ่ที่ซ้อนกันเป็กองเหมือนูเารอบตัว ใบหน้าของเขาแข็งทื่อ ร่างกายสั่นเทา ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาประมาทเกินไปจึงต้องผิดพลาดเช่นนี้... แต่ก็แค่นั้นล่ะ... ผู้าุโคนนี้คงจะคิดว่าตนเองต้องตายภายในสามปีจริงๆ
หากถูกขังไว้ที่นี่ถึงสามปี... แล้วตนเองจะเข้าร่วมการคัดเลือกศิษย์ได้อย่างไร? และจะเข้าร่วมทดสอบการเป็ผู้ดูแลหอตำราได้อย่างไร?
ช่างมันเถอะ อย่างไรตนเองเป็คนสร้างเอาไว้ก็ต้องยอมรับมัน
ฉินอวี่ค่อยๆ นั่งลงบนพื้น จ้องมองไปยังต้นไม้ใหญ่เ่าั้อย่างพูดไม่ออกบอกไม่ถูก หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็พูดขึ้นมา “สร้างกระท่อมจะไปช่วยให้รู้แจ้งอะไร? เป็ไปได้หรือไม่ว่า ผู้าุโคนนี้เขาจะใช้การสร้างกระท่อมเป็การฝึกฝน? บ้าไปแล้วหรือ?” เมื่อมองไปยังม่านพลังที่ปกคลุมอยู่ ฉินอวี่ก็เม้มปากแน่น และรีบคิดหาวิธีที่จะออกไปจากที่แห่งนี้
หลังจากเวลาผ่านไปนาน สารพัดวิธีการที่ผุดขึ้นมาในความคิดล้วนแต่ไร้ประโยชน์ทั้งสิ้น นอกเสียจากต้องทำลายม่านพลังของผู้าุโ
“เฮ้อ ในเมื่อเื่เป็เช่นนี้แล้ว ก็ลองอยู่สร้างกระท่อมที่ไปก่อนเถอะ... สร้างเลยสิ! เวรเอ๊ย” ฉินอวี่ส่งเสียงอย่างโกรธจัด จากนั้นจึงลุกขึ้นยืน และปีนขึ้นไปบนไม้ต้นหนึ่ง เพื่อเริ่มการสร้างกระท่อม...
นอกหุบเขา
“ศิษย์พี่หลี่ขุย ท่านคิดว่าเ้าคนใกล้ตายนั่นจะใช้เวลานานเท่าไร จึงจะใช้ไม้ที่กองไว้จนหมด?” ด้านนอกหุบเขา ศิษย์ใหม่ที่เข้ามาพร้อมกับฉินอวี่ได้มองไปยังกองไม้ที่สูงเป็ูเา และอดไม่ได้ที่จะอุทานขึ้นมา
“ไม่รู้สิ ข้าสร้างมันมาสามปีแล้วยังใช้ไปไม่ถึงไหนเลย ต้นไม้ใหญ่เหล่านี้... น่าจะใช้สร้างได้อย่างน้อยเป็สิบปี” ชายที่แข็งแกร่งชื่อหลี่ขุยกล่าวอย่างหวาดกลัว
“เอ่อ... แต่เขามีเวลาเพียงสามปี นั่นก็หมายความว่าเขาตายไปแล้วก็ยังสร้างไม่เสร็จเลยสิ?” ศิษย์ใหม่อุทานด้วยความใ
“ก็อาจจะเป็เช่นนั้น น่าสงสารเสียจริง... อย่าพูดเลย ข้าขอไปสร้างต่อก่อนดีกว่า ยังขาดอีกห้าสิบแปดหลังข้าก็จะได้ออกจากสถานที่บ้าๆ นี่เสียที ฮ่าๆ”
