เสียงปรบมือที่ดังสนั่นราวกับเสียงฟ้าผ่าถูกส่งออกมาอย่างต่อเนื่องไม่หยุด ทุกคนล้วนจมเข้าไปอยู่ในเสียงเพลงของพิณโดยไม่รู้ตัว
ไม่มีใครซุบซิบนินทาเื่ที่คุณหนูเล็กแห่งสกุลเซียวเป็สตรีปัญญาอ่อนอีกเสมือนว่าพวกเขาได้ลืมไปแล้วว่าสตรีที่กำลังเดินลงบนไดมานั้นเคยมีสติไม่สมประกอบจริงๆ
ฮูหยินเฒ่าก็มีน้ำตาเอ่อคลออยู่ในเบ้าตา นางเหมือนจะไม่กล้าเชื่อภาพที่ตนเองเห็นและสิ่งที่หูของนางได้ยินเมื่อครู่นี้ แต่ว่าทุกสิ่งนั้นล้วนเป็ความจริง หลานสาวที่สลบไสลเป็เวลาสิบห้าปีของตนมีฝีมือการดีดพิณที่เก่งกาจเหนือผู้คนได้ถึงเพียงนี้จริงๆ
หรือว่า บางทีสิบห้าปีมานี้นางเพียงแค่หลับตาพักผ่อน สมองของนางยังคงรับรู้ทุกสิ่ง...
ฮวาหรูเสวี่ยเองก็รู้สึกประหลาดใจเช่นกันนางมองสำรวจเซียวซู่ซู่อย่างละเอียดคิดมิถึงว่าสกุลเซียวจะมีลูกหลานที่เก่งกาจถึงเพียงนี้ดูเหมือนว่านางจะประมาทเกินไปแล้ว
ทว่านางมิจำเป็จะต้องจัดการสกุลเซียวเสียให้ได้ขอเพียงสกุลเซียวมีส่วนที่มีประโยชน์ต่อนาง นางก็จะไม่ปล่อยไว้แน่นอน
ตอนนี้ สถานการณ์ของหนานเจียงมิได้สงบสุขนักความสัมพันธ์ระหว่างแคว้นทั้งสามก็ซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆและตอนนี้ทุกคนล้วนกำลังคิดวางแผนดึงสำนักเหลยและแคว้นต้าเยียนให้มาเป็พวกของตน
ได้ยินมาว่าฮ่องเต้แห่งแคว้นต้าเยียนชื่นชอบในสตรีที่มีรูปโฉมที่โดดเด่นงดงามมาโดยตลอด เช่นนั้นเซียวซู่ซู่เห็นทีจะเป็ตัวเลือกที่ดีที่สุด
นางมองไปที่เซียวซู่ซู่ที่กลับไปนั่งที่เดิมของตนอย่างพึงพอใจพลางพยักหน้าเบาๆบนใบหน้าของฮวาหรูเสวี่ยปรากฏรอยยิ้มที่พึงพอใจออกมาอย่างปิดไม่มิด
การแข่งขันฝีมือการดีดพิณดำเนินไปถึงหนึ่งวันหนึ่งคืน ทุกคนก็ยังดูครึกครื้นกันมิเปลี่ยนแต่ว่ากลับไม่มีเสียงปรบมือและเสียงพิณที่ดึงอารมณ์ของผู้คนโดยรอบอย่างเซียวซู่ซู่ดังขึ้นอีก
บุรุษสตรีที่ขึ้นมาแสดงบนเวทีภายหลังล้วนถูกจับมาเปรียบเทียบกับความสามารถของเซียวซู่ซู่ด้วยกันทั้งนั้นแต่สิ่งที่พวกเขาได้รับนอกจากการวิจารณ์ข้อบกพร่องแล้วก็ไร้ซึ่งสิ่งอื่นอีก
และหลังจากที่ท้องฟ้ามืดลงฮ่องเต้หญิงฮวาหรูเสวี่ยก็ได้กลับไปเสียแล้วกองทหารองครักษ์ของราชสำนักมิได้ถูกถอนกลับ แต่เซียวมี่กลับเดินกลับออกมา ในเวลาเช่นนี้นางจำเป็ต้องอยู่ข้างกายคอยคุ้มครองความปลอดภัยของฮวาหรูเสวี่ยอยู่เสมอ
เพราะถึงอย่างไรการรวมตัวของทั้งสามแคว้นนั้นเกี่ยวโยงไปถึงพลังอำนาจของแต่ละฝ่ายพวกนางจำเป็ต้องระวังให้มาก
“ขุนนางเซียวที่รักสาวน้อยผู้นั้นมีฝีมือละม้ายคล้ายเ้าในปีนั้นจริงๆ” ระหว่างทางกลับวังอยู่ๆ ฮวาหรูเสวี่ยก็เอ่ยประโยคหนึ่งออกมาด้วยท่าทีไม่ใส่ใจนัก
เหลยอวี๊เฟิงที่เดินออกมาด้วยก็หันไปมองวิเคราะห์เซียวมี่อย่างละเอียดสตรีผู้นี้ได้ผ่าน่วัยกลางคนไปแล้ว ทว่าความองอาจยังคงมิจางหายท่าทางงามสง่าของแม่ทัพหญิงยังคงอยู่ ชื่อเสียงของนางเขาเองก็พอจะเคยได้ยินมาบ้าง
แต่ว่ามิเคยได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเซียวมี่ผู้เป็ที่เลื่องลือในตำนานผู้นี้เลยสักครั้ง ในเวลานี้เขายังคงรู้สึกว่าคุ้นเคยกับเซียวซู่ซู่อย่างประหลาด
“ขอบพระทัยในคำชมของฝ่าา”เซียวมี่ยังคงมีสีหน้าราบเรียบ ไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ออกมาเช่นเคย
“เฝ้ารอให้ถึงวันพรุ่งนี้โดยเร็วจริงๆ”เหลยอวี๊เฟิงหัวเราะออกมา เขาเองก็คาดหวังในตัวเซียวซู่ซู่เช่นกัน ท่าทางสง่างามเปี่ยมบารมีเช่นนั้นแค่เพียงปรากฏตัวก็สร้างความกดดันให้กับผู้คนโดยรอบแล้ว
ต่อให้นางจะยังมิได้ทำอะไรก็ตาม ก็ยังคงเป็ที่จับตามองของผู้คนทั้งหมด
เซียวมี่มิได้เอ่ยอะไรออกมาอีก อยู่ๆนางก็รู้สึกว่าการแสดงออกในวันนี้ของเซียวซู่ซู่ถือเป็การตบหน้าป๋ายหลี่ม่อแรงๆครั้งหนึ่ง แต่ก็ได้สร้างปัญหาขึ้นมาไม่น้อยเช่นกัน
นางติดตามฮวาหรูเสวี่ยมาหลายปีเวลานี้นางเองก็เข้าใจความหมายของฮ่องเต้หญิงผู้นี้ แต่ว่าตอนนี้จะทำอะไรก็คงสายไปเสียแล้ว
สำหรับงานเลี้ยงอย่างงานชมดอกฉยงฮวานี้เซียวซู่ซู่หาได้สนใจไม่ หลังจากที่นางขึ้นเวทีแสดงความสามารถเสร็จแล้วนางก็ได้กลับไปพร้อมกับเซียวเอินตอนนี้คนทั้งสองกำลังนั่งอยู่ที่ศาลาดื่มสุราพูดคุยกันอย่างมีความสุข
“พรุ่งนี้คือการแข่งขันการเดินหมากมิทราบว่าน้องสาวมีความมั่นใจว่าจะรับมือไหวหรือไม่?” ความรู้สึกที่เซียวเอินมีต่อน้องสาวคนนี้เหลือไว้เพียงแค่ความนับถือฝีมือการดีดพิณเช่นนั้นมิใช่จะสามารถฝึกฝนได้ในระยะเวลาอันสั้น
ทว่าเขาไม่เข้าใจว่าสาวน้อยเบื้องหน้าผู้นี้ทำได้อย่างไร
เซียวซู่ซู่ยกสุราผลไม้ในมือขึ้นดื่มก่อนจะดีดนิ้วเสียงดัง “พี่ใหญ่วางใจเถิด ไม่ทำให้ขายหน้าก็พอแล้ว”
พลางแหงนหน้าขึ้นไปมองฟ้า การเดินหมากเสมือนว่านางมิได้แตะต้องมันมาเป็เวลานานแล้ว แต่ว่าั้แ่เล็กยามที่นางอาศัยอยู่ที่จวนสกุลซู สิ่งบันเทิงที่ใช้ฆ่าเวลาเพียงอย่างเดียวของนางกับมารดานั้นก็คือการเดินหมากอีกทั้งทั้งสองคนยังชื่นชอบมันเป็อย่างมาก
สำหรับเซียวซู่ซู่เซียวเอินมิรู้จะแสดงความคิดเห็นใดๆ เกี่ยวกับนางแล้วการแสดงของนางในวันนี้ทำให้เขาใเป็อย่างมากเขาเชื่อว่าสาวน้อยผู้นี้จะต้องนำความประหลาดใจมาให้เขามากกว่านี้อย่างแน่นอน
วันที่สอง งานชมดอกฉยงฮวาก็ได้ดำเนินต่อไป
ฮ่องเต้หญิงและองค์ชายจากทั้งสองแคว้นยังคงมางานเลี้ยงด้วยตนเองแน่นอนว่ารวมไปถึงเหลยอวี๊เฟิงด้วย
ลำดับการปรากฏตัวเข้ามาร่วมงานยังคงมิเปลี่ยนหลังจากที่เซียวเอินลงจากเวทีได้ไม่นาน ก็ถึงเวลาของเซียวซู่ซู่แล้วในตารางหมากสิบกระดานบนเวที ตอนนี้มีเพียงเซียวเอินที่สามารถแก้ได้เพียงหนึ่งกระดานเก้ากระดานที่เหลือนั้นไม่มีผู้ใดสามารถแก้ได้
นี่เป็กระดานหมากตายที่ไม่เคยมีผู้ใดแก้ได้มาก่อน กระทั่งฮ่องเต้หญิงฮวาหรูเสวี่ยก็ยังไม่สามารถแก้ได้
และยังมีเหล่าชาวบ้านที่ชื่นชอบในการเดินหมากเป็ยิ่งนักได้พยายามมาแก้หมากกระดานเหล่านี้แต่จนถึงทุกวันนี้มีเพียงกระดานที่เซียวเอินแก้แล้วในวันนี้เท่านั้นที่มีการแก้
นี่ก็เรียกเสียงโห่ร้องอย่างดีใจมาจากหนุ่มสาวด้านล่างจำนวนไม่น้อยแล้ว
เซียวเอิน มิได้ทำให้ผู้คนผิดหวังจริงๆ และทำให้สกุลเซียวได้กลายเป็จุดสนใจของเมืองอวิ๋นอีกครั้ง
เหลยอวี๊เฟิงที่อยู่้านั้นกำลังเอ่ยอะไรบางอย่างกับฮวาหรูเสวี่ยอยู่สายตาของเขามิได้ละจากสกุลเซียวไปแม้แต่น้อย
เมื่อวานเซียวซู่ซู่ได้ใช้ฝีมือเอาชนะคนทั้งงานไปแล้ววันนี้นางจะสร้างความประหลาดใจอันใดให้กับทุกคนอีกนี่เป็สิ่งที่คนจำนวนมากล้วนกำลังเฝ้ารอคอยอยู่
แม้กระทั่งฮวาหรูเสวี่ยเองก็อยากรู้ว่าวันนี้เซียวซู่ซู่จะแสดงความสามารถเช่นใดออกมา
ฝีมือการดีดพิณของนางเอาชนะคนมีฝีมือจำนวนมากแต่นั่นเพียงต้องใช้ความพยายาม หาใช่เื่ที่ยากลำบากไม่ แต่ว่าหมากหลายกระดานนี้กลับต้องใช้สติปัญญาอย่างแท้จริง
ทุกปีที่มีการเลือกยอดบุปผาของงานชมดอกฉยงฮวาล้วนไม่มีใครได้คะแนนจากประเภทการเดินหมากในวันนี้เลยแม้แต่คนเดียว
เซียวซู่ซู่ได้เดินขึ้นไปบนเวทีหยกขาวท่ามกลางบรรยากาศที่เงียบสงบเป็ที่เรียบร้อยแล้ว
วันนี้นางเปลี่ยนชุดเป็ชุดกระโปรงสีขาวบริสุทธิ์บริเวณชายแขนเสื้อได้ปักดอกกล้วยไม้สีเดียวกันเอาไว้โดยรอบสายรัดตรงเอวทำให้เอวบางเรียวของนางเด่นชัดมากขึ้น ผมยาวสลวยบนยอดศีรษะของนางได้ถูกรวบเอาไว้ด้วยปิ่นหยกชิ้นหนึ่งเท่านั้น สำหรับผมส่วนอื่นที่ไม่ได้รวบเอาไว้นั้นก็ทิ้งตัวลงพาดผ่านไหล่ของนางไปทุกย่างก้าวและทุกการกระทำของนางล้วนงดงาม การวางตัวของนางดูดีมีมารยาทอีกทั้งโครงหน้าที่เปี่ยมด้วยมั่นใจของนางก็งดงามอย่างไร้ที่ติ งามจนเหมือนมิมีสิ่งใดบนโลกนี้สามารถเทียบกับนางได้
เป็อีกครั้งที่หนุ่มสาวทั้งหมดในงานล้วนต้องตกตะลึงไปกับความงามของนาง!
นางเดินไปถึงด้านหน้าของกระดานหมากกระดานที่หนึ่งเซียวซู่ซู่ทำเพียงแค่กวาดตามองไปนิ่งๆ อย่างนั้น สีหน้าราบเรียบไม่เปลี่ยน
และเพราะว่านางก้มศีรษะลงเล็กน้อยทำให้ผู้คนโดยรอบมิมีผู้ใดมองเห็นความขำขันที่ปรากฏขึ้นแวบหนึ่งในดวงตาของนาง
ความจริงเมื่อยามที่นางเดินขึ้นมานั้นก็ได้มองไปทางกระดานหมากทั้งสิบกระดานคร่าวๆ แล้วนอกจากกระดานนั้นที่เซียวเอินได้แก้ไปแล้วนั้น อีกเก้ากระดานที่เหลือนางล้วนคุ้นเคยเป็อย่างดี
ในอดีตนางยังเคยแข่งกับมารดาว่าใครจะเป็ผู้แก้กระดานได้เร็วกว่ากันอยู่เลย...
ความจริงแล้ว สิบกระดานนี้ในสายตาของนางเป็เพียงแค่กระดานหมากให้เด็กเล่นเท่านั้น
นางวางหมากในมือลงเบาๆ เพียงไม่กี่อันก็สามารถแก้กระดานหมากตายของหนานเจียงกระดานแรกได้อย่างง่ายดายแล้ว
เดิมนางคิดว่าแค่แก้หมากกระดานเดียวก็พอแล้วแต่ในวินาทีที่นางเลิกตาขึ้นนั้นก็บังเอิญประสานเข้ากับดวงตาที่จ้องมาทางนางของป๋ายหลี่ม่อในดวงตานั้นเหมือนมีความไม่สนใจใยดีแฝงไว้อยู่
เป็ความจริงป๋ายหลี่ม่อนั้นรู้สึกไม่สนใจนาง ตราบใดที่ยังไม่ถึงวินาทีสุดท้ายก็ยากที่จะรู้แพ้รู้ชนะได้
เขามิเชื่อว่าสตรีปัญญาอ่อนที่สลบไสลมาเป็เวลาถึงสิบห้าปีเมื่อฟื้นขึ้นมาแล้วจะสามารถทำทุกอย่างได้ อีกทั้งยังมีฝีมือเก่งกาจอีกด้วย
เขาชื่นชมเซียวซู่ซู่ในตอนนี้แต่ว่าเขาไม่เชื่อว่าสาวน้อยผู้นี้จะสามารถแก้กระดานหมากที่ไม่มีผู้ใดแก้ได้มาเป็พันปีของหนานเจียง
เพราะแววตาเช่นนั้นทำให้เซียวซู่ซู่เปลี่ยนจุดประสงค์ของตนนางยิ้มออกมาจางๆ ก่อนจะเดินไปด้านหน้ากระดานที่สอง มือเรียวบางยกขึ้นเบาๆและวางหมากลงไป จากนั้นนางก็เดินไปด้านหน้ากระดานที่สามต่อ...
เสียงสูดหายใจเข้าลึกๆของผู้คนด้านล่างก็ดังขึ้น
“เ้าคิดว่านางจะสามารถแก้ได้หมดหรือไม่?”ป๋ายหลี่ม่อไม่อาจคงความสงบนิ่งเอาไว้ได้ต่อแล้วเขาหันไปมองหนานกงม่อที่อยู่ด้านข้างของตน
หนานกงม่อส่ายศีรษะ “หมากสิบกระดานนี้ หลายพันปีมานี้ไม่มีผู้ใดแก้ได้ สาวน้อยตัวเล็กๆคนหนึ่งเกรงว่าจะแค่...ทำท่าไปอย่างนั้น แต่ว่าเซียวเอินผู้นั้นถือว่ามีฝีมือไม่น้อย สามารถแก้ได้ถึงหนึ่งกระดาน”
โดยปกติยามที่พวกเขารู้สึกเบื่อหน่ายไม่มีอะไรทำนั้นก็จะใช้หมากสิบกระดานนี้มาเล่นฆ่าเวลาเช่นกัน
แต่ว่ากลับไม่เคยแก้ได้แม้แต่กระดานเดียว
เมื่อเห็นเซียวซู่ซู่เดินไปถึงหน้ากระดานที่สิบแล้วเหลยอวี๊เฟิงก็ส่ายศีรษะเช่นกัน “สาวน้อยผู้นี้อยากจะขายหน้าในวันนี้หรือ?ล้วนอยากจะลองแก้หมากทั้งสิบกระดาน?”
“ดูจากท่าทางของนางเหมือนว่าจะไม่ใช่แค่ดูเท่านั้น” ฮวาหรูเสวี่ยขมวดคิ้วเรียวยาวเข้าหากันเล็กน้อยนางเริ่มจะดูคุณหนูเล็กแห่งสกุลเซียวผู้นี้ไม่ค่อยออกเสียแล้ว
“ใช่แล้วทุกกระดานนางล้วนวางหมากลงไป” เหลยอวี๊เฟิงเอามือลูบคางตัวเองเบาๆเสมือนในสมองกำลังคิดอะไรอยู่
เมื่อฟื้นขึ้นมาสตรีปัญญาอ่อนก็สามารถมีประกายเจิดจรัสได้ถึงเพียงนี้งั้นหรือ?
นี่ช่างน่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว
เมื่อเอ่ยออกไป จะมีสักกี่คนที่เชื่อกัน? แต่ว่าวันนี้เขาเหลยอวี๊เฟิงได้เห็นกับตาของตัวเองแล้ว
เซียวซู่ซู่นั้นเป็สตรีปัญญาอ่อนและสลบไสลเป็เวลาถึงสิบห้าปีเต็มทั่วทั้งเมืองอวิ๋นนั้นไม่มีผู้ใดไม่รู้
เซียวซู่ซู่ค่อยๆ เดินลงจากเวทีหยกขาวนางยังคงมีท่าทีสบายๆ เช่นเดิมมีเพียงเหล่าขุนนางที่ยืนดูบริเวณโดยรอบล้วนตกตะลึงจนตาค้าง เวลานี้กระดานหมากทั้งสิบที่อยู่บนเวทีที่ถูกขนานนามว่าเป็กระดานตายที่ไม่มีผู้ใดแก้ได้ของหนานเจียงนั้นกลับล้วนถูกแก้ไปจนหมดแล้ว...