คุณเชื่อเื่ความบังเอิญมั้ย เมื่อก่อนปลื้มเองก็ไม่ค่อยเชื่อเรี่องอะไรแบบนี้สักเท่าไร จนกระทั่งชีวิตเขาวนเวียนมารู้จักกับผู้ชายที่ชื่อว่าแทน ปรรณกรก็เหมือนว่าเขาจะสนิทกับสถานการณ์แบบนี้มากขึ้นอย่างไงก็ไม่รู้ เพราะแม่งบังเอิญเจอกันแทบทุกที่ เหมือนโลกไม่รู้จะเหวี่ยงเขาไปเจอใครเลยเหวี่ยงมาเจอมันนี่แหละง่ายดีอะไรทำนองนั้น
เมื่อก่อนก็ไม่เห็นจะเจอกัน เอ๊ะหรือเจอแต่ตอนนั้นเขายังไม่รู้จักว่าอีกฝ่ายเป็ใครเลยไม่ได้สนใจอะไร แต่ตอนนี้เจอบ่อยเหมือนนัดเจอกันอย่างไรอย่างนั้น ขนาดเดินลงมาจากตึกเรียนรวมแม่งยังเจอมันยืนหน้านิ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเลยอะคิดดู
“ฝนแม่งตั้งท่าจะตกอีกละ”
อาจจะเป็เพราะเดือนนี้เป็่ที่เข้าสู่ฤดูฝนแล้วด้วยท้องฟ้าถึงได้มืดครึ้มอยู่แทบจะตลอดเวลา บางวันก็แค่ตั้งเค้ามาเฉยๆไม่ได้ตกอะไร บางวันก็ตกลงมานิดหน่อยเหมือนแกล้งให้คนได้พอเปียกน้ำเล่นๆ บางวันก็จัดเต็มทั้งลมทั้งฝน
“หน้าฝนก็งี้แหละมึง เดี๋ยวพอหน้าร้อนมันก็ไม่ตกละ” มือหนาของพีคเอื้อมไปบีบที่ไหล่ของเก่งเบาๆ
“มึงกวนตีนกูป่ะพีค” เก่งหันไปมองหน้าเพื่อนที่มักจะเป็ลูกคู่กันเสมอ แต่วันนี้เหมือนจะตั้งตัวเป็ศัตรูกันแทนแล้ว
“ทำไมมึงมองกูในแง่ร้ายแบบนั้นล่ะเพื่อนรัก” พีคหย่นคิ้วถามเพื่อนกลับไป แต่แทนที่มันจะดูน่าสงสารหรือน่าเห็นใจมันกลับมีแต่คำว่าตอแหลลอยออกมา
“ปลอมสัด” แค่เห็นหน้าแม่งก็ปลอมไม่ไหวแล้ว
“รถติดอีกแน่เลยดูทรงแล้ว” ปลื้มหันไปมองจีนที่บ่นอุบอิบขึ้นมา
ไม่รู้เมื่อไรประเทศนี้จะแก้ปัญหาการระบายน้ำ่ที่ฝนตกหนักได้เสียทีมันจะได้เลิกมากระทบกับการจราจรและการดำเนินชีวิตของประชาชน ลำพังแค่ฝนตกลงมามันก็ใช้ชีวิตยากพออยู่แล้วยังจะเพิ่มภาระในการหารถกลับบ้านให้ยากขึ้นไหนจะต้องเลี่ยงเส้นทางที่น้ำท่วมอีก
“งั้นแยกย้ายกันกลับเถอะก่อนที่ฝนแม่งจะตก” ซึ่งดูจากความมืดครึ้มของท้องฟ้าในตอนนี้แล้วไม่น่าเกินห้านาทีคงตกกระหน่ำลงมาเป็แน่
“เออๆ”
“กลับกันดีๆนะพวกมึง” ปลื้มโบกมือลาเพื่อนรักของเขาทั้งสี่คน ก่อนจะตวัดกระเป๋าเป้ที่ถืออยู่ในมือขึ้นพาดบนบ่าแกร่งและเตรียมจะเดินออกไปเหมือนกัน
“ปลื้ม”
ขายาวที่กำลังจะก้าวเดินออกไปจากจุดที่ยืนอยู่หยุดชะงักลง เขาจำได้ดีว่าเสียงที่ได้ยินนั้นเป็เสียงของใคร ร่างสูงลังเลกับตัวเองไม่น้อยว่าเขาควรที่จะหันกลับไปดีหรือไม่
ยังไม่พร้อม...เขายังไม่พร้อมจะเจอหน้าของอีกคนในตอนนี้
ั้แ่วันที่ได้คุยกับจีนปลื้มก็เริ่มที่จะเก็บเอาเื่พวกนั้นมาคิด จนมันตกตะกอนขึ้นมาในใจของเขา ่ที่เราคบกันมันจะเป็่เวลาที่มีความสุขมากจนทำให้เขามองข้ามอะไรไปหลายๆอย่างหรือไม่เก็บบางเื่ที่ควรจะคิดมาคิดเพราะเข้าใจว่าที่อีกคนทำแบบนั้นคงเป็เพราะอีกคนนั้นรักเขามาก มองข้ามความรู้สึกของคนอื่นรอบตัวและแคร์แค่ความรู้สึกของเรนคนเดียวโดยที่ไม่รู้เลยว่าเรนเคยแคร์ความรู้สึกของเขาบ้างหรือเปล่า
แต่นึกไปนึกมาก็น่าขำทั้งที่จีนมันก็ด่าก็เตือนเขามาตั้งหลายต่อหลายครั้งแต่ตอนนั้นเขากลับไม่เคยฟังหรือเก็บเอามาใส่ใจแบบตอนนี้เลย อาจจะเป็เพราะตอนนั้นเขาเป็คนที่อยู่ในเกมเลยยังมองไม่ออกแต่ตอนนี้เขาได้ออกมานอกเกมนั้นแล้วมันเลยทำให้เขาได้มองภาพรวมที่กว้างมากขึ้น เห็นอะไรได้ชัดเจนมากขึ้น
พอได้มานั่งคิดแบบนี้แล้วมันทำให้เขาเข้าใจคำว่าความรักทำให้คนตาบอดได้อย่างลึกซึ้งเลยแหละ
สิ่งที่ตามมาไม่ใช่แค่ความเสียใจแต่มันมีความผิดหวังที่ถาโถมเข้ามาด้วย
และในตอนนี้เขาก็ยังไม่มีความกล้ามากพอที่จะเผชิญหน้ากับเรนเลย เพราะกลัวว่าถ้าได้เจอกันอีกครั้งความผิดหวังในตัวคนคนนี้มันจะยิ่งฉายชัดขึ้นมาในความรู้สึกของเขามากขึ้น
“ปลื้ม” เมื่อเห็นว่าอีกคนไม่ยอมหันมาสักทีคนตัวเล็กจึงเอ่ยเรียกซ้ำอีกรอบ
“มีอะไรหรือเปล่า”
ไม่มีใครที่จะหันหลังให้กับความจริงได้ สุดท้ายเราก็ต้องเผชิญหน้ากับมันอยู่ดี ก็เผชิญมันั้แ่ตอนนี้ไปเลยแล้วกัน
“พอดีเรามาหาเพื่อนที่คณะปลื้ม เห็นปลื้มก็เลยเดินเข้ามาทักน่ะ” คนตัวเล็กเอ่ยออกมาพร้อมกับรอยยิ้มตามแบบที่เ้าตัวชอบทำ “ปลื้มกำลังจะกลับแล้วหรอ”
“อือ ไม่อยากขับรถตอนฝนตกสักเท่าไรเลยว่าจะรีบกลับ” ที่จริงแล้วคืออยากรีบเอาตัวเองออกไปจากตรงนี้ต่างหาก
“อ๋อ แล้วปลื้มเป็อย่างไงบ้างอะ เราไม่มีโอกาสได้คุยกันเลยเน๊อะั้แ่ที่เราเลิกกัน”
แล้วจะมาถามทำไมเอาตอนนี้
“ก็สบายดี”
“หรอ เราคิดว่าปลื้มจะเสียใจสักหน่อยที่เราเลิกกัน”
ไม่รู้ว่าเขาคิดมากเกินไปหรือเปล่าแต่รู้สึกเหมือนว่าเขาจะเห็นว่าดวงตาที่เคยสดใสตลอดเวลามันมีแวบหนึ่งที่ฉายแววเ็าออกมา
“แล้วมีคนคุยใหม่บ้างหรือยัง อย่างปลื้มคงมีคนเข้าหาเต็มแน่เลยใช่ป่ะ”
“ไม่มีหรอก เรนล่ะ”
“ก็มีคุยไว้อยู่บ้าง คนที่เคยบอกปลื้มนั่นแหละ”
นี่ก็เป็อีกเื่ที่ทำให้ปลื้มรู้สึกอึดอัด
เขาก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงต้องรู้สึกแบบนี้อาจจะเป็เพราะเขากับแทนเป็เพื่อนกันแล้วหรือเปล่า พอรู้ว่าเรนกับแทนอาจจะคบกันมันก็เลยรู้สึกอึดอัดขึ้นมา อารมณ์แบบว่ามันก็คงไม่มีใครรู้สึกโอเคที่เพื่อนเราจะคบกับแฟนเก่าของเราอะไรทำนองนั้น
“อ้าวแทนนี่น่า” คนตัวเล็กพูดขึ้นเมื่อหันหน้าไปเห็นใครบางคนที่กำลังยืนอยู่ฝั่งตรงข้าม “มาถึงแล้วทำไมไม่บอกเลยนะ” ทำเป็บ่นพึมพำกับตัวเองแต่ก็เหมือนอยากจะให้อีกคนได้ยินด้วย
“...”
“เราขอตัวก่อนนะปลื้มแทนคงรอเรานานแล้วอะ”
“เดี๋ยวก่อนเรน”
“...” ดวงตากลมใสหลุบสายตาลงมองไปยังข้อมือของตัวเองที่ถูกฝ่ามือหนากอบกุมเอาไว้
“ขอถามอะไรหน่อยได้มั้ย”
“อะไรหรอ”
“ที่ผ่านมาเรนรักปลื้มจริงๆหรือเปล่า”
ไม่รู้ใจตัวเองเลยว่าคาดหวังที่จะได้ยินคำตอบแบบไหนกลับมา
“ปลื้มจะอยากรู้ไปทำไม ยังไงตอนนี้เราก็เลิกกันไปแล้ว”
“...”
“มันไม่มีความจำเป็อะไรที่จะต้องพูดถึงมันอีก”
เปาะ...แปะ...
ฝนตกอีกแล้ว…
ไม่รู้ว่าท้องฟ้ากำลังเศร้าไปพร้อมกับเขาหรือว่ากำลังซ้ำเติมกันอยู่
ดวงตาคู่คมของอัลฟ่าหนุ่มเหม่อมองขึ้นไปบนท้องฟ้าที่เริ่มมีเม็ดฝนตกปรอยลงมาด้วยสายตาที่ว่างเปล่า หยดน้ำหนึ่งหยดตกกระทบลงมาบนแก้มตอบก่อนจะแตกตัวออกแล้วไหลย้อยไปตามใบหน้าไปจนถึงปลายคางก่อนจะทิ้งตามลงไปบนพื้นตามแรงโน้มถ่วงของโลก
ภาพความทรงจำดีๆที่เขาเคยเก็บมันไว้และนึกถึงมันอยู่แทบจะตลอดเวลา่ที่กำลังทำใจยอมรับว่าความสัมพันธ์ของเราทั้งสองคนมันจบลงแล้วในระยะแรกตีวนกลับเข้ามาในหัวอีกครั้งแต่ครั้งนี้มันไม่ได้สวยงามเหมือนเดิมแล้วเพราะมันมีคำพูดของจีนแทรกเข้ามาอยู่ตลอด
“รักจริงไม่ทำแบบนี้หรอกปลื้ม คนรักกันเขาไม่มีทางทำแบบที่มันทำแน่”
“...”
“ทำตัวเหมือนเป็โลกทั้งใบของมึง แล้วก็เขี่ยมึงทิ้ง คนรักที่ดีแบบไหนเขาทำกันวะกูถามจริง”
หยดน้ำที่เคยตกกระทบบนหน้าทีละหยดเริ่มเพิ่มเป็สองหยด สามหยด และมีจำนวนถี่ขึ้นตามความหนักของสายฝนที่เทลงมา ทั้งที่รู้ว่าถ้าขืนยืนต่อคงมีสภาพไม่ต่างอะไรกับลูกหมาตกน้ำแต่ขามันก็ไม่มีเรี่ยวแรงมากพอที่ก้าวออกไปจากตรงนี้เลย
ถ้าร้องไห้ไปพร้อมกับท้องฟ้าตอนนี้จะมีคนเห็นน้ำตาของผู้ชายคนนี้มั้ยนะ
แล้วถ้าขอให้สายฝนช่วยชำระล้างความเศร้าและความเ็ปออกไปจากใจเขาทั้งหมดได้หรือเปล่า
“บอกกูว่าอย่าเอาเื่ที่ร้องไห้ไปเล่าให้ใครฟัง แต่เสือกมายืนร้องไห้ต่อหน้าคนอื่นเนี่ยนะ” สายฝนที่เคยตกกระทบลงมาบนหน้าหายไป เสียงทุ้มติดใสที่ปลายเสียงดังขึ้นข้างกายแทรกมากับเสียงของสายฝนที่ยังตกลงมาอย่างไม่มีท่าทีว่าจะหยุดลงในเร็วๆนี้
เปลือกตาหนาลืมขึ้นอย่างช้าๆแต่ภาพเบื้องหน้าของเขากลับไม่ใช่ท้องฟ้าที่กำลังมีฝนตกลงมาอีกแล้วเนื่องจากมันถูกบดบังเอาไว้ด้วยร่มหนึ่งตอนนี้ตัวของปลื้มไม่ได้เปียกฝนอีกแล้ว แต่กลับเป็คนที่ถือร่มที่เปียกฝนซะเอง
ปลื้มไม่ได้พูดอะไรออกมาหลังจากที่เขาได้เห็นใบหน้าของอีกฝ่าย ฝ่ามือหนาจับเข้าที่ข้อมือบางข้างที่กำคันร่มเอาไว้ ก่อนจะออกแรงลากให้อีกคนเดินตามเขาเข้าไปหลบฝนที่บริเวณใต้ตึกของอาคารเรียนรวม
“มึงคิดว่าตัวเองเป็พระเอกเอ็มวีเพลงไหนอะถึงไปยืนร้องไห้ตากฝนแบบนั้น” พอเข้ามาในเขตของอาคารแทนก็ลดร่มในมือลง
“แล้วมึงคิดว่าตัวเองเป็พระเอกละครเื่ไหนอะถึงมายืนกางร่มให้กูแล้วตัวเองยืนตากฝนแทน” ปลื้มย้อนกลับไป
“นี่กูพึ่งมีน้ำใจช่วยกางร่มให้มึงไปนะ”
“เวลาจะช่วยใครก็อย่าทำให้ตัวเองต้องเดือดร้อนดิ”
เขาคงจะซึ้งหรอกที่อีกคนมายืนกางร่มให้แต่ตัวเองดันยืนตากฝนซะเองแบบนั้น
“เบื่อจะเถียงกับมึง” แทนบอกก่อนจะเสตาไปมองทางอื่น “แล้วเป็บ้าอะไรถึงไปยืนตากฝนแบบนั้น”
“กูควรใส่กางเกงในสีอะไร” คำถามของปลื้มทำเอาคนฟังขมวดคิ้วทันทีเพราะหาความเชื่อมโยงกับเื่ก่อนหน้าที่เขาถามไปไม่ได้เลย
“จะใส่สีอะไรก็เื่ของมึงมั้ย เกี่ยวเหี้ยไรกับกู”
“กูจะยืนตากฝนทำไมมันก็เื่ของกูไม่เกี่ยวกับมึงเหมือนกัน”
“...” แทนกำหมัดแน่น
ด่าว่าเสือกแม่งยังไม่หัวร้อนเท่านี้เลย
“กูแม่งไม่น่าเดินข้ามถนนมาหามึงเลย เสียเวลาชีวิตฉิบหาย” แทนบอกก่อนจะยกร่มในมือขึ้นและทำท่าเหมือนจะเดินจากไปแต่ก็ถูกอีกคนจับมือรั้งเอาไว้ก่อน
“กูล้อเล่น” น้ำเสียงที่ฟังดูราบเรียบผิดปกติจากทุกครั้งที่เคยได้ยินเวลาเจอกันบวกกับแววตาที่ดูหม่นหมองผิดไปจากปกติ ทำให้แทนค่อยๆลดระดับของร่มที่ถืออยู่ในมือลงอีกครั้ง
“...”
“ขอบคุณนะที่เดินมาหากู” ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมเวลาที่เห็นหน้าของคนคนนี้แล้วในใจมันถึงได้รู้สึกเบาขึ้นมา
“มันเป็เื่ที่พูดออกมาไม่ได้ใช่มั้ย”
“...” ปลื้มพยักหน้าแทนคำตอบ
แทนจึงไม่ได้ถามอะไรที่มันเป็การเซ้าซี้คนตรงหน้าอีก
“กูเองก็ไม่รู้จะพูดออกมาอย่างไงด้วยแหละ”
“การยืนตากฝนไม่ได้ทำให้มึงหายรู้สึกแย่หรอกนะ”
“แล้วต้องทำยังไง”
ทำยังไงเขาถึงจะสลัดความรู้สึกพวกนี้ออกไปได้สักที
“ทุกอย่างเยียวยาได้ด้วยของกิน”
“ฮะ?” ของกินเนี่ยนะ
“เชื่อกู เดี๋ยวรอฝนหยุดก่อนกูจะพามึงไปเยียวยาความรู้สึกแย่ๆด้วยของอร่อยเอง”
ร่างสูงนั่งมองอาหารตรงหน้าอย่าพินิจพิจารณา มันที่มีลักษณะเหมือนก๋วยเตี๋ยวแต่เส้นกลับไม่ใช่เส้นก๋วยเตี๋ยวแบบที่เขาเคยพบเห็นมาก่อนแถมยังมีไข่ดาววางโปะ้ามาอีกด้วย
“มองอะไรขนาดนั้น”
พอฝนหยุดตกปลื้มก็ถูกแทนลากไปที่รถก่อนที่เ้าตัวจะแบมือขอกุญแจรถไปจากเขา แล้วก็ขึ้นไปนั่งที่ตำแหน่งคนขับก่อนจะทำหน้าที่เป็สารถีขับรถพาเขามาที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยมากนัก
“ทำไมในก๋วยเตี๋ยวถึงมีไข่ดาวด้วยวะ” ปลื้มถามออกไปด้วยความสงสัย
“นี่ไม่ใช่ก๋วยเตี๋ยวแล้วที่มึงเห็นก็ไม่ใช่ไข่ดาวด้วย”
“แล้วมันคืออะไร”
“อันนี้เขาเรียกว่าข้าวเปิ๊บ” แทนใช้ตะเกียบในมือของตัวเองเขี่ยไข่ที่อยู่ในถ้วยของปลื้มออกเพื่อให้อีกคนมองเห็นแผ่นแป้งบางๆที่ห่อบางอย่างเอาไว้
“ข้าวเปิ๊บ?”
“ใช่ แล้วไข่ที่เหมือนไข่ดาวเนี่ยก็คือไข่นึ่ง”
ข้าวเปิ๊บเป็อาหารท้องถิ่นของจังหวัดสุโขทัย ในตอนแรกแทนเองก็ไม่รู้จักมาก่อนเหมือนกันเขาและเพื่อนๆพึ่งเคยจะได้ลองกินครั้งแรกก็ตอนปีหนึ่ง ตอนนั้นรุ่นพี่ในคณะแนะนำร้านนี้มาบอกว่าเด็ดมากต้องมาลอง พวกเขาจึงไม่พลาดที่จะมาตามคำแนะนำนั้นแล้วก็พบว่าแม่งอร่อยจริงจนกลายเป็ร้านประจำของกลุ่มเขาั้แ่ปีหนึ่งจนถึงปีสาม และเป็ร้านโปรดของเขาอีกด้วย
“ลองกินดูดิ ในแผ่นแป้งที่มึงเห็นมีไส้ด้วยนะเว้ย” แทนบอกพร้อมกับกินอาหารในถ้วยของตัวเองให้ปลื้มดู “โคตรอร่อย”
ปลื้มละสายตาจากคนตรงหน้ามามองอาหารในถ้วยอีกครั้งก่อนจะลองกินตามที่อีกคนบอก ฟันคมกัดคำแรกเข้าไปในปากก่อนจะเริ่มเคี้ยวอาหารในปากช้าๆ ค่อยๆซึมซับรสชาติของอาหารที่อีกคนบอกว่าอร่อยนักอร่อยหนาแล้วปลื้มก็ได้พบว่า
“อร่อยจริง”
“ใช่ป่ะ นี่เป็ร้านโปรดกูเลยนะเว้ย” แทนบอกก่อนจะตักอาหารเข้าไปในปากอีกคำ ดวงตากลมรอบมองคนตรงหน้าที่ตักอาหารเข้าปากเรื่อยๆก็อดที่จะรอบยิ้มออกมาไม่ได้ ใบหน้าหล่อที่เคยอมทุกข์ตอนนี้เริ่มมีวี่แววของความสุขฉายออกมาแล้ว
แบบนี้สิถึงจะสมเป็ไอ้ปลื้มที่แทนรู้จัก
“เป็ไง”
“อะไร” ร่างสูงที่ยังเคี้ยวข้าวเปิ๊บอยู่เต็มปากเลิกคิ้วถาม
“เชื่อกูยังว่าของอร่อยแม่งเยียวยาความรู้สึกแย่ๆของมึงได้”
“อือ”
ก็ต้องยอมรับจริงๆว่ามันทำให้เขาลืมเื่แย่ๆก่อนหน้านี้ไปได้สักพักหนึ่งจริงๆ
“แทน”
“ว่า”
แทนไม่ได้แสดงท่าทีเร่งเร้าอะไรให้อีกคนพูดต่อ เขาเลือกที่จะเงียบและรอ
รอให้อีกคนพูดมันออกมาเอง
“ทำไมการจะเลิกรักใครสักคนมันถึงได้ยากขนาดนี้วะ”
ขนาดคิดได้แล้วว่าเขาทำอะไรกับเราเอาไว้บ้าง
แต่แม่งก็ยังเลิกรักเขาไม่ได้อยู่ดี
ทำไมวะ
“ไม่รู้สิ” เขาเองก็เคยถามตัวเองด้วยคำถามนี้มาก่อนเช่นกัน แต่ก็ไม่เคยได้คำตอบสักทีจนตอนนี้แม่งก็ยังตอบไม่ได้เหมือนเดิม
“มึงว่าเราจะรักคนคนหนึ่งได้นานแค่ไหนวะ”
ถ้าเกิดว่าเราไม่ได้คุยกับเขาคนนั้น เราไม่ได้เจอหน้าเขาคนนั้นนานๆ ไม่มีอะไรที่เราทำร่วมกันกับเขาคนนั้นอีกแล้ว มันจะยังคงเป็ความรักอยู่หรือเปล่า จนถึงตอนนั้นเราจะยังรักเขาคนนั้นอยู่มั้ย
“กูก็ไม่รู้ว่ะ อาจจะนานเท่าที่มึงอยากจะรักมั้ง” ร่างบางเอ่ยตอบโดยที่สายตาไม่ได้ละออกไปจากคนที่อยู่ตรงหน้าเลย
“แล้วถ้ากูไม่อยากรักแล้วล่ะ”
“มึงต้องถามตัวเองก่อนว่าไม่อยากรักแล้วจริงมั้ย”
“...”
“บางทีการเลิกรักใครสักคนมันอาจจะต้องเริ่มจากการที่ยอมรับให้ได้ว่ามึงกับเขาไม่ได้รักกันอีกแล้ว”
ส่วนการที่ตัวของแทนเองยังเลิกรักไม่ได้ก็อาจจะเป็เพราะเหตุผลนี้มันใช้กับเขาไม่ได้ ก็จะให้เลิกรักเพราะไม่รักกันอีกแล้วได้อย่างไรในเมื่อมีแค่เขาที่รักอยู่ฝ่ายเดียวแต่รู้ว่าแม่งเป็ไปไม่ได้
“...”
“พอมึงยอมรับได้แล้วมันอาจจะทำให้มึงออกมาง่ายขึ้น ส่วนจะต้องใช้เวลานานแค่ไหนก็คงมีแค่มึงเองที่จะตอบได้เพราะมันเป็ความรู้สึกของมึงไม่ใช่ของคนอื่น”
“มึงพูดเหมือนมึงเคยเลิกรักใครมาก่อนเลยเน๊อะ”
“ก็อาจจะ”
“แล้วมึงทำได้มั้ย เลิกรักเขาได้หรือเปล่า”
พอถูกถามแบบนั้นแทนก็นิ่งไปแต่ดวงตากลมก็ยังคงไม่ละออกไปจากใบหน้าของคนที่นั่งอยู่ตรงข้าม ความเงียบเริ่มโรยตัวรอบๆพวกเขาทั้งสองคนเมื่อไม่มีใครคิดที่จะพูดอะไรออกมาอีกเหมือนบทสนทนาถูกตัดจบลงที่คำถามของปลื้มแค่นั้น
“...”
“...”
การเงียบของอีกคนทำให้คนที่ตั้งคำถามแบบปลื้มเริ่มรู้สึกแปลกๆขึ้นมา มันเหมือนว่าเขากำลังคาดหวังกับคำตอบของแทนอยู่
“ไม่ได้”
แล้วทำไมหัวใจของเขาต้องกระตุกแรงขนาดนี้ด้วยวะ
หรือว่าคนที่แทนยังตัดใจไม่ได้จะเป็เรนกันนะ เพราะแบบนี้หรือเปล่าถึงได้บอกว่ารู้ว่าตัวเองควรจะอยู่ตรงไหน
เปลือกตาหนาที่หนักอึ้งกว่าทุกวันค่อยๆขยับไปมาและเปิดขึ้นอย่างช้าๆเมื่อใบหูหนาได้ยินเสียงบางอย่างแว่วเข้ามาและถ้าจำไม่ผิดก็น่าจะเป็เสียงของออดคอนโดฯเขานั่นเอง ปลื้มใช้แขนดันร่างกายของตัวเองขึ้นจากที่นอนแต่พอลุกขึ้นมานั่งได้เขากลับรู้สึกเหมือนว่าหัวของเขาจะหนักขึ้นกว่าทุกวัน
แต่ถึงอย่างนั้นร่างสูงก็ยังพยายามที่จะลุกยืนขึ้นเพราะเสียงออดที่ถูกกดดังขึ้นอีกครั้ง ม่านสายตาที่พร่ามัวกว่าปกติส่งผลให้การทรงตัวอยากลำบากไปด้วย ปลื้มจึงลดความเร็วในการเดินของตัวเองลงเพราะเขาเองก็ยังไม่อยากที่จะล้มลงไปหัวฟาดกับพื้นสักเท่าไร และถึงจะต้องใช้เวลามากกว่าเดิมในการเดินแต่สุดท้ายปลื้มก็สามารถพาร่างตัวเองมาถึงหน้าประตูห้องจนได้
แก๊ก...
“หวัดดีกูเอาเสื้อมึงมาคืนแล้วก็มาเอาเสื้อกูด้วย” แทนชูถุงกระดาษที่อยู่ในมือให้อีกคนดูก่อนมือบางจะยื่นมันไปตรงหน้าของอีกคน
“อือ” ปลื้มขานรับในลำคอ
สีหน้าที่ดูไร้เรี่ยวแรงผิดปกติของคนตรงหน้าเริ่มทำให้แทนรู้สึกตงิดใจนิดหน่อย แต่ก็อาจจะเป็เพราะว่าปลื้มพึ่งตื่นนอนเลยทำให้หน้าตาดูงัวเงียกว่าปกติก็ได้
“มึงพึ่งตื่นหรอ” แต่ถามเพื่อเช็กหน่อยก็คงไม่เป็ไรหรอกมั้ง
“อือ”
เชื่อละว่าพึ่งตื่นจริง
“ลืมตาคุยกับกูหน่อยก็ได้นะ” แทนพูดขึ้นเมื่อเห็นว่าคนตรงหน้าเหมือนจะไม่ลืมตาคุยกับเขาแล้ว สิบโมงก็ไม่ได้เช้านะเมื่อคืนมึงนอนกี่โมงวะถึงได้ดูนอนไม่พอขนาดนี้
“กู...ลืมตาไม่ค่อยขะ...”
“เฮ้ยปลื้ม!”
อัลฟ่าร่างบางรับพุ่งตัวเข้าไปประคองคนที่ตัวโตกว่าเอาไว้อย่างรวดเร็วเมื่ออีกคนเดินเซถอยไปด้านหลังแล้วทำท่าเหมือนจะหงายหลังล้มลงไป ก่อนดวงตากลมจะเบิกกว้างขึ้นเมื่อพบว่าเนื้อตัวของอีกคนนั้นร้อนราวกับไฟ มันไม่สบายนี่หว่า
ปรรณกรตัดสินใจใช้เท้าของตัวเองดันประตูห้องให้ปิดลงก่อนจะประคองเ้าของห้องให้ไปนั่งพักที่โซฟาตัวใหญ่ตัวเดิมกับที่เขาเคยลากมันมานอนตอนที่สลบไม่ได้สติเพราะฝีมือของเขาเอง
“มึงไม่สบายหรอวะ” เสียงใสเอ่ยถามพร้อมกับวางถุงกระดาษที่มีเสื้อนักศึกษาของอีกคนอยู่ลงบนโต๊ะตัวเตี้ยด้านหน้าโซฟา
“น่าจะ” คนป่วยพยายามเค้นเสียงตอบ
“แล้วกินยายัง”
“ยัง กูพึ่งตื่น ตอนมึงมา”
“แสดงว่าข้าวก็ยังไม่ได้กิน”
“...” ร่างสูงเปลี่ยนมาเป็พยักหน้าตอบแทนเมื่อไม่สามารถฝืนตอบออกไปเป็คำพูดได้
“แล้วห้องมึงมีอะไรพอจะกินรองท้องก่อนได้มั้ย” ตอนนี้คงต้องหาอะไรให้อีกคนกินรองท้องไปก่อนเพื่อที่จะได้กินยาแล้วก็นอนพัก
“...” ปลื้มส่ายหัวไปมาอาหารเวฟที่ปกติเขาจะซื้อติดห้องไว้หมดไปแล้วเหลือแค่ของสดติดตู้ไม่กี่อย่างก็เท่านั้น
“งั้นมึงนอนพักไปก่อน เดี๋ยวกูไปดูก่อนว่าพอจะมีอะไรกินได้บ้าง”
ขาเรียวยาวพาร่างกายของตัวเองเดินไปยังห้องครัวที่อยู่ไม่ไกลจากจุดที่ร่างสูงนอนอยู่สักเท่าไรนัก มือเรียวเปิดประตูตู้เย็นออกเพื่อสำรวจดูว่ามีวัตถุดิบอะไรอยู่บ้างแล้วมันพอที่จะทำออกมาเป็อาหารง่ายๆบ้างได้มั้ย มือเรียวเอื้อมเข้าไปหยิบถาดโฟมที่มีหมูสับอยู่ออกมา แล้วก็หยิบซากผักชี ย้ำว่าซากเพราะแม่งเหี่ยวชนิดที่ว่าถ้านี่เป็ตู้เย็นที่บ้านของเขามันคงจะถูกหยิบออกมาโยนทิ้งมากกว่าทำอาหารกิน
เมื่อได้วัตถุดิบที่เพียงพอต่อการทำข้าวต้มหมูสับเมนูเบสิคสำหรับคนป่วยแทนก็หยิบผ้ากันเปื้อนที่ถูกแขวนเอาไว้ข้างตู้เย็นมาใส่ ก่อนจะพับแขนเสื้อเชิ้ตลายทางที่สวมใส่อยู่ขึ้นไปไว้เหนือศอกเล็กน้อยเพื่อป้องกันไม่ให้เปื้อนและทำให้สะดวกต่อการหยิบจับมากขึ้น เมื่อทุกอย่างพร้อมก็ถึงเวลาที่ต้องเริ่มทำอาหารสักที
“เวร ลืมข้าว”
หม้อสเตนเลสขนาดไม่ใหญ่มากถูกหยิบมาวางไว้บนเตาแต่พอจะเติมใส่ลงไปร่างบางก็พึ่งนึกขึ้นมาได้ว่ายังขาดวัตถุดิบหลักอย่างข้าวไป แทนใช้สายตามองไปรอบๆตัวเขาเห็นหม้อข้าวตั้งอยู่ที่มุมหนึ่งแต่ก็ไร้วี่แววของถุงข้าวสารหรือภาชนะที่น่าจะใส่ข้าวสารเอาไว้ เขาจึงตัดสินใจเดินหาไปรอบๆโซนของห้องครัวก่อนจะพบว่ามันถูกเก็บเอาไว้ที่ตู้ใต้เตาไมโครเวฟ
แทนเริ่มลงมือทำข้าวต้มที่เป็เมนูง่ายๆด้วยความคล่องแคล่วเพราะปกติเขาเองก็เป็คนที่ทำอาหารเป็อยู่แล้ว กลิ่นหอมของอาหารที่กำลังถูกปรุงลอยฟุ้งไปทั่วทั้งห้องจนปลุกให้คนที่กำลังหลับใหลเพราะพิษไข้ต้องลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งเมื่อถูกรบกวนเวลานอนด้วยกลิ่นหอมที่ไม่คุ้นเคย
ร่างหนาผงกหัวขึ้นมองไปยังทิศทางของห้องครัวเขาเห็นแผ่นหลังบางของใครบางคนกำลังขยับเคลื่อนไหวไปมาอยู่ จึงตัดสินใจดันตัวเองให้ลุกขึ้นและเดินเข้าไปหาอีกคนแบบเงียบๆ แต่เมื่อเดินมาถึงปลายเท้าหนาก็ต้องชะงักลงอย่างกะทันหันเพราะภาพของคนตรงหน้า
ไม่คิดเลยว่าอีกคนเวลาสวมผ้ากันเปื้อนแล้วจะดูดีขนาดนี้
“พริกไทยอยู่ไหนวะ” ร่างบางเอ่ยพึมพำกับตัวเองแต่คนที่แอบยืนดูอยู่กลับได้ยินด้วย
เมื่อเห็นว่าอีกคนยังหาสิ่งที่้าไม่เจอสักทีปลื้มจึงหวังดีจะช่วยหาให้ ร่างกายสูงใหญ่ของคนป่วยเดินเข้าไปยืนซ้อนด้านหลังของใครอีกคนที่กำลังตั้งใจทำอาหารอยู่ แต่เพราะระยะห่างระหว่างเคาน์เตอร์และโต๊ะที่ตั้งอยู่กลางโซนห้องครัวนั้นไม่ได้กว้างมากนักพอเขาสองคนมายืนซ้อนกันแบบนี้ก็ทำให้ร่างกายแนบชิดกันอย่างเลี่ยงไม่ได้
แทนสะดุ้งตัวด้วยความใดวงตากลมโตเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อยเมื่อััได้ถึงอะไรที่กำลังแนบชิดอยู่ด้านหลังบริเวณบั้นท้ายของเขา ขนาดของมันทำให้เขาอดที่จะแอบกลืนน้ำลายลงคอไม่ได้
อย่าหาว่าแทนทะลึ่งหรือลามกเลยนะแต่ของแม่งอะ 'ใหญ่' จริงๆ
โกงความหล่อไม่พอ
มึงยังโกงขนาด...ด้วยหรอวะ
“พริกไทยอยู่บนนี้” เสียงทุ้มแหบของคนด้านหลังเอ่ยขึ้นพร้อมกับแขนหนาที่เอื้อมขึ้นไปจับประตูของตู้ที่อยู่้าให้เปิดออก ปลื้มจำเป็ต้องโน้มตัวไปด้านหน้ามากขึ้นเนื่องจากขวดพริกไทยมันถูกตั้งเอาไว้ด้านในลึกพอสมควร ทำให้แทนััได้ถึงอุณหภูมิร้อนผ่าวจากตัวของอีกคนที่เกิดขึ้นจากพิษไข้ผ่านลมหายใจร้อนๆที่รดรินอยู่บริเวณหลังคอของเขา
ร่างบางเผลอเม้มปากและกลั้นหายใจอย่างลืมตัว ขนทั้งร่างกายเหมือนพร้อมใจกันลุกตั้งขึ้นมาอย่างพร้อมเพรียง
โชคดีทุกอย่างก็เกิดขึ้นเพียงไม่กี่วินาทีเท่านั้น
“ข้างนอกฝนตกหรอ” ยิ่งริมฝีปากหยักขยับเอื้อนเอ่ยเป็คำพูดออกมามากเท่าไรลมร้อนๆก็ยิ่งรดรินหลังคอขาวมากเท่านั้น
“...”
“กลิ่นฝนติดตัวมึงมาเลย”
“...”
“แต่กลิ่นฝนพออยู่บนตัวมึงแล้วแม่ง..”
“...”
“หอมดีว่ะ” ไม่พูดเปล่าปลื้มยังกดจมูกแนบลงไปกับต้นคอของอีกคนเพื่อสูดดมกลิ่นหอมนั้นเข้าไปด้วย ก่อนขวดพริกไทยที่แทน้าจะถูกมือหนาถูกวางลงด้านข้างตัวของเขา แล้วร่างสูงจึงค่อยผละตัวออกไป