เส้นทางหยางเฉิง-ซางตูนี้เซี่ยเสี่ยวหลานเรียกได้ว่าเดินทางจนเคยชินแล้ว
ขณะที่เซี่ยเสี่ยวหลานกำลังหาเงินอย่างเบิกบานในเผิงเฉิงเซี่ยจื่ออวี้กำลังหอบสัมภาระน้อยใหญ่ เปลี่ยนรถไฟพร้อมหวังเจี้ยนหัวไปสามสายจากนั้นนั่งรถแทรกเตอร์ และสุดท้ายก็ขอติดรถม้าผู้อื่นจากซางตูไปยังไร่ที่บิดามารดาหวังเจี้ยนหัวทำงาน ต้องใช้เวลาสี่ห้าวันกว่าจะถึง!
เซี่ยจื่ออวี้คุ้นกับหิมะดี ทุกวันในฤดูหนาวของซางตูก็มีหิมะตกเช่นกัน
แต่เมื่อเทียบหิมะระหว่างซางตูกับฮาร์บินซึ่งเป็เขตแดนตอนเหนือสุดก็ถือว่าหิมะของซางตูช่างอบอุ่นมากเหลือเกินอีกทั้งไร่ที่บิดามารดาของหวังเจี้ยนหัวทำงานยังห่างจากตัวเมืองที่ใกล้ที่สุดอีก่ระยะทางหนึ่งหิมะหนาปิดกั้นเส้นทาง รถลาลากผ่านไม่ได้เซี่ยจื่ออวี้และหวังเจี้ยนหัวจำเป็ต้องเดินเหยียบหิมะที่สูงเกือบถึงเข่าไปยังไร่หิมะพวกนั้นช่างหนาวเหน็บยิ่งนักแม้เซี่ยจื่ออวี้และหวังเจี้ยนหัวใช้เชือกมัดขากางเกงไว้แ่าหิมะยังคงทำรองเท้าและกางเกงเปียกชื้นอยู่ดี
เซี่ยจื่ออวี้ไม่สนความสวยงามอะไรแล้วพอถึงตัวเมืองซึ่งใกล้ไร่ที่สุดก็ใส่เสื้อผ้าทั้งหมดที่สามารถใส่เพิ่มได้ด้านนอกทับด้วยเสื้ออ่าวกันหนาวอีกสองตัว ผ้าพันคอคลุมศีรษะไว้โผล่ออกมาเพียงดวงตาสองข้าง
เธอซื้อหมวกหนังสุนัข [1] หนานุ่มหนึ่งใบให้แก่หวังเจี้ยนหัว
หวังเจี้ยนหัวได้สวมหมวกใบนี้แล้วย่อมต้องซื้อให้บิดามารดาหวังเจี้ยนหัวด้วยจำนวนสองใบ
คนทั้งครอบครัวถูกส่งไปใช้แรงงานในสถานที่ที่แตกต่างกันก่อนหน้านี้หวังเจี้ยนหัวไม่มีโอกาสเยี่ยมบิดามารดามากมายนัก ฤดูหนาวนี้นับเป็ครั้งแรกที่เขาได้มาเยี่ยมเยียนหวังเจี้ยนหัวและเซี่ยจื่ออวี้รู้ดีว่าสภาพชีวิตที่ไร่เลวร้ายยิ่งนักแต่ไม่เคยคิดว่าจะเลวร้ายได้ถึงขนาดนี้! ปักกิ่งก็หิมะตกทว่าถนนหนทางของปักกิ่งมีคนคอยกวาดหิมะเพื่อรับประกันความปลอดภัยในการสัญจรของผู้คนและรถยนต์
เหมือนเขตทุรกันดารที่มีหิมะหนาเกือบท่วมเข่าแบบนี้ที่ไหน?
หวังเจี้ยนหัวแบกสัมภาระส่วนใหญ่ไว้บนหลังของตนเองมือหนึ่งจูงเซี่ยจื่ออวี้ เส้นทางไม่ยาวไกล ทว่าทั้งสองคนกลับเดินเป็เวลาสองชั่วโมงกว่าเมื่อพบหน้าบิดามารดาของตน หวังเจี้ยนหัวชายอกสามศอกถึงกับน้ำตาไหลรินออกมา
เขาได้พบหน้าบิดามารดาแค่ตอนก่อนจะย้ายไปหมู่บ้านต้าเหอในตอนนั้นบิดามารดามีชีวิตชีวาทีเดียว บิดาหวังเจี้ยนหัวยังคงคิดว่าตนเองจะได้กลับไปรับตำแหน่งเดิมด้วยซ้ำเชื่อมั่นในอนาคตมาก สภาพแวดล้อมขมขื่นเพียงใดก็ยืนหยัดไหว
ทว่าพอเวลาเลยผ่านมาถึงเดือนกุมภาพันธ์ปี 84 เหล่าข้าราชการที่ถูกส่งตัวมาใช้แรงงานก่อนหน้าเพียงไม่นานถ้ากลับเมืองได้ก็ทยอยกลับกันหมดแล้วเดิมทีไร่ที่สามีภรรยาตระกูลหวังอยู่มีข้าราชการที่ถูกถอดตำแหน่งราวยี่สิบสามสิบคนแต่ตอนนี้นับรวมทั้งสองด้วยหลงเหลือเพียง 8 คนเท่านั้น
ถึงปี 84 แล้วกลับยังไม่ได้แก้ไขคำสั่งต่อบ้านหวังตามกาลเวลาที่แปรผันไป โอกาสมีแต่จะยิ่งห่างไกลออกไปทุกที
ใจของบิดาหวังเจี้ยนหัวก็รู้สึกสิ้นหวัง พลังชีวิตพังทลายทันทีทันใด
อีกทั้งยังป่วยหนักในฤดูร้อนปีนี้ถ้ามิใช่เพราะข่าวเื่หวังเจี้ยนหัวสอบติดวิทยาลัยครูปักกิ่งส่งมาถึงไร่นายหวังอาจอดทนผ่านความเจ็บป่วยนั้นไม่ได้ การที่หวังเจี้ยนหัวสอบติดมหาวิทยาลัยทำให้นายหวังจุดประกายความหวังอีกครั้ง! หากหวังเจี้ยนหัวซุกตัวอยู่ในชนบทที่ถูกส่งตัวไปจะทำอะไรได้เสียเวลาทั้งชาติของหวังเจี้ยนหัว และสู่ขอหญิงชนบทสักคน นับจากนี้ก็เป็เกษตรกรอย่างนั้นหรือ?
การสอบเข้ามหาวิทยาลัย นอกจากเปลี่ยนแปลงสภาพชีวิตของหวังเจี้ยนหัวแล้วยังทำให้เขาได้รับสิทธิ์ที่จะหวนกลับส่วนกลาง เร่งกอบกู้เกียรติยศของตระกูลหวัง
“ดี! มาแล้วก็ดี! รีบเข้าบ้านผิงไฟเถอะ!”
นายหวังไรผมเริ่มขาว ไม่ได้พบบุตรชายหลายปี เขาเองรู้สึกดีใจมากเหลือเกินหวังเจี้ยนหัวคือ ‘จือชิงชนบท’ ทว่าบิดามารดาของเขาต้องใช้แรงงาน [2] ในไร่ไร้ซึ่งอิสระเสรี สภาพความเป็อยู่ก็เลวร้ายอย่างถึงที่สุด
มารดาหวังเจี้ยนหัวผ่ายผอมมาก แม้เป็คนที่ดูดีขนาดไหนเมื่ออาศัยในสภาพแวดล้อมอันเลวร้ายหลายปีย่อมเกิดความเปลี่ยนแปลงภายนอกขนานใหญ่
พอเข้าบ้าน ในบ้านจุดเตาไฟเล็กเอาไว้ อุณหภูมิข้างในห้องอบอุ่นกว่าด้านนอกทว่าความฉลาดเฉลียวแสนรู้สิบส่วนของเซี่ยจื่ออวี้ก็โดนพิษความหนาวจนเหลือเพียงสามส่วนสมองคนเราเมื่ออยู่ในสภาพแวดล้อมอุณภูมิต่ำจัดจะทำให้ประมวลผลได้ช้าลงผิงไฟตั้งนานเธอถึงนึกขึ้นได้ เมื่อครู่ทักทายบิดามารของหวังเจี้ยนหัวหรือยังนะ?
“สวัสดีคุณลุง สวัสดีคุณป้าค่ะ”
หวังเจี้ยนหัวเพิ่งรู้สึกตัวเหมือนกัน “พ่อ แม่ผมเคยเล่ากับพ่อแม่แล้ว นี่เซี่ยจื่ออวี้”
นายหวังพยักหน้าเงียบๆ ส่วนนางหวังเป็มิตรกว่ายิ่งนักเธอจูงมือของเซี่ยจื่ออวี้ไป “ตัวแข็งแล้วสินะ ผิงไฟสักพักก็ดีขึ้นแล้ว”
“ตอนนี้ผมกับจื่ออวี้เป็แฟนกันแล้ว จื่ออวี้คือผู้หญิงที่ยอดเยี่ยมมากพอพวกเราจบมหาวิทยาลัยก็จะแต่งงานกัน”
อันที่จริงถ้าพาเซี่ยจื่ออวี้มาถึงไร่ได้ก็คือการสื่อนัยยะว่าเป็คู่หมายสมรสในอนาคตแล้ว ด้วยสภาพตระกูลหวังในตอนนี้ หญิงสาวคบหาสนุกๆทั่วไปคนไหนจะติดตามหวังเจี้ยนหัวต่อรถเสียหลายรอบเดินทางมาไร่เพื่อเยี่ยมบิดามารดาหวังเจี้ยนหัวท่ามกลางอากาศหนาวเหน็บเช่นนี้กัน? ว่าที่ภรรยาย่อมต่างออกไป ไม่ว่าสภาพจะลำบากยากเข็ญสักเท่าไรเซี่ยจื่ออวี้ก็ต้องเดินทางครั้งนี้อยู่ดี
แต่คำพูดอธิบายความในใจและประกาศสถานะเซี่ยจื่ออวี้ของหวังเจี้ยนหัวนี้กลับทำให้สามีภรรยาบ้านหวังตกตะลึง
ในที่สุดนายหวังก็มองเซี่ยจื่ออวี้เต็มตา
หวังเจี้ยนหัวเคยแนะนำเซี่ยจื่ออวี้ในจดหมายที่ส่งมา พวกเขารู้จักกันตอนที่หวังเจี้ยนหัวเป็จือชิงอยู่หมู่บ้านต้าเหอและทั้งสองคนสอบติดวิทยาลัยฝึกหัดครูปักกิ่งด้วยกัน
อีกทั้งยังบอกว่าเซี่ยจื่ออวี้ใส่ใจชีวิตประจำวันของเขามาก รวมถึงห่วงใยพวกเขาสามีภรรยาอีกด้วยเสื้อผ้าที่นายหวังสวมใส่อยู่ ณ ตอนนี้ ก็คือเสื้อผ้าที่เซี่ยจื่ออวี้ส่งมาหลังเซี่ยจื่ออวี้ถอดผ้าพันคอออกสามีภรรยาบ้านหวังก็ได้เห็นรูปลักษณ์ของเซี่ยจื่ออวี้อย่างชัดเจน
ดวงหน้าสง่างาม คิ้มเข้มตาโตเห็นแล้วก็รู้ว่าคือรูปลักษณ์ของแม่ศรีเรือนผู้เปี่ยมคุณธรรม
ทุกวันนี้ตระกูลหวังตกระกำลำบาก แม้เซี่ยจื่ออวี้จะเป็หญิงสาวชนบททว่าการศึกษาและนิสัยสามารถชดเชยจุดด้อยซึ่งติดตัวมาั้แ่กำเนิดได้มารดาของหวังเจี้ยนหัวคิดว่าเซี่ยจื่ออวี้และบุตรชายเหมาะสมกันยิ่งนักจิตใจของคนเป็แม่สามีทั่วหล้าล้วนหวังว่าลูกสะใภ้จะปรนนิบัติลูกชายได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่องทั้งนิสัยและรูปลักษณ์เซี่ยจื่ออวี้สำหรับเธอนั้นเป็ที่พึงพอใจยิ่งนัก
แต่บิดาหวังเจี้ยนหัวไม่โปรดปราน
ถ้าแค่คบหาประสาคนรักเขาก็ไม่ว่า แต่หวังเจี้ยนหัวกลับพาเ้าตัวมาตรงหน้าและพูดถึงการแต่งงาน...แต่งงาน? วิวาห์ของหวังเจี้ยนหัวเป็ตัวช่วยว่าตระกูลหวังจะปลดเปลื้องตนจากความยากลำบากได้หรือไม่ด้วยเช่นกันเซี่ยจื่ออวี้ดีไปเสียหมด ยกเว้นพื้นเพครอบครัวที่ย่ำแย่จริงๆหากหวังเจี้ยนหัวตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะเลือกเธอ ไม่ต้องคิดถึงการพึ่งพาครอบครัวภรรยากลับกันพวกเขายังต้องรับผิดชอบทุกสิ่งต่อครอบครัวชนบทของฝ่ายหญิงด้วยซ้ำ!
ไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย
บิดาหวังเจี้ยนหัวสวมเสื้อผ้าที่เซี่ยจื่ออวี้ซื้อ ทำให้ไม่กล้าปฏิเสธอย่างตรงไปตรงมาว่าไม่เห็นด้วยเื่การแต่งงานของทั้งสองคนบรรยากาศอึดอัดไปสักพัก หวังเจี้ยนหัวคิดไม่ถึงจุดนั้นนึกว่าการใช้ชีวิตทำไร่ไถนาหลายปีเป็สาเหตุทำให้บิดาผู้กระฉับกระเฉงกลายเป็คนเงียบขรึมพูดน้อยทว่าเซี่ยจื่ออวี้สังเกตได้ถึงความผิดปกติ
บิดาของหวังเจี้ยนหัวไม่ถูกใจเธอหรือ?
เซี่ยจื่ออวี้รู้สึกงุนงง
ต่อให้เมื่อก่อนตระกูลหวังรุ่งโรจน์เพียงใด ตอนนี้อยู่สภาพไหนกันแล้วชีวิตที่บิดามารดาหวังเจี้ยนหัวอาศัยในไร่ย่ำแย่กว่าชาวชนบทในหมู่บ้านต้าเหอเสียอีกแม้หมู่บ้านต้าเหอจะแร้นแค้น แต่สภาพแวดล้อมทางธรรมชาติก็ไม่เลวร้ายแบบนี้เซี่ยจื่ออวี้ผิงไฟ หิมะซึ่งติดอยู่ที่ขากางเกงกับรองเท้าละลาย ทำให้เกิดน้ำหยดลงบนพื้นติ๋งๆ
เธอรู้สึกถึงความเย็นเยียบที่ไล่จากปลายเท้าขึ้นสู่้า
ถ้าตระกูลหวังไม่ประสบเคราะห์กรรมเช่นนี้ เธอจะเดินเคียงคู่หวังเจี้ยนหัวย่อมไม่เหมาะสม
ในอดีตนั้นหวังเจี้ยนหัวถือว่าเป็ลูกหลานข้าราชการชั้นสูงพอสอบเข้ามหาวิทยาลัยก็ยิ่งมีอนาคตที่สดใส เทียบกับเธอแล้ว นับตระกูลเซี่ยย้อนไปกี่รุ่นล้วนเป็เกษตรกร! ทว่าสถานะของบ้านหวังในปัจจุบันยังสู้เกษตรกรไม่ได้หวังเจี้ยนหัวสอบติดมหาวิทยาลัยตัวเธอเซี่ยจื่ออวี้ก็เป็นักศึกษามหาวิทยาลัยเช่นกันตรงไหนที่ไม่คู่ควรกับหวังเจี้ยนหัวอีกเล่า?
แม้เซี่ยจื่ออวี้จะแสดงเก่งเสมอมาก็โดนท่าทีจากบิดาหวังเจี้ยนหัวทำเอากระอักกระอ่วนไม่น้อย
“คุณป้าคะ ที่นี่มีห้องครัวหรือไม่ ฉันพกของกินมาอยู่บ้างก่อไฟอุ่นสักหน่อยพวกเราก็ทานจบหนึ่งมื้อได้แล้ว”
เซี่ยจื่ออวี้อยู่ในบ้านไม่ได้อีกต่อไปมารดาหวังเจี้ยนหัวบอกว่าปกติก็อุ่นอาหารบนเตาไฟผิงความร้อน ได้ใช้ห้องครัวเสียที่ไหนทว่าเซี่ยจื่ออวี้ส่งสายตาเจือความนัยส่งไปให้ มารดาหวังเจี้ยนหัวมิใช่คนโง่เง่าเธอจึงพาเซี่ยจื่ออวี้ออกจากห้อง และทิ้งหวังเจี้ยนหัวกับบิดาไว้ในห้องตามลำพัง
เชิงอรรถ
[1]狗皮帽子 หมวกหนังสุนัข คือ หมวกที่ทำจากหนังของสุนัข ช่วยกักเก็บความอบอุ่นได้ดีแพร่หลายในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของจีน
[2]ใช้แรงงานในที่นี้ไม่ใช่การใช้แรงงานธรรมดาแต่มาจากระบบการลงโทษผู้กระทำความผิด 劳动改造 ซึ่งเป็การส่งคนไปปรับปรุงตนผ่านการใช้แรงงาน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้