เธอโทรหาโจวเฉิงิ และบอกว่าหลังจากไต้ซืออู๋เซวียนฟังคำแนะนำของเธอ เขาก็ตัดสินใจที่จะไม่ซ่อมแซมวัตถุโบราณ ความโกรธของโจวเฉิงิที่ออกมาจากโทรศัพท์แทบจะพลิกแผ่นดินทั่วทั้งยุโรปได้
“หลิวเยว่ เธออย่าเอาแต่ใจนักสิ เธอคิดว่าฉันเดินทางข้ามูเาแม่น้ำไปเพื่อตามหาไต้ซืออู๋เซวียน เพื่อ้าซ่อมแซมสิ่งของเหล่านี้เพราะเงินเล็กน้อยนั่นรึไง ฉันจะบอกเธอให้นะว่าไม่ หลิวเยว่ ลองคิดดูว่านานแค่ไหนแล้วที่เธอยังไม่เจอสิ่งที่ถูกใจ สิ่งที่เธอตื่นเต้นจนอยากจะซ่อมแซมมัน? ถ้าเธอยังเป็แบบนี้ เธอจบเห่แน่ เข้าใจไหม ยายทึ่ม เธอมันไม่มีจิติญญา เข้าใจไหม หลิวเยว่”
“ถ้าเป็อย่างนี้ต่อไปก็จบเห่แล้ว”
ยิ่งโจวเฉิงิบ่นมากเท่าไร เขายิ่งโมโหมากขึ้นเท่านั้น
“ไม่มีจิติญญา งั้นไม่ซ่อมแล้ว” หลิวเยว่กล่าวอย่างโกรธเคืองเช่นกัน
“เธอทำลายความสามารถ ทำลายตัวเอง เธอเกิดมาเพื่อใช้ชีวิตไปวันๆ จริงๆ ”
หลิวเยว่จับโทรศัพท์ด้วยรอยยิ้มขมขื่น
โจวเฉิงิพูดถูก นี่คือชีวิตของเธอ ั้แ่เธอเกิดมา ทุกคนบอกว่าเธอมีดวงตาแห่ง์ สามารถเรียนรู้วัตถุโบราณเหล่านี้ได้ด้วยตนเอง
เมื่อเธอยังเด็ก แม่ของเธอพาเธอไปบ้านญาติ ขณะที่เห็นเครื่องลายคราม ภาพวาด และตัวอักษรที่ญาติของเธอวางไว้ในห้องนั่งเล่น เธอสามารถระบุได้อย่างแม่นยำว่ามาจากราชวงศ์ใด ไม่ว่าจะเป็ของแท้หรือของปลอมเธอสามารถระบุได้ทั้งหมด ตอนแรกแม่ของเธอคิดว่าเธอกำลังพูดเื่ไร้สาระ จึงไม่สนใจ
ต่อมา หลังจากเข้าเรียนในโรงเรียน เธอได้ศึกษาประวัติศาสตร์โดยไม่มีครูสอน สำหรับเื่การเปลี่ยนแปลงของราชวงศ์ไปจนกระทั่งการเกิดา แม่ทัพที่มีชื่อเสียงของทุกราชวงศ์ เธอสามารถท่องออกมาได้โดยไม่ต้องอ่านหนังสือหรือฟังการบรรยายเลย มีครั้งหนึ่งที่เธอเคยโต้เถียงกับครูเกี่ยวกับความเข้าใจผิดเื่ของเวลา ตอนนั้นใบหน้าของเธอกลายเป็สีแดงเพราะกำลังโกรธ ในที่สุด ครูคนนั้นก็ได้ค้นคว้าจากหนังสือโบราณมากมายและพบว่าสิ่งที่เธอพูดนั้นถูกต้องแล้ว ในเวลานั้น ครอบครัวของเธอจึงคิดว่าเธอมีความจำดี สามารถอ่านหนังสือแล้วจะไม่ลืม
ในที่สุดเธอก็เป็ที่รู้จักของสาธารณชน ตอนที่รายกายทีวีที่มีการให้ระบุสมบัติได้รับความนิยมไปทั่วประเทศ ทุกครั้งที่มีการแสดงสมบัติโบราณทางทีวี เธอสามารถมองออกได้ทันทีว่าเป็ของจริงหรือปลอม และไม่เคยพลาดสักครั้ง ทันทีที่มีข่าวออกไป มันก็แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว คนที่มีสมบัติตกทอดจากบรรพบุรุษต่างนำมาให้เธอดูเรื่อยๆ มีนักสะสมมืออาชีพบางคนที่้าจะซื้อของโบราณมักจะพาเธอไปดูสมบัติเพื่อระบุว่ามันคือของจริงหรือไม่ สถานการณ์เช่นนี้ทวีความรุนแรงขึ้นจนกระทั่งส่งผลกระทบต่อชีวิตปกติของครอบครัวเธออย่างมาก นอกจากผู้ซื้อที่มาหาเธออย่างไม่หยุดหย่อน ผู้ขายที่้าทำเงินถึงขั้นหลอกล่อเธอ ให้เธอแสร้งทำว่าของเ่าั้คือของจริง
ตอนนั้นเธอเป็วัยรุ่นแล้ว ชีวิตเช่นนี้มันทำให้เธอรู้สึกทรมานอย่างมาก กระทั่งครั้งหนึ่งมีนักธุรกิจชาวฮ่องกงมาขอให้เธอระบุภาพตัวอักษรที่มีราคาหลายสิบล้าน วันนั้น เธออารมณ์เสียจึงะโเอ่ยตัดบทไป
“ของจริง ของจริง มันคือของจริง”
เธอไม่รู้ว่าประโยคนั้นมันจะนำความหายนะมาสู่ทั้งครอบครัวเธอ นักธุรกิจชาวฮ่องกงได้ฟังคำพูดของเธอจึงยอมควักเงินหลายสิบล้านเพื่อซื้อของปลอมชิ้นนั้น ผลที่ตามมานั้นสามารถจินตนาการได้
พ่อของเธอถูกบังคับให้ตาย ปล่อยให้เธออาศัยอยู่กับแม่และทำงานหาเลี้ยงชีพตามลำพัง จนกระทั่งในเวลาต่อมา เธอได้พบกับพ่อของโจวเฉิงิ เขารับเธอเป็ศิษย์และสอนให้เธอรู้จักการซ่อมแซมของโบราณ จนกลายเป็นักซ่อมแซมวัตถุโบราณที่ไฟแรงที่สุดจนทุกวันนี้
สองปีมานี้ แม่ของเธอได้จากไป และเธอเริ่มฝันประหลาด ทำให้หัวใจเธอเหี่ยวเฉาลงทุกวันๆ
โจวเฉิงิตำหนิเธอ แต่เธอไม่สนใจ เธอตกลงเดินทางมาที่ลาซ่า เพราะเหตุผลที่ใหญ่กว่านั้นคือการได้พบไต้ซืออู๋เซวียน ั้แ่แม่ของเธอเสียชีวิต เธอสงสัยว่าแม่ของเธอยังมีห่วงหรือไม่ ถึงได้ทำให้ิญญาของแม่ไม่ไปไหน ความฝันเ่าั้อาจจะเป็แม่ของเธอมอบให้เธอก็ได้
ดูเหมือนไต้ซืออู๋เซวียนจะเข้าใจความปรารถนาของเธอ จึงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงนุ่มลึก
“ถ้าโยมอยากให้ผู้ตายไปสู่สุคติ เดินทางไปยังดินแดนแห่งสุขตลอดกาล โยมต้องปฏิบัติธรรมสี่สิบเก้าวัน หากโยมสะดวก สามารถอยู่ที่วัดนี้ได้ ท่องพระคัมภีร์ทุกเช้า ตอนเย็นก็นั่งสมาธิภาวนา ถึงจะเป็ผล”
“ค่ะ”
ห้องรับแขกชั้นในสุดถูกจัดให้เป็ที่พักของหลิวเยว่ บริเวณโดยรอบเงียบสงบ ห้องรูปแบบโบราณดูแปลกตา ไม่มีของที่เป็ยุคสมัยใหม่ปะปน อาคารเดิมของที่นี่ยังได้รับการอนุรักษ์ วันนี้เธอเหนื่อยมาก จึงเผลอหลับไปบนเตียง
“ก๊อก ก๊อก ก๊อก” เสียงเคาะประตูดังขึ้น
เป็ลูกศิษย์ของไต้ซืออู๋เซวียนที่นำกล่องไม้จันทน์บรรจุของเก่ามาให้ เมื่อส่งให้หลิวเยว่แล้วจึงเอ่ยถาม
“นี่คือของที่ท่านทำหล่นไว้หรือไม่ครับ?” ลูกศิษย์ถาม
“ไม่ใช่ค่ะ” หลิวเยว่ส่ายศีรษะ
“ไต้ซืออู๋เซวียนบอกว่านี่เป็ของของคุณ ได้เวลาคืนให้เ้าของแล้ว” หลังจากพูดจบ เขาก็ยัดมันเข้าไปในอ้อมแขนของหลิวเยว่ ก่อนจะหันหลังจากไป
หลิวเยว่ไม่เข้าใจ เมื่อเปิดกล่องไม้จันทน์ดู ภายในนั้นมีของเก่าหลายชิ้นวางไว้อย่างเรียบร้อย ลมในยามกลางคืนนั้นเย็นสบาย รอบด้านเงียบสงบ มีเพียงเสียงของลูกตุ้มนาฬิกาที่อยู่ไกลออกไปเท่านั้น
เธอถือกล่องนั้นกลับไปที่ห้องของเธอ ในใจนึกสงสัยว่าทำไมไต้ซืออู๋เซวียนถึงส่งมาให้เธอ?
เธอเปิดมันออกมาและหยิบดูทีละชิ้น กลิ่นอายประวัติศาสตร์อันหนาแน่นลอยตลบอบอวลขึ้นมา แต่ที่แปลกไปกว่านั้นคือ ยิ่งเธอมองดูมันมากเท่าไร เธอยิ่งรู้สึกคุ้นเคยมากเท่านั้น ราวกับว่าของเหล่านี้เคยอยู่ในมือของเธอมาก่อน
เธอไม่รู้ว่าเธอมองมันนานแค่ไหน จนกระทั่งผล็อยหลับไปด้วยความง่วง
เธอยังคงฝันเช่นเดิม
ในความฝัน อวิ๋นซู่กอดเธอไว้แล้วหมุนไปรอบๆ
“อาซี ข้าจะพาเ้ากลับวัง”
“อาซี ข้าสัญญาว่าข้าจะใช้ชีวิตนี้ไปกับเ้า ชาตินี้ ข้าจะทำให้มันเป็วันที่มีความสุขที่สุด”
“อาซี ข้าอยากให้เ้าเป็สตรีที่มีความสุขที่สุดในใต้หล้านี้”
เธอยินดีตามเขากลับวัง
ต่อมา เขาบอกว่า
“อาซี นี่คือชะตาชีวิตสมาชิกราชวงศ์ของข้า ข้าต้องฉกฉวยแย่งชิงมันมาให้ได้ ข้าถึงจะสามารถทำให้เ้ามีความสุขที่สุดได้ ไม่ต้องกังวล ที่ข้าแต่งงานกับชางรั่วอวี้แห่งอาณาจักรเป่ยเจวี๋ยเป็พระสนม เป็เพียงแผนการชั่วคราวเท่านั้น”
แต่แผนการชั่วคราวนี้กลับกลายเป็ตลอดกาล ชางรั่วอวี้กำลังตั้งครรภ์ ส่วนเธอนั้นกลับต้องเข้าไปอยู่ในตำหนักเย็น นับั้แ่นั้นมาเธอก็อยู่อย่างโดดเดี่ยวกับตะเกียงไฟ
ความฝันในคืนนั้นฉายซ้ำแล้วซ้ำเล่า และความฝันนั้นก็ค่อยๆ เหมือนจริงมากขึ้น
ใน่ครึ่งหลังของคืนนั้น เธอตื่นขึ้นมา ลุกขึ้นนั่งเปิดคอมพิวเตอร์ที่พกติดตัวมาด้วย ก่อนจะค้นหาความหมายของความฝันบนอินเทอร์เน็ต อย่างไรก็ตาม ไม่มีข้อมูลใดที่สามารถอธิบายความฝันของเธอได้
หลังจากอดนอนมาค่อนคืน เธอก็หลับไปไม่ตื่นขึ้นมาอีกจนกระทั่งได้ยินเสียงระฆังของวัดดังขึ้นในตอนเช้า จากนั้นเธอก็ไปเยี่ยมไต้ซืออู๋เซวียน เมื่อเห็นท่าทางที่อ่อนล้าของเธอ ไต้ซืออู๋เซวียนพลันส่ายหัว
พาเธอไปนั่งขัดสมาธิอ่านพระคัมภีร์อยู่บนฟูก กลิ่นหอมบางอย่างลอยอบอวล เสียงของไต้ซืออู๋เซวียนดังมาจากที่ไกลๆ เสียงนั้นแม้จะอยู่ห่างไกลแต่กลับเหมือนอยู่ใกล้ๆ จิตใจเธอตกอยู่ในภวังค์ ราวกับได้ยินเสียงของแม่ ที่กำลังพูดกับเธอเมื่อตอนยังเป็เด็ก
“อย่าให้ใครรู้เื่ความสามารถของลูก ไม่อย่างนั้นลูกจะถูกมองว่าเป็สัตว์ประหลาด”
เมื่อโตขึ้นมาอีกหน่อย แม่ก็บอกว่า
“หลิวเยว่ พ่อของเธอตายเพราะเธอ เธอเข้าใจไหม”
ตึง...ตึง...ตึง...ไต้ซืออู๋เซวียนหยุดสวดมนต์ แล้วเคาะปลาไม้สามครั้ง หลิวเยว่จึงตื่นจากภวังค์
“แม่ของโยมอยู่ในดินแดนสงบสุขไปนานแล้ว แต่โยม กลับกำจัดปีศาจออกจากใจไม่ได้”
“ปีศาจ?” เธอถามกลับ
“โยม วาสนาชาติก่อนของโยมยังไม่สิ้น ยังมีคนที่เฝ้าระลึกถึงอย่างทุกข์ทรมาน ชาตินี้จึงมีแต่ความกังวลใจมากมาย ปล่อยวางซะ แล้วสักวันโยมจะสมปรารถนา”
“ฉันควรทำยังไงคะ"
“มาจากที่ใด ก็ควรกลับไปที่นั่น” ไต้ซืออู๋เซวียนมองเธอด้วยสายตามุ่งมั่น ราวกับว่าเขากำลังมองเห็นอดีตอันไกลโพ้น
“ฉันมาจากไหนคะ?”
“หลังจากสี่สิบเก้าวันย่อมจะรู้เอง”
ไต้ซืออู๋เซวียนไม่พูดอะไรต่ออีก และส่งเธอออกไป
โจวเฉิงิจะโทรหาเธอเป็ครั้งคราว น้ำเสียงนั้นราวกับลืมความไม่พอใจก่อนหน้านี้ไปนานแล้ว บทสนทนานั้นยังคงเป็เธอที่ฟังเขาพูดพล่ามเกี่ยวกับสิ่งที่เขาเห็นและได้ยินในต่างแดน แบ่งปันทั้งเื่ใหญ่และเื่เล็ก
หลิวเยว่ไม่ได้พูดอะไรและไม่ได้ตัดสายทิ้ง หากเธอยุ่งกับอะไรบางอย่าง มักจะเปิดลำโพงและปล่อยให้เขาพูดกับตัวเอง ส่วนเธอก็จัดการธุระของเธอไป ทั้งคู่ไม่มีเพื่อน ส่วนญาติก็ตายไปหมดแล้ว แม้ว่าความสัมพันธ์จะไม่หวือหวา แต่ในใจของพวกเขารู้สึกว่าต่างฝ่ายต่างเป็พี่น้องกันอย่างแท้จริง
“หลิวเยว่ ฉันตัดสินใจแล้ว ฉันไม่อยากระเหเร่ร่อนอีกแล้ว” อยู่ๆ โจวเฉิงิก็เริ่มเพ้อ
และหลิวเยว่กำลังพลิกดูคัมภีร์พระโพธิสัตว์ อ่านธรรมมะหัวข้อเมื่อมีเหตุก็ต้องมีผล อย่างเช่นการปฏิบัติธรรมสามารถช่วยให้คนตายหลุดพ้นจากห้วงทะเลแห่งความทุกข์ และพาไปสู่สุคติได้ ในสมองของเธอตอนนี้นึกถึงสิ่งที่ไต้ซืออู๋เซวียนพูด มาจากไหน กลับไปที่ไหน ดังนั้นเธอจึงไม่ได้ตั้งใจฟังสิ่งที่โจวเฉิงิพูด
“หลิวเยว่ ฟังอยู่หรือเปล่า”
“อืม”
“ฉันบอกว่าฉันตัดสินใจแล้ว จะแต่งงานกับผู้หญิงดีๆ สักคน แล้วไม่ระเหเร่ร่อนไปไหนอีกแล้ว”
“นายควรคิดแบบนี้ตั้งนานแล้ว ไต้ซือคงไม่โกรธนายหรอก” หลิวเยว่หลุดปากออกมา
โจวเฉิงิที่อยู่ปลายสายชะงักไป ก่อนจะเงียบลง
“ฉันวางสายก่อนนะ”
“บาย”
หลิวเยว่กดวางสายและอ่านพระคัมภีร์พระโพธิสัตว์ต่อ ท้องฟ้าด้านนอกหน้าต่างถูกปกคลุมไปด้วยเมฆดำ ราวกับว่าพายุกำลังจะมา เธอเอนหลังลงบนเตียงเพื่อนอนหลับให้สบาย เพราะเมื่อคืนถูกรบกวนจากความฝัน เธอจึงนอนหลับไม่สนิท
ข้างนอกตอนนี้ฝนตกหนักแล้ว และหน้าต่างก็สั่นะเืจากลม เธอฝันอีกแล้ว ความฝันนั้นชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ และเธอรู้สึกได้ถึงความเ็ปในความฝัน
ในความฝัน ฝนก็กำลังตกเช่นกัน ภายใต้เสียงฟ้าร้องและฟ้าแลบนั้น หน้าต่างไม้ทั้งหมดดูเหมือนจะถูกฟ้าผ่าไปครึ่งหนึ่ง และภายในเรือนยังมีแสงสว่างจากฟ้าแลบตามมา
เธอนอนอยู่บนเตียงที่เย็นะเื ท้องของเธอมีอาการจุกเสียด หยาดเหงื่อเม็ดใหญ่ไหลออกมาจากหน้าผากทีละเม็ด หญิงชราคนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างเธอก็พูดกับเธอด้วยเสียงสะอื้น
“แม่นางลิ่ว อดทนไว้ ท่านหมอกำลังจะมาถึงแล้ว”
เธออยู่ในภวังค์รู้สึกถึงความเ็ปนั้น แต่เธอรู้ดีว่าหมอจะไม่มา หมอไม่มีทางมาตำหนักลิ่วฉือที่ไม่มีใครเหลียวแล ท่ามกลางความเ็ปรวดร้าว มีของเหลวอุ่นๆ ไหลออกมาจากส่วนล่างของร่างกายเธอ
มันคือเื เืที่เปรอะเปื้อนเต็มเตียง
หญิงชราที่อยู่ข้างๆ ร้องะโด้วยความหวาดกลัว
“แม่นางลิ่ว เ้าอดทนไว้ก่อนนะ” หญิงชราตื่นตระหนก แม้แต่ร้องไห้ก็ร้องไม่ออกแล้ว
“เ้าอย่าร้องไห้ ไปเรียกท่านอ๋องสามอวิ๋นซู่มา” เธอสงบสติอารมณ์
“ได้ ได้ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้” หญิงชราเดินโซเซและวิ่งออกไปด้วยเท้าเปล่า แม้แต่ร่มยังไม่ได้หยิบไปด้วย
ฝนหยุดตกแล้ว เธอนอนอยู่บนเตียงด้วยสีหน้าซีดเซียว
เวลาผ่านไปนาน หญิงชรากลับมา ตามที่คาดไว้ เธอกลับมาเพียงลำพังและคุกเข่าตรงหน้าเตียงเสียงดังตุบ
“ท่านอ๋องสามไม่ยอมมาเ้าค่ะ เขาบอกว่าชีวิตของคนในตำหนักลิ่วฉือนั้นไม่มีความหมายสำหรับเขา”
“แม่นางลิ่ว ข้าขอโทษ”
หญิงชราคุกเข่าอยู่หน้าเตียงและร้องไห้คร่ำครวญ ยิ่งกว่าเธอที่ตกเืเสียอีก
"เขาอยู่ที่ไหน?”
“ในห้องของพระสนมอวี้เ้าค่ะ”
“...” ทันใดนั้นใบหน้าของเธอพลันซีดเผือด
ร่างกายส่วนล่างของเธอไม่มีเืให้ไหลอีกแล้ว เธอพยายามลุกขึ้นโดยไม่สนใจการฉุดรั้งของหญิงชรา เดินออกจากตำหนักลิ่วฉือเพียงลำพังด้วยดวงตาที่ว่างเปล่าและพละกำลังของเธอก็หมดลง
ชีวิตนี้ ไร้ซึ่งความหมายแล้ว