ห้องทรงพระอักษรไม่ได้มีตำรามากมายนัก ทว่ากลับกว้างขวาง ดูแล้วเหมือนห้องรับแขกหรูหราขนาดใหญ่ห้องหนึ่งเสียมากกว่า ฮ่องเต้มักจะนัดพบขุนนางคนสำคัญที่นี่ องค์หญิงน้อยก็นานๆ ทีจะเสด็จมาสักครา ส่วนนางสนมทั้งหลาย รวมไปถึงฮองเฮาแทบจะไม่เคยก้าวย่างเข้ามา ที่นี่เลยสักครา
ห้องทรงพระอักษรถือเป็ส่วนหนึ่งของวังหน้า หากว่ากันอย่างเคร่งครัดแล้ว เหล่านางสนมชายาล้วนไม่ควรอย่างกรายเข้ามา ณ ที่แห่งนี้ ทว่าองค์หญิงอีถือเป็ข้อยกเว้น เพราะนางไม่ได้เป็เพียงองค์หญิง ทว่ายังเป็ผู้ที่์ลิขิตให้มาปกป้องแคว้นเชิน ดังนั้นต่อให้เป็ขุนนางาุโก็ยังต้องเคารพนอบน้อม ตีสนิทกับนาง
เพียงแต่หลายวันมานี้นางสลบไป จึงไม่ได้เดินทางมาที่นี่
ฮ่องเต้เวินสังเกตเห็นสายพระเนตรของพระธิดา จึงได้ยกชายฉลองพระองค์ขึ้นมาปิดตำราเอาไว้ ด้านขันทีระดับสูงก็แสนเฉียบแหลมรีบเข้ามาช่วยปกปิดตำราเล่มนั้น ทำทีราวกับว่าไม่มีเื่อันใดอย่างไรอย่างนั้น
“อีเหรินมาหาพ่อมีอะไรหรือ” ฮ่องเต้เวินตรัสถามขึ้น
“ในระยะเวลาที่หม่อมฉันสลบไป คงจะทำให้เสด็จพ่อและเสด็จแม่กังวลพระทัยมาก เมื่อหม่อมฉันฟื้นขึ้นมาแล้วจึงอยากจะรับผิงอันกลับมาอยู่ด้วยกันเพคะ”
ฮ่องเต้เวินได้ยินเช่นนั้นก็เพิ่งจะนึกขึ้นได้ ว่าตนทิ้งพระโอรสไว้ในตำหนักราชครู
ฮ่องเต้เวินแต่ไหนแต่ไรมาก็มักจะหลงลืมเื่เล็กๆ กระทั่งกับเื่สลักสำคัญก็ยิ่งแล้วใหญ่ ทว่าในครานี้เป็เพราะเขาเชื่อมั่นในตัวท่านราชครู
“หลายวันมานี้เสด็จแม่ของเ้ากำลังยุ่งๆ พ่อเลยเป็กังวลใจ อยากให้นางได้พักผ่อนก่อนสักสองสามวัน แล้วค่อยไปดูแลผิงอัน”
ฮ่องเต้เวินไม่ใช่คนประเภทที่รู้ว่าตนผิดแล้วจะยอมรับผิดในทันที อย่างน้อยเขาต้องหาข้อแก้ตัวข้างๆ คูๆ มายืดเวลาได้เสมอ ทว่าอีเหรินก็ชาชินเสียแล้ว จึงเพียงแต่พยักหน้ารับทราบเบาๆ
เมื่อก่อนนางมักจะมาขลุกอยู่ในห้องทรงพระอักษรแห่งนี้ มานั่งอ่านตำราอยู่ข้างๆ เสด็จพ่อ นางเป็คนที่รู้จักใช้พระบารมีของฮ่องเต้ในการยกระดับสถานะของตน
ในยามนี้นางมองดูท่าทางของฮ่องเต้แล้ว เกรงว่าหากยังดันทุรังจะไปนั่งอยู่ข้างๆ ก็จะเป็การรบกวนเขาเสียเปล่าๆ อีเหรินเคยอ่านนิยายมาก่อน นางรู้ดีว่ายามอ่านค้างไว้ครึ่งหนึ่ง แล้วไม่อาจอ่านต่อได้นั้นมันคันยุบยิบในหัวใจเช่นไร
ทว่าในครานี้นางไม่ได้มาเพื่อหลี่ผิงอัน
นางมาเพื่อเสด็จแม่ของนาง
อีเหรินได้ยินตงฉือเล่าว่าเสด็จพ่อนั้นเพื่อฮูหยินหลัวแล้ว ถึงขั้นลงแรงทำว่าวตัวหนึ่งด้วยพระองค์เอง ทั้งยังยอมเสด็จขึ้นูเาหลงตวนเพื่อนำว่าวตัวนี้ไปมอบให้นาง
เดิมทีอีเหรินอยากจะมาวิงวอนไม่ให้เสด็จพ่อของตนไปพบสตรีนางนั้นอีก ทว่าตัวนางก็ไม่ใช่เด็กแล้ว เื่ของบุรุษนางก็แจ้งแก่ใจอยู่ไม่น้อย เสด็จพ่อเป็เช่นนี้เพราะต้องอยู่ห่างไกลเสด็จแม่จึงรู้สึกว่ามันสดใหม่ ดังนั้นหากเข้าไปห้ามปรามในยามนี้ซึ่งเขากำลังตื่นเต้นที่สุด จะยิ่งเป็การกระตุ้นให้เสด็จพ่อต่อต้านนาง จนพานให้กลายเป็โปรดฮูหยินหลัวเสียยิ่งกว่าเดิม
หากว่ากันตามตรง ฮ่องเต้เวินในใจนางนั้น เป็เพียงบุรุษไม่รู้จักโตที่ยังต่อต้านผู้ใหญ่คนหนึ่ง
ทั้งนางและเสด็จแม่ยังไม่สะดวกจะออกจากวังหลวงในตอนนี้ ตัวนางนั้นยังดีหน่อยที่สามารถหาข้ออ้างออกไปได้ ทว่าเสด็จแม่ยังคงต้องอยู่ในวังหลวงต่อไปจนกว่าจะถึงเวลาที่เหมาะสม
ในเมื่อเื่เป็เช่นนี้ ไม่สู้นางดึงฮูหยินหลัวเข้าวังเสียคงจะดีกว่า
ในยามนี้ต่อให้นางแพศยานั่นจะงดงามเพียงไร ก็ไม่นับว่าโดดเด่นถึงเพียงนั้น อีกทั้งในวังหลวงแห่งนี้พระมารดาของนางก็ใหญ่ที่สุด ฮูหยินหลัวต่อให้เก่งกล้าสามารถก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงอะไรได้
สลบไปคราหนึ่ง หลังจากฟื้นขึ้นมาอีเหรินก็ลุ่มลึกขึ้น คิดการใดก็ล้วนรอบคอบ
อีเหรินยิ้มกว้างแล้วเอ่ยขึ้น “เสด็จพ่อ ใน่ที่หม่อมฉันสลบไป หม่อมฉันรู้สึกอยู่เสมอว่ามีสิ่งไม่ดีจะรุกล้ำเข้ามา จึงอยากจะหาแม่นางที่มีคุณธรรมสักคนมาเป็นักบุญผู้ชี้แนะให้หม่อมฉันเพคะ แม้ท่านราชครูกลับจะมาแล้ว แต่หม่อมฉันเป็สตรี จึงไม่สะดวกจะเดินทางไปยังตำหนักราชครูบ่อยๆ เพคะ”
ฮ่องเต้เวินปกติแล้วล้วนแต่โอนอ่อนไปตามพระธิดาเสียทุกเื่ ขอแค่ได้ยินว่านางร้องขออะไร เขาย่อมไม่มีทางปฏิเสธ อีกทั้งสิ่งที่องค์หญิงว่ามายังมีเหตุผล จึงได้ถามขึ้น “เ้าอยากจะให้พ่อช่วยไหม”
องค์หญิงน้อยส่ายพักตร์งามของตนไปมา “ไม่เป็ไรเพคะ หม่อมฉันอยากจะนิมนต์ท่านจ้าวอาวาสจากวัดเทียนเหรินมาช่วยคำนวณดูชะตาว่าใครจะเป็ผู้ที่เหมาะสมเพคะ”
เมื่อธุระเรียบร้อยแล้ว อีเหรินก็อยู่สนทนากับเสด็จพ่อของตนอีกครู่หนึ่ง ก่อนจะอ้างว่าร่างกายไม่ใคร่จะสบายนัก แล้วจึงทูลลา
ส่วนขันทีาุโที่ยืนอยู่ด้านข้างกลับรู้สึกว่าตากระตุกขึ้นมา ในฐานะขันที เขาจึงต้องอยู่ในมุมมืดเสมอ เื่ที่เขาคิดต่างจากคนอื่นๆ จึงค่อนข้างมากเป็พิเศษ
เมื่อเห็นพระพักตร์เบิกบานของฮ่องเต้ ก็พูดขัดพระทัยไม่ลง
องค์หญิงอีนั้นราวกับตะเกียงที่ยังไม่สิ้นน้ำมัน ภายนอกนางดูเป็เด็กสาวคงแก่เรียนมากความสามารถ แต่พวกเขาที่พรางตัวอยู่ในวังหลวงกลับเห็นว่าองค์หญิงอีได้ลงมือทำสิ่งใดไปบ้าง อายุยังไม่เท่าไรก็มีความคิดความอ่านแบบผู้ใหญ่ อำมหิตเสียจนเหล่านางกำนัลต่างก็ขวัญผวาไปตามๆ กัน
ทว่าเื่ขององค์หญิง ต่อให้พวกเขาเห็นมันด้วยตา แต่ก็ทำได้เพียงให้มันเน่าสลายอยู่ในใจเท่านั้น
เมื่อองค์หญิงน้อยทูลลาแล้ว ฮ่องเต้เวินก็พลิกหนังสือเล่มเดิมที่อ่านค้างไว้ขึ้นมาอ่าน ท่าทางยามอ่านดูสนุกสนานเป็อย่างยิ่ง บางคราก็เผลอสรวลขึ้นมา โดยเฉพาะในตอนที่คุณชายตกอับได้พบกับคุณหนูที่ไปจุดธูปด้วย การพบกันโดยบังเอิญครานั้น นำไปสู่การนัดพบกันในป่าเหมยหลังวัด ความรู้สึกนั้นช่างทำให้พลอยเบิกบานไปด้วยอย่างบอกไม่ถูก เขาเองก็คิดตามว่าตนจะสามารถนัดฮูหยินหลัวไปพบกันที่วัดเทียนเหรินได้หรือไม่ วัดเทียนเหรินอยู่ไม่ไกลจากูเาหลงตวน ทั้งยังปลอดภัยยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าความคิดนี้ไม่เลว
ฮ่องเต้เวินเมื่อจมอยู่กับความคิดนี้ก็รู้สึกคาดหวังขึ้นมา ทั้งยังลอบตื่นเต้นอยู่เล็กๆ
ฮ่องเต้เช่นเขาอยู่เหนือคนเรือนหมื่น แต่กลับไม่เคยมีประสบการณ์การตกหลุมรักจริงๆ ความรู้สึกราวกับหนุ่มน้อยคนหนึ่งเช่นนี้ ช่างงดงามนัก ทำให้เขารู้สึกราวกับได้กลับไปเป็เด็กหนุ่มอีกครา
……
ณ สำนักเชิน เด็กหนุ่มกลุ่มหนึ่งกำลังก้มหน้าก้มตาเขียนจดหมายที่ท่านอาจารย์จวีได้มอบหมายแบบฝึกหัดไว้ให้กับทุกคน
อาจารย์จวีแม้จะเคร่งครัดในกฎระเบียบ ทว่ายามสอนก็สามารถถ่ายทอดวิชาได้อย่างน่าสนใจและมีประสิทธิภาพไม่น้อย เมื่อสั่งงานแล้ว เขาก็นั่งลงที่เดิมตรงหน้าชั้นเรียนเพื่ออ่านตำราของตนเอง ทั้งยังหมั่นเงยหน้าขึ้นมามองเหล่าศิษย์ตัวแสบอยู่เสมอ
ยามเช้าสมองจะปลอดโปร่ง ความคิดก็แจ่มชัด เป็เวลาที่เรียนหนังสือแล้วมีประสิทธิภาพที่สุด
ทางสำนักนั้นเพื่อให้เหล่าบัณฑิตมีแสงสว่างเพียงพอสำหรับการเรียน ในห้องเรียนจึงได้สร้างหน้าต่างไว้มากมาย ไม่เพียงแต่แสงตะวันจะสามารถส่องผ่านหน้าต่างเหล่านี้ได้ แต่คนในห้องเรียนก็จะสามารถมองบรรยากาศด้านนอกได้เช่นกัน เพราะเมื่ออ่านตำรานานเข้า เงยหน้าขึ้นมาก็จะเห็นบรรยากาศของหมู่แมกไม้เขียวขจีสบายตา
เด็กๆ ในชั้นเรียนเตรียมความพร้อมล้วนแต่ยังไม่สลัดคราบของวัยเด็ก ใบหน้ายังคงขาวนวล นิสัยก็ช่างซุกซน ทว่ากลับชวนให้มองแล้วเพลินตานัก แต่กระนั้นเด็กเหล่านี้ก็ล้วนแต่เหมือนกับ่เวลาในยามเช้า เป็วัยที่เหมาะสมแก่การเล่าเรียนที่สุด
ภายใต้การสังเกตการณ์ของท่าอาจารย์จวี เหล่าบัณฑิตจึงนั่งเขียนจดหมายกันอย่างว่าง่าย เด็กอ้วนถังซีเมื่อได้ยินท่านอาจารย์จวีกล่าวว่าสามารถใช้บทกลอนในการสื่อความหมายได้ ก็ลงมือแต่งกลอนบทหนึ่งขึ้นมาทันที
หอพักมีบัณฑิตสี่คน
ในห้องเรียนมีบัณฑิตสองคน
อาหารในสำนักรสชาติดั่งอาจม
หอตำรามีหนังสือมากดั่งปูปลา
เมื่อเขียนเสร็จก็ลอบดีใจกับตนเอง ดวงตาหรี่เล็กพลันตวัดขึ้น ในมือก็ถือพู่กันไปพลางก้มอ่านสิ่งที่ตนเขียน ก็เห็นว่าไม่มีคำผิดต้องแก้สักคำ เช่นนี้เสด็จพ่อและเสด็จแม่ของเขาจะต้องภูมิใจมากเป็แน่
ส่วนคูมู่ชุนนั้นได้แต่กำพู่กันไว้ แน่นเสียจนแทบจะแหลกคามือ เขาลังเลใจนัก ไม่ใช่ว่าเขียนจดหมายไม่เป็ เพียงแต่จดหมายที่เขาเขียนให้น้องสามย่อมต้องมีคนตรวจสอบก่อนเป็แน่ สิ่งที่เขาอยากกล่าวจึงไม่อาจกล่าวได้ ทั้งที่คำพูดในใจนั้นมีมากมายถึงเพียงนี้ ทว่ากลับไม่รู้ว่าจะจรดพู่กันลงไปอย่างไร
เฉินโย่วเองก็กำลังถือพู่กันอยู่เช่นกัน แผ่นหลังยืดตรง ในมือยกพู่กันจรดกับจานหมึกเป็ครั้งครา นางเขียนจดหมายถึงน้าอวี้และท่านน้าคนอื่น ๆ อย่างตั้งใจ
ในยามแรกที่ข้ามาถึงเมืองหลวงแล้วเห็นตัวอักษรตัวโตที่เขียนอยู่บนกำแพงเมือง ก็ในักที่คนที่นี่เขียนอักษรบนกำแพงกัน ทว่าก็มองไม่ออกว่าเขียนตัวอักษรอะไร มีคนบอกว่าเป็สัญลักษณ์ของเทพที่ช่วยปกป้องเมืองหลวงให้ปลอดภัย เช่นนี้เหล่าท่านน้าอยากจะเขียนตัวอักษรบนทางเข้าหมู่บ้านไป๋กู่บ้างหรือไม่ ให้ดีต้องเขียนตัวที่คนอื่นไม่รู้จัก พวกเขาจะได้คิดว่าพวกเรานั้นเก่งกาจ
ส่วนท่านลุงสามจากไปที่อื่นแล้ว น่าจะทะเลาะกับน้าหลัวกระมัง ส่วนท่านอาจารย์เหล่ากัวได้กลายเป็ท่านปราชญ์แห่งแผ่นดินแล้ว ดูเหมือนว่าตำแหน่งของเขาจะสูงส่งนัก ต่อไปข้าคงไม่อาจให้เขามาเป็ม้าให้ข้าขี่ได้อีกแล้ว ท่านนายอำเภอเฉินบัดนี้ก็กลายเป็ผู้ดูแลบัณฑิตเฉินแล้ว เขาช่างร้ายกาจนัก แต่ละวันเพียงเดินดูคนอื่นๆ ก็ได้รับเงินเดือนขุนนางแล้ว
ข้าว่าการเรียนหนังสือนี่มันช่างเหน็ดเหนื่อย ต้องตื่นแต่เช้าทุกวัน จนข้ารู้สึกว่านอนไม่เคยจะอิ่มเลยสักวัน ทว่าข้าได้ยินมาว่าถ้าเรียนหนังสือต่อไปก็จะได้เป็ขุนนาง เป็ขุนนางนั้นรายได้ดีนัก ทั้งยังมีตำแหน่งที่สามารถใช้ให้คนอื่นมาช่วยงานเราได้
ข้าเหนื่อย
ข้าไม่อยากเรียนหนังสือ ไม่อยากเป็ขุนนาง
ข้าอยากขี่ม้ากับท่านน้า อยากเล่นซ่อนแอบในโรงทอผ้า
เฮ้อ! ข้าไม่เขียนแล้ว ท่านอาจารย์กำลังเดินมาตรวจแล้ว
เฉินโย่ววางพู่กันลงบนแท่นวางตรงมุมโต๊ะ แล้วเงยหน้าส่งยิ้มหวานให้อาจารย์จวี
อาจารย์จวีชำเลืองมองงานของเ้าเด็กกะล่อนตรงหน้า เพราะเป็อาจารย์มานานเขาจึงอ่านได้ไวนัก ทว่ายามอ่านไปถึงประโยคที่เขียนว่าต่อไปไม่อาจเป็ม้าให้ข้าขี่ได้อีกแล้วก็พลันหน้ากระตุกขึ้นมา เมื่ออ่านไปถึงที่กล่าวว่าผู้ดูแลบัณฑิตเฉินเพียงเดินมองคนอื่นก็ได้เงินเดือน ก็จำต้องกลั้นขำเอาไว้อย่างทุกข์ทรมาน