ฉินอวี่เดินตามศิษย์เ่าั้เขาไปในวังวนพลัง และรู้สึกได้เพียงภาพความเปลี่ยนแปลงของฉากที่อยู่ตรงหน้า
ูเาขนาดใหญ่ที่ปรากฏอยู่ก่อนหน้าได้สลายไปแล้วถูกแทนที่ด้วยเสาหินขนาดใหญ่ที่มีความสูงเกือบร้อยจ้าง บนเสาหินเต็มไปด้วยลวดลายของหินและหลุมขนาดเล็กตามธรรมชาติ ซึ่งดูเหมือนจะถูกสายลมสายฝนกัดกร่อนไปตามกาลเวลาที่ยาวนาน จนทั่วทั้งเสาหินเต็มไปด้วยพลังของความผันผวน
ตรงกลางเสาหินมีตัวอักษรสีแดงสลักเอาไว้อย่างเด่นชัดว่า “สำนักยุทธ์ว่านจ้ง”
ตัวอักษรทุกตัวดูเหมือนััแห่งเต๋าอันลึกซึ้ง เพียงแค่ฉินอวี่ได้ชำเลืองมองมัน เขาก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงจิตแห่งาขึ้นมาในใจ
“เสาหินนี้เป็รากฐานของสำนักยุทธ์ว่านจ้ง เรียกมันว่าเสาเซียนซิงเฉิน มันถูกสร้างขึ้นโดยปรมาจารย์ผู้บุกเบิกสำนักยุทธ์ว่านจ้ง” เจียงหยวนยืนอยู่ใต้เสาหิน มองเสาหินด้วยสีหน้าที่ดูเคารพ และพูดขึ้นอย่างหนักแน่น
“และการทดสอบในด่านที่สอง เรียกว่าการจุดตะเกียง! ใช้แก่นโลหิตเป็น้ำมัน ใช้เหตุผลเป็แกน จุดตะเกียงแห่งกรรม” เจียงหยวนโบกมือขวาขึ้น โต๊ะไม้ก็ปรากฏขึ้นเรียงแถวอยู่ใต้แนวเสาหิน โต๊ะทุกตัวล้วนมีตะเกียงสัมฤทธิ์โบราณวางอยู่อย่างถี่ยิบ
จุดแสงแห่งกรรม? ฉินอวี่ขมวดคิ้ว ในยุคแรกสำนักเทียนฉีก็มีการทดสอบอยู่สองครั้ง แต่ในตอนนั้น การทดสอบของสำนักเทียนฉีจะใช้การเดินผ่านถิ่นที่อยู่ของเหล่าอสูรร้าย ในการจัดลำดับคัดเลือกสายชีพจร แต่ในตอนนี้ การจุดตะเกียงคืออะไรกัน? หวังชิงทำอะไรกันแน่?
“ขอเพียงตะเกียงนี้ยังคงส่องสว่าง ความเป็ความตายไม่อาจแยกออกจากสำนักยุทธ์ว่านจ้งได้ และก่อนหน้านี้ ข้าได้เตือนพวกเ้าไปแล้ว หากพวกเ้ามีความคิดอื่นใด ตอนนี้ก็สายเกินกว่าจะจากไปแล้ว แต่หลังจากตะเกียงกรรมส่องสว่างขึ้นแล้ว ชีวิตและความตายจะอยู่ในความควบคุมของสำนักยุทธ์ว่านจ้ง ในอนาคต ใครก็ตามที่กล้าทรยศต่อสำนักยุทธ์ว่าจ้ง ขอเพียงแค่ดับเปลวไฟในตะเกียงแห่งกรรมนี้ จิติญญาของเขาจะสลายไปทันที” เจียงหยวนตะคอกด้วยน้ำเสียงที่เ็า
ฉินอวี่ประหลาดใจอย่างมากที่การจุดตะเกียงจะถูกนำมาใช้เช่นนี้ ดูเหมือนว่าหวังชิงตั้งด่านเช่นนี้ขึ้นมาก็เพื่อป้องกันไม่ให้ศิษย์ในสำนักคิดทรยศ แต่ฉินอวี่ไม่รู้เหตุผลเลย ว่าที่หวังชิงต้องทำเช่นนี้เป็เพราะการทรยศสำนักเทียนฉีของหลินอวี่ หรือมีความเกี่ยวข้องกับเขาโดยตรง
ในเวลานั้น หวังชิงคงคิดได้ว่าหากสามารถหยุดยั้งหลินอวี่เอาไว้ได้ และกักขังเอาไว้ในสำนักเทียนฉีตลอดชีวิต ก็คงไม่เกิดเื่อย่างที่คิดตามมาภายหลัง
สีหน้าของศิษย์ใหม่ต่างเต็มไปด้วยความหวาดกลัว แม้ว่าจะไม่อาจรับได้กับการเชื่อมโยงความเป็ความตายของตนเองกับตะเกียงเหล่านี้ แต่ในเมื่อเป็กฎของสำนักยุทธ์ว่านจ้ง ไม่ว่าศิษย์คนไหนก็ย่อมเป็เช่นเดียวกัน เมื่อคิดถึงจุดนี้ ในใจของทุกคนต่างก็สงบมากขึ้น
“หยิบตะเกียงขึ้นมา และหยดเืจากนิ้วชี้ลงไปเก้าหยด หลังจากหยดเืลงไปในตะเกียงแล้ว ก็ขอให้นั่งขัดสมาธิอยู่ตรงเสาเซียนซิงเฉิน แล้วรวบรวมจิตใจเข้ากับเสาเซียนซิงเฉิน จากนั้นจึงจะจุดตะเกียงกรรม!” เจียงหยวนพูดช้าๆ แล้วเขาก็หยิบตะเกียงขึ้นมาสองดวง และวางเอาไว้บนมือของชายหนุ่มสองคนที่เขาเป็คนพามา
ทั้งสองรับตะเกียงกรรมเอาไว้ กัดนิ้วชี้ของตนเองทันทีอย่างไม่ลังเล และหยดแก่นโลหิตลงไปเก้าหยด จากนั้นจึงนั่งขัดสมาธิลงที่เสาเซียนซิงเฉิน รวบรวมจิตใจเข้ากับเสาเซียนทันที
สายตาของทุกคนต่างจ้องตรงไปทางชายหนุ่มทั้งสองคน และพวกเขาก็ต้องประหลาดใจที่เจียงหยวนและยอดฝีมือคนอื่นของสำนักยุทธ์ว่านจ้งต่างเผยท่าทีที่ดูเป็พิเศษออกมา ราวกับว่า ตะเกียงกรรมนี้จะมีความหมายอะไรที่มากไปกว่านั้น
ฉินอวี่มองเหตุการณ์เหล่านี้ด้วยความประหลาดใจ และไม่รู้เลยว่าหวังชิงสร้างสิ่งเหล่านี้ขึ้นมาได้อย่างไร ดูเหมือนว่า เขาจะได้รับพรอันยิ่งใหญ่จาก์ ไม่เช่นนั้น วิธีการเช่นนี้ก็คงจะเป็เื่ยากมากแม้จะอยู่ในระดับสูงสุดของเขตแดนเต๋า และยิ่งไม่ต้องพูดถึงการสืบทอดที่มีมาถึงปัจจุบัน
ไม่นานหลังจากนั้น ขณะที่ทุกคนกำลังมองด้วยความประหลาดใจ พวกเขาก็มองเห็นลำแสงสองสายที่ปรากฏลงมาจากเสาเซียนซิงเฉิน สาดส่องไปยังตะเกียงสัมฤทธิ์ทั้งสองดวง
สิ่งที่ทำให้ศิษย์ใหม่ต่างต้องงุนงง นั่นคือเปลวไฟในตะเกียงโบราณของทั้งสองคนมีความแตกต่างกัน ร่างกระบี่โดยกำเนิดมีแสงสีฟ้าเข้มที่มองออกเป็สีม่วงอมเขียว ส่วนร่างยุทธ์หยางวิสุทธิ์นั้นมีสีน้ำเงิน
“ยินดีกับศิษย์พี่เจียงด้วย สายชีพจรฟ้าได้ผู้มีพร์พิเศษเพิ่มขึ้นอีกสองคนแล้ว” ยอดฝีมือของสายชีพจรเสวียนและสายชีพจรหวงต่างประสานมือแสดงความยินดีอย่างน่าอิจฉา
“พวกข้าสายชีพจรฟ้าไม่ขอยุ่งกับศิษย์คนอื่นแล้วล่ะ” เจียงหยวนเผยรอยยิ้มออกมา หลังจากพูดจบ เขาก็พาเด็กหนุ่มสองคนนั้นขึ้นไปในอากาศ
ต่อมาก็ถึงคราวของบรรดาชายหนุ่มหญิงสาวกว่าสามสิบคนที่จ้าวเหยียนยอดฝีมือแห่งสายชีพจรดินพามา พวกเขาทำเช่นเดียวกับชายหนุ่มสองคนก่อนหน้านี้ หยิบตะเกียงขึ้นมาหนึ่งดวง และหยดแก่นโลหิตลงไป ก่อนจะนั่งขัดสมาธิลงใต้เสาเซียนซิงเฉิน
ครึ่งชั่วยามต่อมา สีของไฟในตะเกียงที่ถูกจุดขึ้นมาของแต่ละคนก็แตกต่างกัน และหนึ่งในนั้น มีเพียงคนเดียวที่มีสีน้ำเงินเข้ม มีบ้างที่เป็สีน้ำเงินอมม่วง แต่ส่วนมากมักเป็สีเขียวคราม
จ้าวเหยียนขมวดคิ้วเล็กน้อย เป็สัญญาณบ่งบอกให้พวกเขาถือตะเกียงโบราณรอไว้ทางด้านข้าง จากนั้นจึงจ้องไปทางศิษย์ที่จะจุดตะเกียงเป็ลำดับต่อไป
หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วยาม ในที่สุดก็ถึงคราวของฉินอวี่
ฉินอวี่หยิบตะเกียงสัมฤทธิ์โบราณขึ้นมา และกัดนิ้วชี้ของตนเองจนมีเืไหล พลางหยดแก่นโลหิตลงไปเก้าหยด จากนั้นจึงนั่งขัดสมาธิลงใต้เสาเซียนซิงเฉิน รวบรวมจิตใจให้เป็หนึ่งเดียวกับเสาเซียนซิงเฉิน หลังจากนั้นไม่นาน ฉินอวี่ก็รู้สึกได้เพียงพลังลึกลับที่พัดผ่านร่างกาย แต่ก็หายไปอย่างรวดเร็วในพริบตา ฉินอวี่คิดว่าทุกสิ่งสำเร็จแล้ว จึงลืมตาขึ้น แต่ตะเกียงสัมฤทธิ์โบราณนั้นทำให้เขาต้องตกตะลึง
ตะเกียงทองสัมฤทธิ์โบราณไม่ได้ถูกจุดขึ้น...
สิ่งนี้ทำให้ฉินอวี่งุนงงเป็อย่างมาก เขามองศิษย์คนอื่นๆ ทุกคนต่างจุดตะเกียงกรรมขึ้นมาได้แล้วทั้งสิ้น เพียงแต่มีสีที่แตกต่างกันไปเท่านั้นเอง ในบรรดาเปลวไฟเ่าั้ มีเปลวไฟสีเหลืองอยู่มากที่สุด รองลงมาคือสีเขียวและสีคราม และมีไม่กี่ดวงที่เป็สีน้ำเงิน แต่อย่างน้อยก็ต้องจุดได้อะไรขึ้นมาบ้าง
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น?” ชายวัยกลางคนที่ทำหน้าที่คัดเลือกฉินอวี่ส่งเสียงดังขึ้นมา
ฉินอวี่รู้สึกเก้อเขินเล็กน้อย และพูดขึ้นมา “ข้าเองก็ไม่รู้ว่าเป็เพราะอะไร ข้าขอพยายามดูอีกครั้ง” พูดจบเขาก็รวบรวมจิตใจเข้ากับเสาเซียนซิงเฉิน ในครั้งนี้ เขารู้สึกได้ถึงพลังงานที่พลุ่งพล่านไปรอบตัว แต่ไม่นานก็สลายไปอีกครั้ง เพียงแต่ในครั้งนี้ ฉินอวี่ได้รออยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะลืมตาขึ้น
ยังไม่สามารถจุดได้...
ฉินอวี่มองไปทางชายวัยกลางคนที่มีใบหน้าบึ้งตึง และกล่าวขึ้นมา “ผู้าุโ... ข้า... ข้ารวบรวมจิตใจเข้ากับภายในแล้ว แต่ยังไม่อาจจุดตะเกียงโบราณนี้ขึ้นมาได้ เป็ไปได้หรือไม่ว่า... ตะเกียงดวงนี้จะมีปัญหา?”
ชายวัยกลางคนขมวดคิ้วและครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วกล่าวว่า “ลองเปลี่ยนตะเกียงดูก่อน”
ฉินอวี่หยิบตะเกียงอีกดวงหนึ่งขึ้นมา หยดแก่นโลหิตอีกเก้าหยดลงไป จากนั้นจึงทดลองต่อไป
จากนั้นไม่นาน ผลที่ได้กลับมาคือยังไม่อาจจุดให้ตะเกียงส่องสว่างขึ้นมาได้ ฉินอวี่ไม่เชื่อว่าในความโชคร้ายจึงทดลองครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ก็ยังจบลงด้วยความล้มเหลว
“ผู้าุโ... ข้าขอลองเปลี่ยนอีกสักดวงได้หรือไม่?” ฉินอวี่เกาศีรษะ พลางพูดอย่างเขินอายเล็กน้อย
“ไม่ต้องลองแล้วล่ะ” ก่อนที่ชายวัยกลางคนจะตอบ จ้าวเหยียนก็เหลือบมองฉินอวี่ และพูดอย่างเฉยเมย จากนั้นจึงเก็บตะเกียงโบราณทั้งหมดทันที แม้แต่ดวงที่อยู่ในมือของฉินอวี่ก็ถูกเก็บไปด้วยเช่นกัน ส่วนยอดฝีมือคนอื่นต่างเหลือบมองฉินอวี่อย่างประหลาดใจ แต่ก็ไม่มีใครพูดอะไร
ฉินอวี่ขมวดคิ้วเล็กน้อย ทำไมยอดฝีมือเ่าั้ต้องมองตนเองด้วยสายตาที่แปลกเช่นนี้? ราวกับว่ากำลังมองดูคนตาย สิ่งนี้ทำให้ฉินอวี่เริ่มหงุดหงิด
หลังจากนั้น ยอดฝีมือสองสามคนก็พาศิษย์ทั้งหมดแยกย้ายกันไป และในจำนวนนี้ มีคนที่ถูกสายชีพจรดินเลือกไว้เกือบสามร้อยคน ส่วนที่เหลือล้วนกระจายไปในสายชีพจรเสวียนและสายชีพจรหวง ซึ่งในจำนวนนี้ได้หมายรวมหลงเฟยด้วย
ขณะที่จ้าวเหยียนกำลังจะจากออกไป ฉินอวี่ก็รีบพูดขึ้นทันที “ผู้าุโ ไม่ทราบว่าในสายชีพจรดินพอจะมี...”
ก่อนที่ฉินอวี่จะพูดจบ จ้าวเหยียนก็รีบพาศิษย์เ่าั้ออกไปทันที และก่อนที่หลงเฟยจะออกไป เขาได้หันมาเยาะเย้ยฉินอวี่อยู่ครั้งหนึ่ง
ฉินอวี่มองตามหลังของทุกคนไป ใบหน้าของเขาแข็งทื่อเล็กน้อย แต่เขาก็รู้สึกมึนงง อ้อไม่สิ เห็นได้ชัดว่าเขากระตุ้นร่างอสุนีลึกลับขึ้นมา... แล้วพวกเขาจะมองไม่เห็นได้อย่างไร?
ยอดฝีมือที่เหลืออยู่ไม่ได้ให้ความสนใจฉินอวี่ แต่ละคนมัวแต่สนใจการรับศิษย์ของตนเอง ท้ายที่สุดสายชีพจรเสวียนก็พาศิษย์ของตนออกไป
“ภายหน้าพวกเ้าก็คือศิษย์ของสายชีพจรหวงแล้ว ข้าคือผู้รับผิดชอบสายชีพจรหวง นามว่าหลิงจ้ง พวกเ้าเรียกข้าว่าผู้ดูแลใหญ่ก็ได้ จำไว้ ว่าเปลวไฟสีเหลืองในตะเกียงคือศิษย์ธรรมดา สีเขียวเป็ศิษย์ชั้นนำ” ชายวัยกลางคนมองไปทางศิษย์หนุ่มสาวจำนวนกว่าสี่ร้อยคนพลางอธิบาย
ทุกคนประหลาดใจ พวกเขาไม่คิดว่าการแบ่งกลุ่มของศิษย์จะขึ้นอยู่กับเปลวไฟในตะเกียง ซึ่งทำให้คนเปลวไฟสีเหลืองไม่พอใจอย่างมาก แต่ไม่มีใครกล้าที่จะโต้แย้ง
“ผู้าุโ... ไม่ทราบว่าข้าอยู่ในสายชีพจรใด?” ฉินอวี่ถามอย่างสงสัย เขาคิดจะนำป้ายคำสั่งของอาจารย์หวงถิงออกมา แต่ด้วยท่าทีของจ้าวเหยียนในตอนนี้ยังทำให้ฉินอวี่รู้สึกหวั่นเกรงอยู่เล็กน้อย ดังนั้นเขาจึงทิ้งความคิดนี้ไปเสียก่อน
“เ้า... ก็อยู่กับสายชีพจรหวงเถอะ” หลิงจ้งขมวดคิ้ว และดูเหมือนจะรำคาญใจ
ใบหน้าของฉินอวี่แข็งทื่อ นี่ไปเขายั่วยุใครเข้าอีกหรือ?
ช่างเถอะ อย่างไรก็เคยมอบตัวเป็ศิษย์มาแล้ว ทุกอย่างเอาไว้อาจารย์กลับมาค่อยว่ากันอีกครั้งก็แล้วกัน
หลังจากนั้น ศิษย์ทั้งหมดต่างถือตะเกียงโบราณที่มีสีแตกต่างกันไปด้วย แต่ฉินอวี่กลับเดินตามหลังไปด้วยมือเปล่า เข้าสู่สำนักยุทธ์ว่านจ้ง
ในใจกลางของแดนแสนภูผา มีเทือกเขาสี่ลูกจากทั้งสี่ทิศทอดยาวมารวมตัวกันอยู่ตรงกลาง ที่แห่งนี้คือที่ตั้งของสำนักยุทธ์ว่านจ้ง และเทือกเขาทั้งสี่นี้ถือเป็ตัวแทนของชีพจรทั้งสี่ของสำนักยุทธ์ว่านจ้ง
ท่ามกลางหมูู่เา สายชีพจรฟ้าอยู่ทางทิศใต้ สายชีพจรดินอยู่ทางทิศเหนือ สายชีพจรเสวียนอยู่ทางตะวันตก ส่วนสายชีพจรหวงอยู่ทางตะวันออก
ภายใต้การนำของหลิงจ้ง ฉินอวี่และศิษย์ใหม่ต่างพากันมาถึงด้านตะวันออกของสายชีพจรหวง หลังจากฟังหลิงจ้งอธิบาย เขาก็สั่งให้ศิษย์เตรียมที่พำนักให้กับศิษย์ที่เพิ่งมาใหม่
เป็เพราะอาณาเขตที่กว้างใหญ่ ศิษย์ทุกคนจึงมีห้องพำนักส่วนตัว สำหรับเป็สถานที่ฝึกฝนยุทธ์ ฉินอวี่ได้รับการจัดสรรให้อยู่ในสถานที่ห่างไกลที่สุดของอาณาเขตสายชีพจรหวง
“ศิษย์พี่ เหตุใดที่พำนักของข้าจึงอยู่ห่างไกลจากศูนย์กลางที่สุดหรือ?” ฉินอวี่พูดอย่างไม่สบอารมณ์ นับแต่แต่ที่ตนเองจุดตะเกียง เขาก็เห็นได้ชัดว่าตนเองถูกปล่อยให้โดดเดี่ยวและถูกเพิกเฉยเป็อย่างยิ่ง ก็แค่จุดไฟไม่ติด?
“ไม่ต้องพูดมาก ให้ไปก็ไปเถอะ” ศิษย์ทั่วไปในขั้นสูงสุดของปราณเสถียรระดับต้นกล่าวออกมาอย่างเ็า
ใบหน้าของฉินอวี่เคร่งขรึมขึ้นมาทันที เขาจ้องมองศิษย์ทั่วไปคนนี้อย่างเ็า เป็เพราะั้แ่เขามาถึงสำนักยุทธ์ว่านจ้ง เขาก็ดูเหมือนจะคอยสร้างปัญหา
“ฮึ!” ศิษย์ทั่วไปคนนั้นส่งเสียงเย้ยหยัน อดกลั้นคำต่อว่าเอาไว้ในใจ จากนั้นก็หันหลังกลับออกไป แต่ไปได้ไม่กี่ก้าว เขากลับพึมพำขึ้นมา “คนที่กำลังใกล้ตายแม้จะให้สถานที่ดีที่สุดกับเ้า จะได้เสพสุขกับชีวิตหรือ?”
คนที่กำลังใกล้ตาย? นี่พูดถึงตัวเองหรือ?
“ช้าก่อน!” ฉินอวี่ะโขึ้นอย่างรุนแรง ร่างกายของเขาพุ่งออกไปทันที และขวางศิษย์คนนั้นเอาไว้ ก่อนจะพูดอย่างเ็า “เ้าบอกว่าใครกำลังใกล้ตาย?”
เมื่อรู้สึกถึงการจ้องมองที่ดุดันของฉินอวี่ ศิษย์คนนั้นก็เริ่มจะไม่พอใจ แต่ดูเหมือนเขาจะคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงระงับความโกรธในหัวใจของเขา และพูดอย่างเ็ากลับไป “ข้าหมายถึงเ้า เป็เพราะตะเกียงของเ้าจุดไม่ติด ภายในเวลาสามปีนี้เ้าจะต้องตายอย่างแน่นอน! หากเ้ายังคิดไม่ได้ว่าเ้าเป็คนใกล้ตาย วันนี้ข้าจะสั่งสอนให้เ้าได้รู้เสียก่อนว่าอะไรคือการเคารพในอาจารย์ เชื่อในคำสอน! ฮึ!” พูดจบ ศิษย์คนนั้นก็สะบัดแขนเสื้อและจากออกไป
