ศึกแรกเป็ของหลิวเจี้ยนผู้อยู่อันดับที่ 31 ในรายนามเฟิงอวิ๋นและหวังเจียนอัจฉริยะจากตระกูลหวังแห่งเมืองหลวง ตบะของทั้งสองอยู่จุดสูงสุดของขั้นรวมชี่ พลังจึงถือว่าสูสีกัน การต่อสู้จึงดำเนินไปอย่างดุเดือด เพียงพริบตาก็ปะทะกันไปสิบกว่ารอบ ทว่ายังคงตัดสินผู้แพ้ชนะมิได้
หลิวเจี้ยนกวัดแกว่งดาบใส่หวังเจียนอย่างบ้าคลั่ง แสงเยือกเย็นส่องกะพริบทั่วฟ้าดิน ดาบนี้พลังเต็มสิบส่วน หากฟันโดนหวังเจียน ก็เกรงว่าเขาต้องตัวขาดเป็สองท่อน
“ย่างก้าวดาวตกผีเสื้อ!” หวังเจียนแผดเสียงะโในนาทีวิกฤต เขาสำแดงเคล็ดวิชาย่างก้าวดาวผีเสื้อของตระกูลหวัง ก่อนจะหลบหนีจากดาบของหลิวเจี้ยนได้ในพริบตา ขณะเดียวกันหวังเจียนวาดฝ่ามือจู่โจมตัวหลิวเจี้ยน ทำให้หลิวเจี้ยนถูกซัดออกจากเวทีประลอง
“หวังเจียนชนะ!” เสียงหนึ่งพลันดังขึ้น หวังเจียนคว้าชัยชนะรอบนี้ไปครอง
“ท่าร่างที่หวังเจียนใช้ร้ายกาจมาก!” ผู้คนรู้สึกใ หลังจากที่หวังเจียนสำแดงเคล็ดวิชาท่าร่างที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษตระกูลหวัง เขาก็เอาชนะผู้ฝึกยุทธ์ในรายนามเฟิงอวิ๋นได้ เห็นชัดว่าท่าร่างนี้ทรงพลังมากเพียงใด
หวังเจียนอัจฉริยะอันดับหนึ่งแห่งตระกูลหวัง มีย่างก้าวดาวตกผีเสื้อเช่นเดียวกับเย่เฟิง ทั้งสองคนไม่ใช่คนระดับเดียวกัน ดังนั้นท่าร่างของเขาชำนาญมากกว่าเย่เฟิงและยังบรรลุระดับพื้นฐานขั้นแรก ทว่าย่างก้าวดาวตกผีเสื้อของเย่เฟิงกลับอยู่ขั้นสามระดับสูง
ไม่นานห้าศึกผ่านไป ในห้าศึกนี้รวมถึงอวิ๋นเจี๋ยและหานิอันดับที่ 32 ในรายนามเฟิงอวิ๋น ผลลัพธ์คืออวิ๋นเจี๋ยใช้พลังจุดสูงสุดของขั้นรวมชี่ที่ 6 เอาชนะหานิที่อยู่จุดสูงสุดของขั้นรวมชี่ ทำหลายคนใกับพลังของอวิ๋นเจี๋ยที่เอาชนะข้ามระดับได้
ศึกต่อไป ิเสวียน หลงเซ่าเจี๋ย มู่เยี่ยน โอวหยางเจิน ต้าเซิ่งจื่อแห่งนิกายศักดิ์สิทธิ์เทียนยวี่ จ้าวซิง และคนอื่น ๆ ขึ้นเวทีประลองตามลำดับ พวกเขาทยอยเอาชนะคู่ต่อสู้ของตนเองด้วยวิธีต่างกันไป แต่ที่สำคัญไปกว่านั้นคืออัจฉริยะระดับหัวกะทิแห่งอาณาจักรจ้าวที่ผู้คนรู้จัก กลับไม่ปะทะกันในการจับสลากรอบแรก เหมือนจงใจเก็บศึกที่น่าตื่นตาตื่นใจไว้ในรอบสุดท้าย
“ศึกนี้เย่เฟิงปะทะหลัวชา!” ขณะนั้นขุนนางใหญ่ผู้ดำเนินการประกาศรายชื่อผู้ที่จะประลองฝีมือรอบถัดไป เมื่อทุกคนได้ยินชื่อเย่เฟิงก็เกิดความสนใจขึ้นมา พวกเขาอยากเห็นว่าชายหนุ่มผู้ทำคะแนนดีที่สุดในการแข่งขันสองรอบก่อนหน้านี้จะแข็งแกร่งขนาดไหน? แต่คู่ต่อสู้ที่เย่เฟิงต้องเผชิญหน้าด้วยก็ไม่ได้อ่อนแอ
“หลัวชาศิษย์จากสำนักศึกษาเสีนเจียง เป็ผู้ฝึกยุทธ์อันดับที่ 2 ในรายนามเสินเจียง สถานะในสำนักถือเป็สองรองจากมู่เยี่ยน”
“อีกอย่างหลัวชายังเป็ผู้ฝึกยุทธ์อันดับที่ 12 ในรายนามเฟิงอวิ๋น อันดับเช่นนี้ไม่ถือว่าต่ำต้อย”
“ที่สำคัญไปกว่านั้นคือ หลัวชาทะลวงขั้นพลังเมื่อสามวันก่อนจนกลายเป็ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้แล้ว”
“ก่อนจะทะลวงขั้นพลังนับว่าแกร่งแล้ว บัดนี้ยิ่งทะลวงขั้นพลัง เขาต้องแกร่งขึ้นมากเป็แน่!”
ผู้ฝึกยุทธ์คนหนึ่งที่รู้จักหลัวชาพูดขึ้นมา พร้อมกับมองไปที่เย่เฟิงด้วยสายตาเวทนา ในความคิดเขา ต่อให้เย่เฟิงแข็งแกร่งเพียงใดก็ไม่มีทางเป็คู่ต่อสู้ของผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้ ยิ่งกว่านั้นหลัวชายังเป็ผู้โเี้และลงมือได้เฉียบขาด
เป็ไปตามคาด เมื่อเหล่าผู้ฝึกยุทธ์สำนักศึกษาเสินเจียงได้ยินขุนนางใหญ่ผู้ดำเนินการประกาศรายชื่อต่างก็เหยียดยิ้มอย่างเย็นะเื
“ผู้าุโฉิน หลัวชามีนิสัยรักความสันโดษและเอาแต่ใจตนเอง ต่อสู้ทีไรก็ไม่รู้จักยั้งมือ หากในระหว่างการต่อสู้เผลอไปทำร้ายอัจฉริยะอันดับหนึ่งของสำนักยุทธ์เทียนเสวียน ก็อย่าหาว่าไม่เตือนก็แล้วกัน!” อวิ๋นซื่อเทียนกล่าวพลางยิ้มเย็นเยือก ก่อนหน้านี้เขาดูถูกเหยียดหยามเย่เฟิง แต่กลับถูกตบหน้าทางอ้อมด้วยผลคะแนนของเย่เฟิง นี่ทำให้เขาไม่ชอบใจเป็อย่างมาก จึงฉวยโอกาสนี้ระบายโทสะและกู้หน้ากลับคืนมา
“หลัวชาอยู่ขั้นยุทธ์แท้ พลังก็เป็ที่รู้ ๆ กัน เ้าอวิ๋นซื่อเทียนพูดจาไร้สาระเช่นนี้ ดูท่าเื่เมื่อครู่จะทำเ้าขายหน้าไม่พอสินะ!” ฉินเจิ้นถิงกล่าวโดยไร้ซึ่งความเกรงกลัวใด ๆ ในความคิดเขา เย่เฟิงสามารถสร้างปาฏิหาริย์ในเจดีย์เชื่อมฟ้าได้ พลังต้องถึงระดับที่จะต่อต้านผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้ได้อย่างแน่นอน ยิ่งกว่านั้นเย่เฟิงเพิ่งทะลวงขั้นพลัง ดังนั้นอาจจะต่อสู้กับหลัวชาได้
“พล่ามไร้สาระ ข้าก็อยากดูนักว่าเ้าฉินเจิ้นถิงจะทำตัวอวดดีไปถึงไหน!” อวิ๋นซื่อเทียนแสยะยิ้ม จากนั้นหันไปกล่าวกับหลัวชาที่อยู่ด้านหลัง “หลัวชา เมื่อขึ้นเวทีประลอง เ้าจงทักทายเย่เฟิง ทำให้เขาเห็นถึงการต่อสู้ที่แท้จริงว่าช่องว่างระหว่างเขากับขั้นยุทธ์แท้แตกต่างกันยังไง!”
“ขอรับ ผู้าุโใหญ่!” หลัวชาพยักหน้าพร้อมดวงตาฉายแสงสีแดง จากนั้นเขาะโขึ้นไปบนเวทีประลอง
“หลัวชาเป็บุคคลอันตราย เย่เฟิงเ้าระวังตัวด้วย!” ฉินเยียนหรานเห็นเย่เฟิงต้องปะทะกับหลัวชาก็อดเป็กังวลไม่ได้
“ข้าจะเอาชนะเขาภายในสามกระบวนท่า!” เย่เฟิงกล่าวพลางยิ้มให้ฉินเยี่ยนหราน จากนั้นทะยานร่างไปยังเวทีประลอง เมื่อผู้คนได้ยินเช่นนี้ต่างก็หันมามองเย่เฟิงด้วยสายตาดูแคลน พร้อมพึมพำในใจว่า “เย่เฟิงผู้นี้อวดดีมาก ไม่รู้จักประมาณตน แต่จะเอาชนะหลัวชาภายในสามกระบวนท่างั้นหรือ ข้าก็อยากดูว่าเขาจะตายยังไง!”
หลัวชาย่อมได้ยินถ้อยคำของเย่เฟิง เมื่อเขาเห็นเย่เฟิงมาแล้วก็เหยียดยิ้มดูถูก “เ้าเนี่ยนะจะเอาชนะข้าภายในสามกระบวนท่า?”
“อะไรกัน เ้าคิดว่าข้าทำไม่ได้งั้นหรือ?” เย่เฟิงยิ้มจาง ๆ พร้อมชายเสื้อกระพือตามแรงลม ดูสง่าผ่าเผยและน่าเกรงขาม
“คุยโวโอ้อวด!” พลังปราณพวยพุ่งออกจากร่างหลัวชาอย่างฉับพลัน ก่อนจะกล่าวต่อว่า “ในเมื่อเ้าปากดีเช่นนี้ งั้นข้าจะทำให้เ้ารู้ซึ้งว่าความปากดีของเ้ามันต้องชดใช้ด้วยอะไร!”
ยังไม่ทันสิ้นเสียงดี จู่ ๆ หลัวชาก็เคลื่อนไหว ก่อนร่างจะกลายเป็เสี้ยวเงาสีแดงเืและไปปรากฏตัวที่เบื้องหน้าเย่เฟิงภายในพริบตา พร้อมกับวาดฝ่ามือที่อัดแน่นด้วยกลิ่นอายแห่งความตายซัดที่หน้าอกของเย่เฟิง หมายปลิดชีวิตในหนึ่งกระบวนท่า
“ไปให้พ้น!” แสงเยือกเย็นปะทุออกจากดวงตาของเย่เฟิง จากนั้นเหวี่ยงหมัดที่หนักถึง 120,000 จินเข้าปะทะกับฝ่ามือของหลัวชา
“ตูม!” เสียงะเิดังสนั่นหวั่นไหว คลื่นทำลายล้างแพร่กระจายไปทั่วพื้นที่ เย่เฟิงสงบนิ่ง แต่หลัวชากลับถูกคลื่นกระแทกซัดกระเด็นถอยหลัง พร้อมกับกระอักเืและเกือบล้มลงกับพื้น
“เย่เฟิงผู้นี้แกร่งมาก การทะลวงขั้นพลังเมื่อครู่ทำให้ตบะของเขาเพิ่มพูนขึ้น มิหนำซ้ำยังน่ากลัวยิ่งขึ้นกว่าเดิม!”
ผู้คนเห็นฉากนี้ต่างก็รูม่านตาหดแคบลง เย่เฟิงเพิ่งบรรลุขั้นรวมชี่ที่ 8 ก็ซัดหลัวชาที่อยู่ขั้นยุทธ์แท้จนกระอักเืในหนึ่งกระบวนท่า นี่ช่างน่าใยิ่งนัก แม้แต่เหล่าผู้ฝึกยุทธ์สำนักศึกษาเสินเจียงและอวิ๋นซื่อเทียนยังเผยสีหน้าคล้ำเขียว
“นี่น่ะหรือที่เ้าบอกจะทำให้ข้าเห็นถึงพลังที่แท้จริง?” เย่เฟิงเย้ยหยันขณะมองหลัวชาที่กำลังหน้าซีดขาว ขณะพูดเขาก็ไปเยือนเบื้องหน้าอีกฝ่าย พร้อมกับเหวี่ยงหมัดซัดอีกครั้งด้วยพลังที่รุนแรงกว่าเมื่อครู่นี้หลายเท่า นี่ทำให้หลัวชาหน้าซีดราวกับกระดาษ เขาไม่คาดคิดว่าเย่เฟิงจะมีพลังน่าหวาดกลัวขนาดนี้ ก่อนจะยกมือขึ้นต้านโดยใช้แขนรับหมัดของเย่เฟิง
“กร๊อบ!” หมัดกระแทกเข้าที่แขนของหลัวชาเต็ม ๆ ด้วยพลังที่หนักถึง 120,000 จิน ทำให้กระดูกบริเวณแขนของหลัวชาแตกหักภายในพริบตา เขาจึงกรีดร้องด้วยความเ็ปก่อนร่างจะกระเด็นออกไปกระแทกกับพื้นเวที อวัยวะภายในเสียหาย ทั้งยังอาเจียนออกมาเป็ลิ่มเื
“วูบ!” ขณะเดียวกันเย่เฟิงก้าวออกมา ก่อนจะปรากฏตัวที่เบื้องหน้าหลัวชาในเสี้ยวพริบตา
“ข้ายอมแพ้!” หลัวชาหน้าซีดราวกับกระดาษ เมื่อเผชิญหน้ากับเย่เฟิงเช่นนี้ หากไม่ยอมแพ้ ชีวิตของเขาคงหาไม่อย่างแน่นอน
“เป็ไปได้ยังไง หลัวชาผู้อยู่อันดับที่ 12 ในรายนามเฟิงอวิ๋นกลับเปราะบาง เมื่อต่อหน้าเย่เฟิง แค่ถูกสองกระบวนท่าโจมตีก็เจ็บสาหัสแล้ว!” ผู้คนต่างพากันตื่นใ ความดูถูกที่เคยมีต่อเย่เฟิงล้วนมลายหายไป พวกเขารู้ว่าชายหนุ่มตรงหน้าไม่เพียงแต่มากพร์ แต่พลังต่อสู้ยังร้ายกาจมากอีกด้วย ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้ที่ 1 ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา หากเป็เช่นนี้ เย่เฟิงน่าจะครองหนึ่งในสิบอันดับแรกของงานชุมนุมหวงปั่งได้เป็แน่
ด้านสำนักศึกษาเสินเจียง เหล่าผู้ฝึกยุทธ์ต่างเผยสีหน้าบูดเบี้ยว อวิ๋นซื่อเทียนบดขยี้แก้วชาในมือแตกละเอียด “บัดซบ ไม่นึกว่าจะแพ้เ้าเด็กที่เพิ่งบรรลุขั้นรวมชี่ที่ 8 ทำสำนักข้าขายหน้าจริง ๆ!”
“อวิ๋นซื่อเทียน คนไร้ประโยชน์เช่นนี้มันน่าภาคภูมิใจมากเลยหรือ หรือสำนักศึกษาเสินเจียงเ้าไม่มีใครแล้ว?” ฉินเจิ้นถิงเห็นเย่เฟิงเอาชนะหลัวชาได้ก็ตื่นเต้นดีใจ จากนั้นหันไปมองอวิ๋นซื่อเทียน ก่อนจะกล่าวเช่นนั้น
“อย่าเพิ่งได้ใจไป คอยดูไปเถอะ!” อวิ๋นซื่อเทียนกล่าวเสียงเย็นด้วยสีหน้าดูไม่ได้ เขานั้นคิดว่าหลัวชาจะเอาชนะเย่เฟิงได้ จึงกล้าคุยโวโอ้อวดกับฉินเจิ้นถิงอย่างโจ่งแจ้ง แต่เย่เฟิงกลับเอาชนะหลัวชาได้ในสองกระบวนท่า นี่ถือว่าเป็การตบหน้าเขาครั้งที่สอง
“เด็กคนนี้ไม่เพียงแต่มีพร์ล้ำเลิศ แต่ยังมีความสามารถที่ยอดเยี่ยมอีกด้วย!” ผู้าุโเฉียนพูดกับตัวเองขณะมองเย่เฟิง แต่ถ้อยคำเหล่านี้องค์ชายใหญ่จ้าวหยางและจ่านเฉินกลับฟังไม่รื่นหู ทำให้ทั้งสองเผยสีหน้าดูไม่ได้
เย่เฟิงคือศิษย์สำนักยุทธ์เทียนเสวียน องค์ชายใหญ่จ้าวหยางมิอาจเป็มิตรกับเย่เฟิงได้ เพราะสำนักศึกษาเสินเจียงที่จ้าวหยางควบคุมจ้องจะกลืนกินสำนักยุทธ์เทียนเสวียนมาตลอด แต่ที่สำคัญกว่าคือจ้าวหยางอิจฉาริษยาเย่เฟิง อิจฉาที่เย่เฟิงมีพร์สูงส่งกว่าเขา ส่วนจ่านเฉินเกลียดเย่เฟิงเข้าไส้ เพราะเย่เฟิงไม่ให้เกียรติเขาเลยสักนิด
ไม่นานนักหลายศึกก็ผ่านพ้นไป แต่นี่จ้านเทียนโชคร้าย คู่ต่อสู้ของเขาคือผู้ฝึกยุทธ์ 20 อันดับแรกในรายนามเฟิงอวิ๋น แม้นี่จ้านเทียนจะแข็งแกร่ง แต่สุดท้ายก็พ่ายแพ้และถูกคัดออก
ศึกจับสลากรอบแรกสิ้นสุดลงซึ่งถูกคัดออกไป 20 คนและเหลือ 20 คน สิบศึกต่อไปจะตัดสินสิบอันดับแรก การต่อสู้ดุเดือดขึ้นเรื่อย ๆ บรรยากาศฮึกเหิมแผ่ปกคลุมทั่วพื้นที่
ขณะนั้นที่หน้าต่างบนชั้นที่ 9 ของเจดีย์เชื่อมฟ้า ชายชราและหญิงสาวกำลังชมการประลองฝ่านหน้าต่าง สองคนนี้คือหลิงเอ๋อร์และปู่ของนาง ั้แ่เย่เฟิงผ่านด่านเจดีย์เชื่อมฟ้า พวกเขาปู่หลานก็สังเกตการณ์อยู่ที่นี่
สาเหตุที่พวกเขาเป็เช่นนี้ นั่นเพราะการปรากฏตัวของเย่เฟิง พวกเขาอยากรู้ว่าการแสดงของเย่เฟิงผู้นี้ในงานรชุมนุมหวงปั่งจะเป็เช่นไรบ้าง ส่วนคนอื่น ๆ ปู่หลานคร้านจะสนใจ
“ท่านปู่ ท่านว่าใครจะได้ก็อันดับที่ 1 ในงานนี้ไปครอง?”
หลิงเอ๋อร์เอ่ยถามชายชราพร้อมกะพริบตาถี่ แต่ตอนมองเย่เฟิง แววตาของนางแฝงความขุ่นเคืองเล็กน้อย
