เราชื่อ “ชนิกาญจน์” เป็นักศึกษาทุนปริญญาเอกอยู่ที่ มหาวิทยาลัยการศึกษานานาชาติโตเกียว (Tokyo University of Foreign Studies) โดยผ่านการสอบคัดเลือกทุนจากรัฐบาลญี่ปุ่น โดยการเสนอชื่อจากสถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่น ประจำประเทศไทย ซึ่งกว่าจะเปิดภาคการศึกษาก็เดือนเมษายน แต่เราต้องมาอยู่ที่ญี่ปุ่นั้แ่เดือนมกราคม เพราะต้องเรียนปรับพื้นฐานภาษาญี่ปุ่นอีกหกเดือน จริง ๆ แล้วเราเรียนภาษาญี่ปุ่นมาจากไทยแล้ว แต่ก็ยังต้องเลือกเรียนเพิ่มอีก เพราะเซนเซ (อาจารย์) ที่ปรึกษาเรา อยากให้เราเข้าใจภาษาได้ลึกซึ้งกว่านี้ และมันจะช่วยงานวิจัยของเราได้ดีขึ้น
ถึงแม้เราจะได้ทุนเรียน แต่เราก็ยังต้องทำงานพาร์ทไทม์เพื่อหารายได้เสริม เพื่อให้แน่ใจว่าจะมีเงินมากพอที่จะครอบคลุมค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในแต่ละเดือน และมีเงินสำรองไว้ใช้ในกรณีฉุกเฉิน ซึ่งตอนนี้เราได้งานพาร์ทไทม์ที่ร้านอาหารญี่ปุ่นแห่งหนึ่งในย่านคิจิโจจิ เราได้ทำงานนี้เพราะได้รับการแนะนำจากรุ่นพี่คนไทยคนหนึ่งที่เคยทำงานที่นี่ ร้านนี้เปิดทุกวันั้แ่ 11.00-23.00 น. แต่เราทำงานเฉพาะวันเสาร์กับอาทิตย์ วันเสาร์เราทำงานั้แ่ 17.00-23.00 น. ส่วนวันอาทิตย์ทำั้แ่ 11.00-17.00 น. รวมแล้วทำงาน 12 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ไม่เกินที่กฎหมายกำหนดไว้ที่ 28 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ สำหรับนักศึกษาต่างชาติที่้าทำงานพาร์ทไทม์ ส่วนค่าแรงของเราก็ได้ชั่วโมงละ 1,000 เยน อาจจะไม่เยอะแต่ก็ถือว่าไม่เลว หักค่ารถไฟไปกลับ 720 เยน ก็ยังเหลือกำไรอีกเยอะ
แต่วันอาทิตย์นี้เพื่อนร่วมงานอีกคนลาหยุด เ้าของร้านจึงขอให้เราอยู่ทำงานสองกะ สรุปว่าวันนี้ต้องเข้างานั้แ่ 11 โมงจนถึงห้าทุ่ม ซึ่งเราก็ไม่มีปัญหา ได้ทำงานสองกะก็ได้เงินเพิ่มเหมือนกัน แค่เหนื่อยตอนขากลับนี่แหละ เพราะถ้าเลิกงานดึก เราต้องรีบเดินหรือบางทีอาจต้องวิ่งไปสถานีรถไฟ เพื่อให้ทันรถไฟก่อนจะหมดเที่ยวสุดท้าย ไม่งั้นแย่แน่ ๆ
แต่เมื่อกี้ตอนวิ่งเข้ามาในสถานีรถไฟ ผ่านผู้ชายคนนั้นอีกแล้ว จะบอกว่าคุ้นหน้าคุ้นตากันก็ได้ เพราะเจอกันทุกอาทิตย์ ทุกครั้งที่เจอกันก็ได้แต่ยิ้มให้ และก้มหัวทักทายนิดหน่อย แต่วันนี้เราวิ่งผ่านเค้าไปเฉย ๆ เพราะรีบไปขึ้นรถไฟ ดูครั้งนี้เค้าจะใหน่อย ๆ ที่เจอเรา เหมือนไม่คิดว่าวันนี้จะได้เจอกัน ก็แน่ล่ะปกติเราจะเจอกันแค่ตอนเย็น ๆ แต่นี่มันดึกแล้วนี่นา ป่านนี้แล้วทำไมเค้ายังอยู่ที่สถานีล่ะ อย่าบอกนะว่า...เค้ารอเจอเรา! นึกแล้วก็ขำตัวเองที่คิดอะไรเลอะเทอะแบบนี้
ระหว่างนั่งรถไฟ ก็นึกถึงครั้งแรกที่เจอกับผู้ชายคนนั้น ตอนนั้นประมาณกลางเดือนที่แล้วเป็วันอาทิตย์ ไม่แน่ใจว่าเค้าอายุเท่าไหร่ แต่ยังดูหนุ่มอยู่ รูปร่างสูงโปร่ง ดูทะมัดทะแมง ใบหน้าเรียวสวย ดวงตาคมกริบ จมูกโด่งเป็สัน ริมฝีปากบาง ผมสั้นสีดำ ไม่แน่ใจว่าเป็คนญี่ปุ่นหรือเปล่า แต่ที่แน่ ๆ เป็คนเอเชีย คิดว่าอาจจะเป็คนไทยก็ได้ รวม ๆ แล้วเป็ผู้ชายที่หล่อมาก ๆ บุคลิกก็ดีสุด ๆ การแต่งตัวก็ดูดีเลย ใส่ชุดสูทสีดำสวมทับด้วยเสื้อโค้ตสีดำเหมือนกัน ดูเหมือนนักธุรกิจมาก ๆ
ตอนนั้นเค้ายืนจ้องมองเรานานมาก ระหว่างที่เรากำลังเดินจากบันไดเลื่อนไปที่ตู้ซื้อตั๋วรถไฟ เราเลยหันมองกลับไปเพราะคิดว่าอาจเป็คนรู้จักหรือเปล่า หรือเค้ามองอะไร แล้วเค้าก็ยิ้มให้เรา และก้มหัวทักทายเล็กน้อยแบบคนญี่ปุ่น เราเลยยิ้มให้พร้อมก้มหัวทักทายกลับ แล้วก็เดินไปกดซื้อตั๋ว โดยไม่ได้คุยอะไรกัน หลังจากนั้นเราก็เจอเค้าทุกอาทิตย์เวลาเดิม ทุกครั้งที่เจอกันก็ได้แต่ยิ้มให้ และก้มหัวทักทายกันแค่นั้น แต่วันนี้เพราะรีบเลยได้แต่วิ่งผ่านเค้าไป โดยแทบไม่มองหน้าเค้าด้วยซ้ำ แต่จะว่าไปแววตาเค้าก็เป็มิตรดีนะ แถมมีรอยยิ้มที่ดูอบอุ่นจัง แล้วก็รู้สึกขำตัวเองอีกรอบ ที่ดันคิดอะไรแบบนี้อีกละ
เรามาถึงสถานีทามะประมาณเกือบเที่ยงคืนครึ่ง สถานีนี้ตั้งอยู่ในเมืองฟุชู เป็สถานีขนาดเล็ก มีชานชาลาสองฝั่ง รางรถไฟสองราง ไม่มีอะไรซับซ้อน มีรถไฟเฉพาะสายเซบุ ไลน์เท่านั้น เราต้องเดินต่อจากสถานีกลับไปที่หอพักในมหาวิทยาลัยใช้เวลาประมาณสิบกว่านาที กว่าจะถึงห้องพักก็ปาเข้าไปเกือบตีหนึ่ง
หอพักของมหาวิทยาลัยมีสามอาคาร อาคารที่หนึ่งมีเจ็ดชั้น เราอยู่ชั้นที่สาม เป็ห้องเดี่ยวมีพื้นที่ 15 ตารางเมตร ขนาดเล็กแต่ก็เน้นการใช้สอยพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เปิดประตูเข้ามาทางขวามือจะเป็ห้องน้ำขนาดเล็กแต่มีทั้งโถสุขภัณฑ์ อ่างล้างหน้า และอ่างอาบน้ำพร้อมฝักบัว ด้านซ้ายมือของประตูห้องจะเป็ตู้เสื้อผ้ามีชั้นวางรองเท้าอยู่ข้างล่าง ถัดไปเป็พื้นที่ครัวขนาดเล็ก เป็เคาน์เตอร์มีซิงค์ล้างจาน เตาไฟฟ้าแบบหัวเดียว มีเครื่องดูดควัน มีตู้เก็บของแบบเปิดโล่งติดกับผนัง ถัดจากครัวเป็ตู้เย็น้าเป็ชั้นเก็บของติดผนัง ถัดไปเป็ชั้นหนังสือกับโต๊ะทำงานทำจากไม้สีน้ำตาล ตรงข้ามกับโต๊ะทำงานเป็เตียงนอนขนาดสามฟุตครึ่ง สุดห้องเป็ประตูบานเลื่อนออกไประเบียง พื้นห้องเป็ลามิเนตไม้สีอ่อน ผนังสีขาวทำให้ห้องดูสว่าง และไม่ทึบ
หลังจากอาบน้ำเสร็จ เราก็นอนขดอยู่ในผ้าห่มบนเตียง วันนี้เหนื่อยมากแต่ยังนอนไม่หลับ ยังคงคิดถึงผู้ชายคนนั้น วันนี้เราวิ่งผ่านเค้าเฉย ๆ ไม่ยิ้มไม่ทักทาย ทำเหมือนไม่เคยเจอกันมาก่อน คิดไปคิดมาอยู่ดี ๆ ก็รู้สึกผิดขึ้นมา แล้วทำไมเราต้องรู้สึกผิดด้วยล่ะ ก็ไม่ได้รู้จักกันสักหน่อย แต่ก็อดรู้สึกอย่างนั้นไม่ได้จริง ๆ เอาเป็ว่าถ้าครั้งหน้าได้เจอกันอีก จะทักทายพูดคุยกับเค้าสักหน่อยละกัน อย่างน้อยเผื่อเค้าเป็คนไทย จะได้รู้จักกันไว้
เราตื่นตอนเจ็ดโมงเช้า อยากนอนต่อ แต่วันนี้มีเรียนภาษาญี่ปุ่นตอนสิบโมง เกรงว่าจะนอนเพลินแล้วลืมตื่น เลยลุกมาต้มน้ำเพื่อชงกาแฟ หยิบมือถือมาดู เห็นข้อความไลน์จากยัยจอยส่งมาเมื่อเช้า ยัยจอยเป็เพื่อนคนไทย ที่มาต่อปริญญาเอกเหมือนกัน เจอกันั้แ่วันแรกที่มาถึงญี่ปุ่น ห้องของนางอยู่ชั้นสี่อาคารเดียวกัน ยัยจอยอายุเท่าเราเป็ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ใบหน้ากลมน่ารัก ดวงตาเป็ประกาย จมูกไม่โด่งมากแต่ได้สัดส่วนกับใบหน้า ปากเป็กระจับ ผมสั้นย้อมสีน้ำตาลอ่อน ๆ นางเป็คนสดใสร่าเริง พูดเก่ง ใส่ใจในรายละเอียด เห็นว่านางมาจากครอบครัวนักธุรกิจ ที่บ้านรวยใช่เล่นเลย และตอนนี้ถือได้ว่านางเป็เพื่อน ที่สนิทที่สุดั้แ่เรามาอยู่ที่นี่
“เมื่อคืนกลับถึงห้องกี่โมง” ข้อความที่นางส่งมา
เราตอบกลับไปสองข้อความ
“เกือบๆตี 1 จ้า”
“ดีนะทันก่อนรถไฟจะหมด”
หลังจากอาบน้ำล้างหน้าแปรงฟัน และกินกาแฟเสร็จ ยัยจอยก็ส่งข้อความไลน์มาอีก
“เครๆ แล้วจะออกไปเลยมั้ย”
“ออกเลยก็ได้” เราส่งตอบกลับไป
“เครๆ เจอกันหน้าหอนะ” นางตอบกลับพร้อมสติกเกอร์ทำท่าเร่งรีบ
“เครจ้า”
พอลงมาหน้าหอ ก็เห็นยัยจอยกำลังยืนรออยู่ พร้อมกับโบกมือทักทายเรา ระหว่างที่เดินไปด้วยกัน นางก็ถามด้วยความเป็ห่วง
“เป็ไงบ้างยัยกาญจน์ กลับดึกสองวันติด เหนื่อยแย่เลยสิ”
“ก็นิดหน่อย แต่ก็ไหวนะ ติดแค่ว่ามันหนาวแค่นั้นแหละ ฮ่า ๆ” เราตอบพร้อมกับขำเบา ๆ
“แล้วอาทิตย์นี้ต้องทำสองกะอีกรึเปล่า”
“ก็น่าจะนะ เดี๋ยวรอเ้าของร้านคอนเฟิร์มอีกที”
“อืม...ก็ขอให้ไม่ได้ทำนะ จะได้ไม่เหนื่อยเกินไป”
“ถ้าได้ทำก็ดีนะ จะได้ค่าแรงเพิ่มไง อิ ๆ” เราพูดขำ ๆ
“จ้า แม่คนงก กะตั้งตัวได้เลยสิ” นางก็ประชดขำ ๆ
“เดี๋ยวพวกเราไปกินข้าวเช้ากันก่อนดีกว่า ตอนนี้ชั้นหิวมากเลย ไม่ได้กินข้าวั้แ่เมื่อคืน” เราออกความเห็นพร้อมกับบ่น
“จริงอะ ไป ๆ รีบไปกินข้าวกัน” นางเห็นใจเพื่อนพร้อมกับพาเราเร่งฝีเท้า
พวกเราเดินไปตามทางเดิน ผ่านหอพักนักศึกษาที่อยู่ทางขวา ทางซ้ายเป็สนามกีฬา เดินไปเรื่อย ๆ จนผ่านหน้าอาคารศูนย์การเรียนรู้ จากนั้นทางเดินจะพาเราตรงไปยังทางเดินลักษณะวงกลมวนรอบอุทยานของมหาวิทยาลัย เราหักเลี้ยวขวาเดินทวนเข็มนาฬิกาไปอีก 40 เมตร ก็ถึงโรงอาหารของมหาวิทยาลัย
โรงอาหารนี้เป็อาคารสองชั้น มีลักษณะผสมผสานระหว่างสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ กับของญี่ปุ่นแบบดั้งเดิม ภายในกว้างขวางมีการตกแต่งที่เน้นความเรียบง่าย สะอาด และสว่างเพื่อสร้างบรรยากาศที่ผ่อนคลาย มีโรงอาหาร ร้านกาแฟ สหกรณ์มหาวิทยาลัย และตู้เอทีเอ็มอยู่ที่ชั้นหนึ่ง ส่วนชั้นสองก็มีร้านอาหาร และมีห้องอาหารพิเศษด้วย
พวกเราเลือกเข้าที่ชั้นหนึ่ง ภายในโรงอาหารมีพื้นที่นั่งทานอาหารอย่างเพียงพอ มีเคาน์เตอร์สำหรับสั่งอาหาร และชำระเงิน มีพื้นที่สำหรับคืนถาดอาหาร ที่นี่มีอาหารหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็ข้าวแกงกะหรี่ ราเมน อุด้ง และอาหารนานาชาติ มีภาพตัวอย่างอาหาร และราคาชัดเจนทำให้ง่ายในการเลือก มีการจัดการที่เป็ระบบ ด้วยการแบ่งแถวตามประเภทอาหาร ทำให้การเข้าแถวเป็ระเบียบ และรวดเร็ว
เราสั่งปลาซาบะย่างราคา 198 เยน ข้าว 99 เยน และซุปมิโซะ 33 เยน รวมเป็ 330 เยน ส่วนยัยจอยสั่งข้าวหน้าหมูราคา 418 เยน และซุปมิโซะ 33 เยน รวมเป็ 451 เยน อาหารในโรงอาหารมีราคาไม่แพง เหมาะสำหรับนักศึกษาที่มีงบประมาณจำกัด พวกเรายกอาหารไปนั่งที่โต๊ะ ยัยจอยก็เริ่มคำถาม
“เมื่อวานคงไม่ได้เจอกับผู้ชายคนนั้นใช่มั้ย”
“เจอสิ” เราตอบก่อนที่จะเอาอาหารคำแรกเข้าปาก
“จริงอะ”
“ใช่ แต่ชั้นรีบก็เลยวิ่งผ่านเค้าไปเลย”
“เดี๋ยวนะ ปกติแกกับเค้าจะเจอกันตอน่เย็นไม่ใช่เหรอ แต่เมื่อวานแกกลับผิดเวลาตั้งหลายชั่วโมงเลยนะ ยังได้เจอเค้าอีก อย่าบอกนะว่าเค้าดักรอเธออะ” นางแสดงความคิดเห็นด้วยอาการใเล็กน้อย
“ตอนแรกชั้นก็คิดแบบนั้นนะ แอบใด้วยตอนที่เห็นเค้ายืนอยู่ ดีว่าชั้นกำลังรีบเลยวิ่งผ่านไปเลย ไม่งั้นคงทำตัวไม่ถูก”
“ชั้นว่าน่ากลัวนะเนี่ย เป็ใครก็ไม่รู้ แต่มาคอยดักรออยู่แบบนี้ ถึงจะหน้าตาดีก็เถอะ” นางแสดงคามเป็ห่วงเพื่อน “แล้วถ้าเกิดวันอาทิตย์นี้แกได้ทำสองกะอีกล่ะ”
“อืม...ก็คงไม่มีอะไรหรอกมั้ง พวกเราคงคิดมากไปเองแหละ ดู ๆ ไปเค้าก็ดูเป็มิตรดีนะ ไม่น่าจะมีพิษภัยอะไร”
“นี่แกอย่าชะล่าใจไปนะ สมัยนี้รูปลักษณ์ภายนอกมันตัดสินอะไรไม่ได้หรอกนะ” นางเตือนเรา “อย่าบอกนะว่าแกเห็นเค้าหล่อหน่อย แล้วใจมันสั่นไหวน่ะ”
“จะบ้าเหรอ! ชั้นไม่ได้บ้าผู้ชายขนาดนั้นนะ” เราสวนนางไป แต่ในใจก็คิดว่า นั่นสิทำไมเราถึงแทบจะไม่มีความรู้สึกด้านลบกับผู้ชายคนนั้นเลย
“จ้า ๆ ยังไงก็ต้องระวังตัวด้วยนะ รู้มั้ย” นางเตือนสติเราอีกรอบ
“จ้า ๆ รับทราบค่ะ คุณแม่ขา”
“เอางี้ดีมั้ย ถ้าวันอาทิตย์นี้แกได้ทำสองกะ เดี๋ยวชั้นไปรอรับที่สถานีนู้นดีมั้ย หรือวันเสาร์ด้วยก็ได้นะ เพราะเป็วันที่แกก็กลับดึกเหมือนกัน” นางออกไอเดีย
“ไม่เป็ไรหรอก อย่าลำบากเลย เดี๋ยวชั้นจะคอยระวังตัวนะ ขอบคุณมากที่เป็ห่วง”
“โอเค แต่ถ้าเปลี่ยนใจก็บอกนะ ชั้นเป็ห่วง”
“จ้า ๆ รีบกินข้าวเถอะ จะได้ไปเรียนกัน”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้