เหล่าคนไข้ที่ต่อแถวยาวอยู่ด้านหลังต่างเผยสีหน้าผิดหวังออกมา กระทั่งซางจือแจกแผ่นป้ายให้พวกเขาชิ้นหนึ่ง บอกให้พวกเขานำแผ่นป้ายมาในวันพรุ่งนี้ก็พอ นางจะจัดเวลาเข้ารับการตรวจให้พวกเขาตามแผ่นป้าย ในวันหน้า ทุกคนเพียงมาตามเวลาที่กำหนดไว้ก็พอ ไม่จำเป็ต้องมาเข้าแถวที่นี่ล่วงหน้า
บรรดาผู้ป่วยไม่เคยได้ยินเื่ระเบียบเช่นนี้มาก่อน แต่เมื่อตั้งใจฟังอย่างละเอียดก็รู้ว่า นี่เป็เื่ที่สะดวกต่อพวกเขาอย่างมาก ดูตามกิจการของโรงหมอแห่งนี้ ภายภาคหน้าผู้ป่วยมีแต่จะเพิ่มมากขึ้น ไม่มีทางลดลง หากทุกคนล้วนมาเข้าแถวอยู่ที่นี่ นอกจากจะมาเฝ้าอยู่ที่สถานที่แห่งนี้ั้แ่ฟ้ายังไม่สางแล้ว ไม่เช่นนั้น ต่อแถวไปอีกสองสามวันก็ยังไม่ถึงรอบของพวกเขา
เมื่อมีป้ายไม้ชิ้นนี้ พวกเขาเพียงมารับการตรวจรักษาตามเวลาที่แม่นางน้อยผู้นั้นจัดการไว้ ่เวลาอื่นก็สามารถอยู่ที่บ้าน ทำเื่เล็ก ๆ น้อย ๆ อื่นได้
หลิงมู่เอ๋อร์ตามมัวมัวชราออกจากโรงหมอ เพิ่งออกมาได้ไม่กี่ก้าว ก็เห็นคนผู้หนึ่งควบม้าทะยานมาแต่ไกล
เงาร่างที่คุ้นเคยนั้นเข้าสู่ดวงตาของนาง นางมองเงาร่างนั้น จากไกลกลายเป็ใกล้ จากนั้น จากใกล้กลายเป็ไกล จนกระทั่งจางหายไปในตอนท้าย นางจึงได้สติกลับมา
“นั่นคือผู้บัญชาการหน่วยราชองครักษ์หลวงเ้าค่ะ” มัวมัวชรากล่าวกับหลิงมู่เอ๋อร์ “ราชองครักษ์หลวงไม่อาจล่วงเกินได้ ผู้บัญชาการหน่วยราชองครักษ์หลวงคนนี้ยิ่งไม่อาจล่วงเกิน ไม่รู้ว่าเขามีที่มาที่ไปอย่างไร ั้แ่สองปีก่อนหลังมาถึงเมืองหลวง ก็ได้รับการแต่งตั้งจากฝ่าาให้เป็ผู้บัญชาการหน่วยราชองครักษ์หลวงโดยตรง ฝ่าารงวางพระทัยในตัวเขาเป็พิเศษ เขาฟังเพียงพระบัญชาของฝ่าาเท่านั้นเ้าค่ะ”
“ขอบคุณมัวมัวมาก” หลิงมู่เอ๋อร์พูดอย่างมีมารยาท “หากมิใช่มัวมัวแนะนำ ไม่แน่ว่าบางทีข้าอาจไปล่วงเกินผู้ที่ไม่ควรล่วงเกินเข้าได้”
มัวมัวไม่ได้ถูกคำยกยอไม่กี่คำของหลิงมู่เอ๋อร์ยอจนตัวลอย นางเพียงเห็นว่าซูเหล่าฟูเหรินให้ความสำคัญกับนาง จวิ้นอ๋องน้อยในจวนก็ให้ความสำคัญกับนาง ดังนั้น จึงคิดทำดีกับนาง นางรู้ว่า คำพูดนี้ต่อให้นางไม่พูด ขอเพียงนางอยู่ในเมืองหลวงต่ออีกไม่กี่วัน ก็ต้องมีผู้ให้คำแนะนำแก่นางอย่างแน่นอน การช่วยเหลือเล็กน้อยของนางนี้ไม่นับเป็อย่างไรได้
“ท่านหมอหลิงเกรงใจเกินไปแล้วเ้าค่ะ” มัวมัวประคองหลิงมู่เอ๋อร์ขึ้นรถม้า จากนั้นพาหลิงมู่เอ๋อร์ไปที่จวนจวิ้นอ๋อง
เดิมหลิงมู่เอ๋อร์คิดว่าเป็ซูเช่อที่้าพบนาง เพียงแต่ยืมชื่อของซูเหล่าฟูเหรินเท่านั้น กระทั่งได้พบซูเหล่าฟูเหรินนางจึงเข้าใจว่า เป็ซูเหล่าฟูเหรินที่อยากพบนางจริง ๆ
นางย่อมไม่มีทางคิดว่า ตนเป็ผู้ที่ใครพบเห็นก็รักใคร่ ซูเหล่าฟูเหรินเองก็มีหลานสาว ย่อมไม่มีทางไม่รักคนของตนเอง แต่กลับมาดูแลลูกหลานของบ้านอื่นมากกว่า นางมาชักจูงนางเช่นนี้ ที่แท้มีเจตนาใดกันแน่? หรือว่า นางไม่ได้มีความคิดร้ายจริง ๆ เป็นางที่มองจิตใจคนซับซ้อนจนเกินไปหรือ?
“สาวน้อยมู่เอ๋อร์” คำที่ซูเหล่าฟูเหรินใช้เรียกนางเริ่มจาก‘แม่นางหลิง’ จนเป็ ‘ท่านหมอหลิง’ในหลัง บัดนี้ ถึงกลับเปลี่ยนเป็ ‘สาวน้อยมู่เอ๋อร์’ แล้ว
หลิงมู่เอ๋อร์มองซูเหล่าฟูเหรินอย่างสงบนิ่ง รอนางกล่าวคำพูดที่เหลือออกมา แสดงไมตรีโดยไร้เหตุ ถือเป็เื่ผิดวิสัย นางอยากดูว่า ซูเหล่าฟูเหรินคิดจะทำสิ่งใด
ซูเหล่าฟูเหรินลากมือของนาง ตบหลังมือของนางอย่างอ่อนโยน
“เ้าหมั้นหมายแล้วหรือไม่?” ซูเหล่าฟูเหรินยิ้มบางพร้อมกับมองนาง
หลิงมู่เอ๋อร์เลิกคิ้ว ในดวงตาวาบประกายประหลาดใจออกมา เหตุใดจึงถามนางเช่นนี้? หรืออยากช่วยจับคู่ให้นาง? หากเป็ซูเช่อ ซูเหล่าฟูเหรินไม่มีทางมาถามด้วยตนเอง นางจะต้องหาคนผู้หนึ่งมาลองเชิงการตอบสนองของนาง นอกจากนี้ ซูเหล่าฟูเหรินมีชาติกำเนิดมาจากตระกูลสูงศักดิ์ จวนจวิ้นอ๋องยิ่งเป็สถานที่สูงส่ง ครอบครัวเช่นพวกเขาย่อมไม่มีทางเห็นนางอยู่ในสายตา
ด้วยเหตุนี้ ที่ซูเหล่าฟูเหรินถามนางเช่นนี้ จะต้องมิใช่เพื่อซูเช่อแน่ แต่จะต้องมีความคิดอื่น
“ข้ายังเด็กอยู่เ้าค่ะ! น้องชายที่บ้านยังเล็ก ท่านพ่อท่านแม่ก็ยังต้องให้ข้าดูแล” หลิงมู่เอ๋อร์มิได้บอกว่าหมั้นหมายแล้วหรือไม่ แต่กลับให้คำตอบที่กำกวมแทน
ซูเหล่าฟูเหรินดันขนมที่อยู่เบื้องหน้าไปตรงหน้าของหลิงมู่เอ๋อร์ ทางหนึ่งกินขนม อีกทางก็กล่าวว่า “ที่บ้านลูกผู้พี่หญิงของข้ามีเด็กหนุ่มคนหนึ่ง บุคลิกดีมีความสามารถ ตัวเขาปีนี้อายุยี่สิบ ราศีเมษ นิสัยดีเป็ที่สุด เด็กคนนั้น้าหาเพียงผู้ที่มีนิสัยตรงใจ หลายปีมานี้ แม้แต่สาวใช้ข้างห้องก็ไม่มี ไม่เช่นนั้น ให้หญิงชราผู้นี้พาเ้าไปลองดู?”
หลิงมู่เอ๋อร์พ่นหัวเราะออกมา นางหยิบผ้าเช็ดหน้ามาซับหยดน้ำที่มุมปาก มองซูเหล่าฟูเหรินอย่างยิ้มแย้ม “เหล่าฟูเหรินชื่นชอบการเป็แม่สื่อั้แ่เมื่อใดกันเ้าคะ?”
หากเป็สตรีนางอื่นได้ยินหลิงมู่เอ๋อร์กล่าวเช่นนี้ กลัวว่าคนจะเปลี่ยนสีหน้านานแล้ว ฟูเหรินสูงศักดิ์เช่นพวกนางมีฐานะสูงส่ง ถึงกลับนำนางไปเปรียบเป็แม่สื่อ นั่นเป็การดูิ่อย่างมาก ด้วยเหตุนี้ เมื่อได้ยินคำพูดของหลิงมู่เอ๋อร์ มัวมัวชราที่อยู่ด้านข้างจึงออกจะไม่พอใจอยู่บ้าง ในทางกลับกัน ซูเหล่าฟูเหรินราวกับมิได้ยินกระนั้น บนใบหน้ายังประดับไปด้วยรอยยิ้มอีกด้วย
“ครอบครัวของลูกผู้พี่หญิงของข้าผู้นั้น แม้จะมิใช่ตระกูลใหญ่ที่ทรงอำนาจ แต่ก็มีตำแหน่งขุนนางเป็ทางการ สาวน้อยเช่นเ้าหากแต่งเข้าไป ชั่วชีวิตนี้ย่อมมิต้องกังวลเื่การกินการสวมอีก” ซูเหล่าฟูเหรินยังคงไม่ตายใจ ยังล่อใจต่อไปว่า “พูดอีกอย่าง เด็กผู้นั้นเมื่อเปรียบกับเช่อเอ๋อร์ของบ้านข้าแล้วก็ไม่ด้อยไปกว่ากันเลย เ้ายังไม่เชื่อสายตาของเราผู้เฒ่าหรือ?”
“เหล่าฟูเหริน ตระกูลขุนนางเช่นนี้จะต้องมีเกณฑ์ในการเลือกลูกสะใภ้อย่างแน่นอน ข้าซึ่งเป็ชาวบ้านธรรมดาผู้หนึ่ง น่าจะไม่อยู่ในสายตาของพวกเขากระมัง? เหล่าฟูเหรินใช่มีเื่อื่นที่อยากพูดหรือไม่? หากมีข้าก็จะฟัง หากไม่มีข้าจะกลับก่อนแล้วเ้าค่ะ” หลิงมู่เอ๋อร์ขัดคำพูดของซูเหล่าฟูเหรินให้หยุดลง ท่าทีราวกำลังเตรียมจะจากไป
“อย่าเพิ่งไปสิ” ซูเหล่าฟูเหรินดึงหลิงมู่เอ๋อร์ไว้ มองนางอย่างตัดพ้อครั้งหนึ่ง “ใช่ ข้าปิดบังเ้า ั้แ่เด็กเขาก็สุขภาพไม่ดี เพียงแต่ข้าคิดว่าเ้าเป็หมอ มีความชำนาญในการดูแลสุขภาพ หากเ้าแต่งเข้าไป คนในบ้านพวกเขาย่อมไม่กล้าดูถูกเ้า เช่นนี้ล้วนดีต่อทุกคน”
“ทุกคนที่เหล่าฟูเหรินกล่าวหมายถึงใครเ้าคะ ข้า คุณชายท่านนั้น หรือว่าเป็จวิ้นจู่น้อย หรือเป็เพราะท่านเป็ห่วงจวิ้นอ๋องน้อย” หลิงมู่เอ๋อร์ดึงมือของตนกลับมา น้ำเสียงเ็า “ข้ารู้ว่าท่านกำลังกังวลสิ่งใด ท่านวางใจเถิด เรือนของตระกูลใหญ่เช่นจวนจวิ๋นอ๋องนี้ มิใช่สถานที่ที่ข้าอยากแต่ง จวิ้นอ๋องน้อยก็มิใช่ผู้เหมาะสมที่ข้าชมชอบเช่นกัน”
ซูเหล่าฟูเหรินมองหญิงสาวที่อยู่เบื้องหน้าอย่างตกตะลึง รอยเยาะหยันในดวงตาของนางก็ราวดาบเล่มหนึ่ง ทำให้นางรู้สึกผิดและอับอายจนยากจะเอ่ยวาจา
“ข้าจะส่งเ้าออกไป” น้ำเสียงเ็าเสียงหนึ่งดังมาจากทางเข้าประตู
เมื่อซูเหล่าฟูเหรินได้ยินเสียงนี้ ร่างกายก็สั่นไหว นางเงยหน้ามองทางเข้าประตู ก็เห็นซูเช่อในชุดขาวราวหิมะ ยืนอยู่ตรงนั้นด้วยสีหน้าที่ไร้ความรู้สึก บนใบหน้าของเขา มิมีรอยยิ้มที่มองเห็นได้ในยามปกติอีก ในสายตายิ่งมีแต่สีของน้ำแข็ง ในเวลานั้น ซูเหล่าฟูเหรินรู้สึกเสียใจกับสิ่งที่ทำลงไปเมื่อครู่เหลือเกิน
นางพันไม่ควรหมื่นไม่ควร ไม่ควรฟังและเชื่อคำพูดของเจาหยางเด็กคนนั้น คิดว่าพวกเขาสองคนมีอะไรกันจริง ๆ นางอยากแนะนำหลิงมู่เอ๋อร์ให้กับลูกชายของลูกผู้พี่หญิงเป็เื่จริง อยากให้พวกเขาทั้งสองตัดความชอบพออย่างเด็ดขาดก็เป็ความจริง บัดนี้ดูไปแล้ว ช่างเป็การย้ายก้อนหินจนตกทับเท้าของตนจริง ๆ
“ท่านย่าไม่จำเป็ต้องป้องกันแม่นางหลิงถึงเพียงนี้ แต่ไหนแต่ไรมานางก็มิใช่พวกคนที่คิดจับัเพื่อกลายเป็หงส์ จวนจวิ้นอ๋องที่พันดีหมื่นดีในสายตาของผู้อื่น ในสายตาของนางราวกับเป็อสรพิษแมงป่องก็ไม่ปาน หากมิใช่เพราะข้าเรียกนางมา เกรงว่าชั่วชีวิตนี้นางคงไม่อยากก้าวเข้ามาแม้เพียงครึ่งก้าว คำกล่าวที่ท่านย่าพูดกับนางในวันนี้ ก็คือการดูิ่นาง” ซูเช่อเ็า
“เช่อเอ๋อร์ ข้ามิได้มีเจตนาร้าย” ซูเหล่าฟูเหรินรีบอธิบาย
“จวิ้นอ๋องน้อย เหล่าฟูเหรินก็ถูกคนปิดบังเช่นกันเ้าค่ะ ท่านชอบแม่นางหลิงมาก ต่อให้จวิ้นอ๋องน้อยชมชอบแม่นางหลิงจริง ๆ ท่านก็ไม่มีทางคัดค้านนะเ้าคะ” มัวมัวชรารีบช่วยซูเหล่าฟูเหรินอธิบาย
หลิงมู่เอ๋อร์ถือกล่องยาขึ้นมา สาวเท้ายาวออกไปจากห้องนี้ นางอดถอนใจเบามิได้ ดูท่าแล้ว ตระกูลซูแห่งนี้ วันหลังคงมาไม่ได้อีก เสียทีที่นางชื่นชอบซูเหล่าฟูเหรินเป็อย่างมาก น่าเสียดาย แม้จะชอบมากถึงเพียงใด แล้วจะมีประโยชน์อันใด? ขอเพียงเกี่ยวพันถึงผลประโยชน์ของหลานชายนาง นางซึ่งเป็เพื่อนต่างรุ่นที่พึ่งพบหน้าจะนับเป็อย่างไรได้?
ซูเช่อตามหลิงมู่เอ๋อร์ไปด้านหลัง จนกระทั่งออกจากประตูไป ซูเช่อจึงได้กล่าวเสียงเบาว่า “ขอโทษด้วย ท่านย่าหูเบา เจาหยางพูดข้างหูของนางหลายครั้งหน่อย นางก็เริ่มหวาดระแวง แท้ที่จริงแล้วนางมิใช่คนจิตใจไม่ดี ”
ในจุดนี้ หลิงมู่เอ๋อร์ไม่เคยสงสัยนางมาก่อน หลังผ่านการอยู่ร่วมกันใน่เวลาสั้น ๆ มา นางยังคงเข้าใจซูเหล่าฟูเหรินอยู่มาก หากมิใช่เพราะมีใครพูดอะไรข้างหูของนาง นางย่อมไม่มีทางพูดเื่พวกนี้อย่างไม่มีที่ไปที่มา
“ที่จริงแล้วนางก็ไม่ได้ผิด ด้วยฐานะของท่าน สตรีที่เข้าใกล้ท่านกว่าครึ่งคงไม่มีเจตนาดีอะไร ท่านคบหากับข้าได้ไม่นาน แต่กลับไว้วางใจในตัวข้า นางจะกังวลก็เป็เหตุผลที่อภัยได้ ทว่า เห็นได้ชัดว่านางประเมินท่านต่ำเกินไปแล้ว ท่านคือจวิ้นอ๋องน้อย จวิ้นอ๋องในอนาคต ท่านรู้อย่างชัดเจนว่าตน้าสิ่งใด” หลิงมู่เอ๋อร์หมุนตัวกลับมามองซูเช่อ รอยยิ้มบนใบหน้าไม่เปลี่ยนแปลง “วันหลังหากมีเื่ใดก็สามารถไปหาข้าที่บ้านของข้าได้ อย่างน้อยคนที่บ้านของข้าก็ไม่มีทางสงสัยว่าระหว่างพวกเราจะมีสิ่งใดต่อกัน”
หญิงสาวที่สดใสสง่างามโบกมือให้เขา นั่งลงบนรถม้าของครอบครัวนางเรียบร้อยก็ออกจากจวนตระกูลใหญ่แห่งนี้ไป ซูเช่อมองเงาร่างของหญิงสาวดุจดั่งสายลมที่ปลิวไกลออกไป
ในเวลานั้น เขามองสิงโตหินสองตัวที่อยู่เบื้องหน้า นี่เป็ครั้งแรกที่เกิดความรู้สึกอยากทำลายล้างอย่างหุนหันพลันแล่นขึ้นมา ชาติกำเนิดที่สูงศักดิ์ ฐานะที่แตกต่าง สิ่งเหล่านี้ก็ราวกับกลอนดอกหนึ่ง ทำให้เขารู้สึกหายใจไม่ออกขึ้นมา
“จวิ้นอ๋องน้อยขอรับ จวิ้นจู่ทะเลาะกับองค์หญิงใหญ่อีกแล้วขอรับ” ผู้คุ้มกันนายหนึ่งรีบกลับมาจากด้านนอก เมื่อเห็นซูเช่อที่ยืนอยู่หน้าประตู ก็รายงานอย่างลนลาน
ซูเช่อหรี่ตา กล่าวประชดว่า “มีความสามารถตบตี ไม่มีความสามารถจัดการกับผลที่ตามมา? เ้าบอกนางว่า ผู้ใดเป็คนหาเื่ ผู้นั้นก็ไปจัดการให้เรียบร้อย อย่าได้เอาแต่จะกลับมาหาคนที่บ้านทุกครั้ง บ้านนี้มิใช่ศูนย์ให้ความช่วยเหลือ ที่จะคอยช่วยจัดการแก้ปัญหาที่ตามมาให้นาง”
ผู้คุ้มกันไม่เคยเห็นสีหน้าเ็าดุจน้ำแข็งเช่นนี้ของซูเช่อมาก่อน ทุกคนต่างรู้ว่า ต้นไม่หยกแห่งตระกูลซูเป็บุคคลที่ราวกับเทพเซียน เขาไม่เคยเสียกิริยาในที่สาธารณะมาก่อน ปฏิบัติกับทุกคนอย่างเท่าเทียม รอยยิ้มบาง ๆ ของเขาก็ราวกับแสงอาทิตย์ในฤดูหนาว มักจะนำความอบอุ่นมาสู่ผู้คนเสมอ ทว่าในยามนี้ ความเ็าในดวงตาของเขายังเย็นะเืยิ่งกว่าหิมะในฤดูหนาวเสียอีก
หลิงมู่เอ๋อร์มู่เอ๋อร์ที่อยู่ในรถม้ายามนี้ก็รู้สึกไม่ดีเช่นกัน นางก็ใช้ความจริงใจในการคบหากับซูเช่อ คิดไม่ถึงว่าจะถูกเห็นเป็ผู้ที่คิดจับัเพื่อกลายเป็หงส์ หากเป็ผู้อื่นที่คิดเช่นนี้ นางสามารถทำเป็ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นได้ ทว่า คนผู้นั้นกลับเป็ท่านย่าที่ซูเช่อให้ความเคารพ
“หยุดลง” หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวกับรถม้าที่อยู่ภายนอก “ท่านจอดที่นี่ ข้ายังมีธุระ ไม่ต้องให้ท่านส่งกลับบ้านแล้ว”
คนขับรถรับคำ “ขอรับ”
หลิงมู่เอ๋อร์ลงจากรถม้า พึ่งลงจากรถม้าก็เห็นหลิงจือเซวียนดึง ๆ ลาก ๆ กับสตรีในชุดแดงนางหนึ่ง ใบหน้าเล็ก ๆ ของสตรีนางนั้นบวมจนมองหน้าตาไม่ออก ทว่า ด้วยความสามารถผ่านตาแล้วไม่ลืมเลือนของหลิงมู่เอ๋อร์ จะดูไม่ออกได้อย่างไรว่า สตรีนางนั้นก็คือน้องสาวของซูเช่อ จวิ้นจู่น้อยผู้ชอบแยกเขี้ยวกางกรงเล็บที่เอาแต่ใจตนเองผู้นั้น
นางพึ่งออกจากจวนจวิ๋นอ๋องมา ในใจยังมีความโมโหหลงเหลืออยู่สายหนึ่ง คิดไม่ถึงว่าถนนหนทางจะคับแคบจนศัตรูมาพบหน้า ถึงกับได้พบนางอีกครั้งที่นี่แล้ว เพียงแต่นางมาพัวพันกับพี่ชายของนางทำไม?
“พี่ชาย…” หลิงมู่เอ๋อร์เร่งมายังเบื้องหน้าของหลิงจือเซวียน ปัดมือของสตรีในชุดแดงนางนั้นออก เบียดเข้าไปอยู่ตรงกลางระหว่างพวกเขา “เกิดสิ่งใดขึ้นเ้าคะ?”
หลิงจือเซวียนเมื่อเห็นหลิงมู่เอ๋อร์ ก็แอบถอนใจออกมาเฮือกหนึ่ง “ท่านอาจารย์ให้ข้าออกมาซื้อพู่กัน น้ำหมึก กระดาษ และแท่นฝนหมึก ข้าบังเอิญไปเห็นนางสู้กับสตรีอีกนางหนึ่งอย่างดุดัน เห็นนางถูกตีอย่างรุนแรง ก็ลงมือช่วยนาง นางไม่เพียงไม่สำนึกขอบคุณ แต่กลับโทษข้าว่าทำลายเื่ดีของนาง”
สตรีในชุดแดงมองหลิงจือเซวียนอย่างระมัดระวัง ไม่มีผู้ใดพบความไม่เป็ธรรมชาติในดวงตาของนาง ยามนี้ ใบหน้าของนางถูกตบจนบวมขึ้นมา จึงไม่มีผู้ใดเห็นสีหน้าที่ผิดปกติบนใบหน้าของนาง นางบิดผ้าเช็ดหน้า มองบุรุษที่สดใสเ็าเบื้องหน้า รู้สึกเพียงว่าหัวใจดวงน้อย ๆ เต้นตึกตักตึกตักไม่หยุด
ที่จริงแล้ว นางเองก็รู้สึกขอบคุณเช่นกัน ทว่า เมื่อคำพูดมาถึงริมฝีปากก็กลายเป็เช่นนั้นไป นางรู้สึกโมโหตนเองมากเช่นกัน แต่ในฐานะคุณหนูผู้สูงศักดิ์ ไม่เคยมีผู้ใดสอนนางว่าจะลดท่าทีลงได้เยี่ยงไร
ในดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความรังเกียจนาง ในเวลานั้น นางรู้สึกแย่อย่างมาก ต่อให้เป็ในอดีต ยามรู้ว่าพี่น้องที่ไว้ใจแอบหัวเราะเยาะนางไม่น้อย รู้ว่าบุรุษที่เคยชื่นชอบแอบนินทานางว่าโง่เขลาลับหลัง นางก็เพียงแต่โมโหมาก แต่กลับไม่เหมือนยามนี้ ที่ทั้งขมทั้งฝาด
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้