ดูเหมือนว่าหน้าต่างจะปิดไม่สนิท เมื่อลมกลางคืนพัดเข้ามาจึงทำให้รู้สึกหนาว
อวิ๋นจื่อเดินไปปิดหน้าต่างอย่างเบามือ
เมื่อหันกลับมาก็พบกับดวงตาที่สดใสของชายหนุ่ม
เย่เช่อมองนางราวกับกำลังมองทิวทัศน์ที่งดงามที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นมาในชีวิต ดวงตาของเขาทอประกายแวววาว
“สิ่งที่ข้าปรารถนาที่สุดคือใครสักคนที่ข้ารักและรักข้า”
เสียงของเขาฟังดูราวกับสายฝนในฤดูใบไม้ผลิและทำให้หัวใจของนางสั่นไหว
อวิ๋นจื่อครุ่นคิดว่านางเคยรู้สึกแบบนี้ครั้งแรกเมื่อไหร่?
น่าจะเป็ในปีที่แปดของรัชศกเฉิงกวง เมื่อครั้งดอกจื่อเยวี่ยน[1]ในตำหนักเหวินฮวาเบ่งบาน
จื่อเยวี่ยนเป็ดอกไม้ที่มีชื่อเสียงในูเาจิ่วอี๋ซึ่งจะบานทุกๆ แปดปี นางได้ยินมาว่าคนที่สามารถรอจนกว่าดอกจื่อเยวี่ยนจะบานย่อมพบกับความสุข
จู่ๆ อวิ๋นจื่อก็นึกถึงคำพูดของเสด็จแม่ที่นางเคยได้ยินสมัยยังเด็ก
“อาจื่อ ผู้ที่สามารถรอจนกว่าดอกจื่อเยวี่ยนจะบานย่อมได้พบกับความสุขในท้ายที่สุด”
“เสด็จแม่ก็ต้องรอนะเพคะ เสด็จแม่จะได้มีความสุข”
“ตราบใดที่อาจื่อมีความสุข แม่ก็มีความสุขเช่นกัน”
ในเวลานั้นจิตใจของนางผ่องใสและงดงามราวกับน้ำพุที่ใสกระจ่าง
ความโศกเศร้าในใจของอวิ๋นจื่อค่อยๆ เพิ่มขึ้น เมื่อวันคืนผ่านไปความรู้สึกนี้ก็รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อเห็นคิ้วที่ขมวดเข้าหากันของหญิงสาว เย่เช่อก็รู้สึกปวดใจโดยไม่มีเหตุผล ราวกับว่าหัวใจของเขาถูกใครบางคนบีบ เขาอดไม่ได้ที่จะกล่าวว่า
“ข้าคิดว่าตอนนี้ ข้าเข้าใกล้ความปรารถนาของข้ามากขึ้นกว่าเดิมแล้ว”
ขณะที่เขากล่าว เขาก็ลูบคางของนางเบาๆ ปลายนิ้วที่เย็นเล็กน้อยดูราวกับโหยหาความอบอุ่นจากคางของนาง
เขากอดนางไว้ในอ้อมอก
ไม่มีกลิ่นอายของความปรารถนาในห้อง มีเพียงความรักอันแรงกล้าซึ่งทำให้หัวใจของผู้คนอบอุ่น
หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ปล่อยนาง
เขาแนบริมฝีปากไปที่ใบหูของนางและกล่าวเบาๆ ว่า “ปี้เหยียน นี่เป็วันส่งท้ายปีเก่าที่ข้ามีความสุขที่สุดนับั้แ่เกิดมา”
นี่เป็ค่ำคืนที่อบอุ่นที่สุด เย่เช่อ้าให้่เวลานี้ผ่านไปช้าๆ
เขา้าให้่เวลานี้คงอยู่่นิรันดร์
ไม่ว่าจะเป็กองทัพ ตระกูลเย่ ตระกูลฮั่ว พื้นที่ชายแดน หรือเมืองอวิ๋นเมิ่ง เขาไม่้าสิ่งใดทั้งนั้น!
เมื่อก่อนเขาคิดว่าคำกล่าวที่ว่ามัวเมาในแดนสุขาวดีนั้นช่างไร้สาระสิ้นดี
จนกระทั่งวันนี้เขาได้ตระหนักว่าสิ่งที่คนโบราณพูดไว้ไม่ผิดไปจากความจริงเลย
เขาไม่อยากเป็เช่นนี้ แต่เขาไม่สามารถหักห้ามความปรารถนาที่อยู่ในใจได้
ดูเหมือนว่าจะเป็ยามสอง[2]แล้ว
เย่เช่อรู้ว่าได้เวลาที่เขาต้องกลับ
เขาบอกลาอวิ๋นจื่ออย่างนุ่มนวล
จากนั้นเขาก็รีบจากไปราวกับ้าหนีจากอะไรบางอย่าง
อันที่จริงเขากลัวตัวเอง กลัวว่าถ้าเดินช้ากว่านี้เขาจะลังเล
เย่เช่อต้องกลับไปที่เมืองอวิ๋นเมิ่งก่อนรุ่งสาง
ยามสี่เขามาถึงพระราชวัง
นี่เป็ครั้งที่สองในชีวิตที่เขามายังสถานที่แห่งนี้
เขามาเยือนที่นี่ครั้งแรกเมื่อหลายปีก่อนและรู้สึกว่ามันเป็ทิวทัศน์ที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิต
ตอนนั้นเขาแอบกลับมาจากชายแดนเพื่อพบกับมารดา
ไท่โฮ่วตอย่างกะทันหัน มารดาของเขาจึงต้องเข้าวังเพื่อร่วมพิธีไว้อาลัย แต่เขากลับเดินหลงทางไปถึงพระราชฐานชั้นในและได้พบเด็กหญิงคนหนึ่ง
แก้มนวลอมชมพูดูบอบบาง ดวงตาสีดำราวกับหมึก ในมือถือดอกปี้จื่อ
เมื่อสาวน้อยเห็นว่ามีคนบุกเข้ามาอย่างกะทันหันนางก็รู้สึกใเล็กน้อย แต่เมื่อตระหนักว่าฝ่ายตรงข้ามไม่ใช่นักฆ่า นางก็ไม่ได้ส่งเสียงเรียกองครักษ์ประจำตัว
เย่เช่อลังเลอยู่นาน สุดท้ายเขาก็ไม่กล้าลงมือทำสิ่งใดและกลับไปที่ชายแดนในคืนนั้นเลย
ต่อมาเขาพบว่าเด็กหญิงตัวเล็กๆ คนนั้นคือองค์หญิงใหญ่แห่งตำหนักเหวินฮวา
ห้าปีต่อมาเขาได้ยินว่าซูฮองเฮาสิ้นพระชนม์ แต่เขาไม่สามารถกลับเมืองอวิ๋นเมิ่งได้
เขารอจนกระทั่งนางถึงวัยที่เหมาะสม
เดิมทีเขาตั้งใจจะขอให้ท่านตาถวายฎีกาสู่ขอนางจากฮ่องเต้ แต่ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในเมืองหลวงกลับทำให้ชีวิตของเขาพลิกผันไปโดยสิ้นเชิง
เขาไม่อยากเชื่อเลย
แต่หญิงสาวคนนั้นได้หายไปแล้ว หายไปอย่างไร้ร่องรอย
บางทีนางอาจตายไปแล้ว หรือบางทีนางอาจยังมีชีวิตอยู่ก็เป็ได้
แต่เขาหานางไม่พบ!
ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงหญิงสาวจากหอคณิกาที่อ่อนโยนเหมือนสายน้ำและมีรอยยิ้มงดงามราวกับบุปผา
ใบหน้าสดใสนั้นราวกับระลอกคลื่นที่กระเพื่อมอยู่ในใจของเขา
บางทีจากนี้ไปเขาคงต้องลืมองค์หญิงเหวินฮวาให้ได้
เขาก้าวขึ้นบันไดและเดินไปที่ตำหนักของมารดา
ฝีเท้าของเขาแ่เบา ดูไม่เหมือนทหารในกองทัพแม้แต่น้อย
ภายใต้แสงสลัว มารดาของเขานั่งตัวตรง
เขามองเห็นมารดาของเขาในทันที
“เสด็จแม่ ลูกกลับมาแล้ว”
ชายหนุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงสดใส
สตรีที่สวมเสื้อผ้าเนื้อดีค่อยๆ ยืนขึ้น ชำเลืองมองลูกชายของนางและกล่าวว่า
“เช่อเอ๋อ ดูเหมือนเ้าจะมีบางอย่างอยู่ในใจ?”
แม้ว่านางจะถามเขา แต่น้ำเสียงที่นางใช้ก็เหมือนจะได้คำตอบเรียบร้อยแล้ว
เย่เช่อมองไปยังมารดาซึ่งไม่ได้พบหน้ากันหลายปี ทันใดนั้นดวงตาของเขาก็มีร่องรอยความอ่อนโยนปรากฏขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เขามีความคิดมากมายอยู่ในใจ
แต่เขาจะกล่าวถึงมันได้อย่างไร?
ไม่มีทางที่เขาจะเล่าเื่นี้ให้ใครฟัง
หลังจากนั้นไม่นานเขาก็กล่าวว่า “เสด็จแม่กังวลมากเกินไปแล้ว”
มารดาจะไม่เข้าใจบุตรได้อย่างไร ตัวนางเองเป็บุตรสาวคนเล็กของแม่ทัพเจิ้นหนาน ซึ่งเป็ที่รักและทะนุถนอมของบิดามารดาและพี่น้องทุกคนราวกับบุปผาที่บอบบาง
แน่นอนว่านางย่อมรับรู้ถึงความกังวลที่อยู่ในใจของบุตรชาย
------------------------
[1] ดอกจื่อเยวี่ยน เป็ไม้ดอกลักษณะคล้ายดอกเบญจมาศ แต่ดอกมีขนาดเล็กกว่า มีถิ่นกำเนิดในประเทศจีนและญี่ปุ่น มีหลายสี เช่น สีขาว สีครีม สีเหลือง สีชมพู สีแดง สีม่วง สีน้ำเงิน
ดอกจื่อเยวี่ยนมีความหมายแทนความห่วงใย ความมุ่งมั่น ความน่าหลงใหล และความมีเสน่ห์ คนจีนมักกล่าวว่าดอกจื่อเยวี่ยนมีความหมายแทนความซื่อสัตย์และความจงรักภักดี
[2] ยามสอง คือ เวลาหลังจาก 3 ทุ่มไปถึงเที่ยงคืน