ตกหลุมพรางของเขาโดยไม่รู้ตัว
เสิ่นอันอันรู้สึกผิดกับความขี้สงสัยของตัวเอง
ฮั่วเฉิงโจวใช้ประโยชน์จากการเรียนจิตวิทยาค่อยๆ ตะล่อมเธอ “คุณหนูเสิ่นทานข้าวหรือยังครับ? สนใจไปทานด้วยกันไหม?”
“ไม่เป็ไรค่ะ” เธอปฏิเสธอย่างสุภาพ “ฉันสั่งอาหารมาทานที่บริษัทเรียบร้อยแล้วค่ะ”
“โครก... คราก...” ท้องที่หิวโหยของเธอส่งเสียงทันทีที่พูดจบ
เสิ่นอันอัน “...”
ช่างเป็การโกหกที่ฆ่าตัวตายเสียจริง เธออับอายเล็กน้อยและเงยหน้ามองฮั่วเฉิงโจว แต่พบว่าเขาก็ไม่ได้ไม่พอใจและมีรอยยิ้มปรากฏขึ้นที่มุมปาก
“ขึ้นรถครับ”
เสิ่นอันอันไม่รู้จริงๆ ว่าเหตุใดเธอจึงปฏิเสธ น้ำเสียงเธออ่อนลง “เดี๋ยวฉันขับรถไป…”
“ร้านอาหารญี่ปุ่นร้านนั้นลูกค้าเยอะ แถมที่จอดรถก็น้อย เราไปคันเดียวกันน่าจะสะดวกกว่านะครับ”
ทุกสิ่งที่ศาสตราจารย์ฮั่วพูดล้วนมีเหตุผล เสิ่นอันอันไร้ข้อโต้แย้ง
ร้านอาหารญี่ปุ่นชื่อ “โรงเตี๊ยมนกและลม” มีลูกค้าจำนวนมากจนลานจอดรถบนพื้นเต็มหมดแล้ว ฮั่วเฉิงโจวจึงขับไปจอดที่ชั้นใต้ดินแทน
เสิ่นอันอันเดินตามเขาเข้ามาในร้าน ภายในตกแต่งสไตล์ย้อนยุค มีโคมไฟสีแดงและสีขาวขนาดเล็กแขวนไว้ตรงประตูที่สลักลวดลายต่างๆ ส่องแสงสลัวเล็กน้อยในตอนกลางคืน
หลังจากทั้งสองคนนั่งลง บริกรก็นำเมนูมาให้ เสิ่นอันอันสั่งซุปมิโซะสามชุดและหอยเชลล์อบสไตล์ญี่ปุ่น ส่วนฮั่วเฉิงโจวสั่งซาชิมิสองชุด อุด้งสองชุด พร้อมกุ้งและทงคตสึ
เมื่อบริกรจากไปบรรยากาศก็เงียบลง เสิ่นอันอันเอามือลูบแขนตัวเองเพื่อขจัดความน่าอึดอัด “ศาสตราจารย์ฮั่ว…”
“คุณเรียกผมแบบนี้ผมอึดอัดนะครับ” ฮั่วเฉิงโจวขัดจังหวะเธอด้วยรอยยิ้ม “เรากินข้าวด้วยกันแล้วก็ถือว่าเป็เพื่อนกัน ต่อไปนี้คุณเรียกชื่อผมแทน เป็ไงครับ?”
คำพูดของเขาราวกับมีมนต์สะกด ทุกประโยคไม่อาจต้านทานได้
เสิ่นอันอันพยักหน้าอย่างงุนงง “ค่ะ...”
“งั้นผมเรียกคุณว่าอันอันด้วยได้ไหมครับ?” ฮั่วเฉิงโจวถามอีกครั้ง “เรียกคุณหนูเสิ่นก็ค่อนข้างห่างเหินนะครับ”
“ได้...ได้แน่นอนค่ะ”
เมื่อได้ยินคำตอบของเธอ ดวงตาที่ซ่อนอยู่หลังเลนส์แว่นก็ขยับโค้งเล็กน้อย รอยยิ้มมุมปากก็ยกขึ้นคล้ายสุนัขจิ้งจอก
“อันอัน”
การเรียกขานของเขากะทันหันเสียจนเสิ่นอันอันตกตะลึง เธอไร้การตอบสนองอยู่นานสองนาน
ฮั่วเฉิงโจวเห็นการแสดงออกเล็กๆ ของเธอและคิดว่าน่ารักมาก “ผมเปลี่ยนคำเรียกที่ห่างเหินนั่นแล้ว อันอัน คุณล่ะ?”
เสียงของเขาไพเราะมาก มีร่องรอยความสมถะปรากฏในความเกียจคร้านของเขา ราวกับว่าไม่มีอะไรในโลกนี้ที่สามารถทำให้เขาสนใจได้
เสิ่นอันอันตกหลุมพรางของเขาโดยไม่รู้ตัว “เฉิงโจว?”
หัวใจของฮั่วเฉิงโจวอ่อนลงหลังถูกเธอเรียก ความปรารถนาที่้าความงามทั้งหมดไว้เพียงผู้เดียวก็ชัดเจนยิ่งขึ้น
ไม่นาน บริกรก็นำอาหารทั้งหมดมาเสิร์ฟ ทั้งยังให้เหล้าบ๊วยเพิ่มอีกหนึ่งกาเป็ของขวัญ่เปิดร้านใหม่
ฮั่วเฉิงโจวรินเหล้าให้เสิ่นอันอัน คนอายุอ่อนกว่ากล่าวขอบคุณอย่างตะกุกตะกัก “ขอบคุณค่ะ ฮั่ว...เฉิงโจว”
ฮั่วเฉิงโจวหรี่ตาลง “อันอัน เราเป็เพื่อนกันแล้ว ไม่ต้องสุภาพขนาดนั้นหรอก”
น้ำเสียงของเขาไม่ได้เปลี่ยนไป แต่เสิ่นอันอันรู้สึกได้ว่าเขาไม่ได้ยินดีนักจึงรีบตอบว่า “ขอโทษ ฉัน...”
ยังไม่ทันพูดจบเธอก็นึกถึงคำที่บอกว่าไม่ต้องสุภาพที่เขาบอกเมื่อครู่ จึงเม้มริมฝีปากและกลืนประโยคครึ่งหลังลงไป
หลังรับประทานอาหารเสร็จ ฮั่วเฉิงโจวก็ไปจ่ายบิลที่แคเชียร์ จากนั้นก็ลงไปที่จอดรถชั้นใต้ดินเพื่อขับขึ้นมา ส่วนเสิ่นอันอันก็ยืนรออยู่ตรงประตู
เขากลับมาเร็วมาก หลังจากรถจอด เธอก็เปิดประตูขึ้นไปนั่ง
ทันทีที่เธอนั่งลง เขาก็โน้มตัวมาทางที่เธอกำลังนั่งอยู่
.............................................................................................................................................
ใหญ่มาก
ระยะห่างของทั้งสองคนสั้นลงอย่างรวดเร็ว และบรรยากาศในรถก็คลุมเครือขึ้นทันที
ดวงตาของฮั่วเฉิงโจวจับจ้องไปที่หน้าอกอวบอิ่มของเสิ่นอันอัน แม้จะมีเสื้อผ้ากั้นไว้ แต่ก็ยังสามารถมองเห็นโครงร่างที่นูนขึ้นมาได้
ใหญ่มาก...
เหมือนมือเดียวจะกุมไม่หมด?
ไม่รู้ว่าถ้าจับลงไปแล้วจะรู้สึกอย่างไร?
หัวใจของเสิ่นอันอันเต้นเร็วขึ้น ในขณะที่เธอกำลังประหม่า เขาก็ลดศีรษะเพื่อช่วยเธอคาดเข็มขัดนิรภัย ไม่ได้จะทำอะไรทั้งนั้น
ณ จุดนี้ ทุกอย่างไร้ซึ่งสิ่งผิดปกติ ไม่มีใครจับสังเกตการกระทำเหล่านี้ได้
ขณะที่เขาเอนกายเข้ามา เธอได้กลิ่นไม้จันทน์จางๆ จากร่างกายของเขา กลิ่นนั้นช่วยปลอบประโลมใจและบรรเทาความตึงเครียด
หลังจากคาดเข็มขัดนิรภัยเสร็จแล้ว ฮั่วเฉิงโจวก็ถอยกลับไปตำแหน่งเดิม ระยะห่างก็กลับมากว้างขึ้นอีกครั้ง
ความรู้สึกบีบคั้นหายไปอย่างรวดเร็ว เขาสตาร์ตรถและพูดอย่างสบายๆ ว่า “อันอัน ผมได้ยินจากผู้อำนวยการว่าคุณข้ามขั้นสามระดับของโรงเรียนมัธยมต้น แล้วยังสอบตรงเข้าสาขาการเงินของมหาวิทยาลัยอวิ๋นต้า เป็เด็กสาวที่มีพร์โดดเด่น”
เสิ่นอันอันเรียนจบไปหลายปีแล้ว เธอคิดไม่ถึงว่าเขาจะพูดเื่นี้ขึ้นมา และเขินอายเล็กน้อย “ที่ไหนกัน ผู้อำนวยการอวยฉันเกินไปแล้ว”
“แต่การข้ามขั้นสามระดับเป็ความจริงใช่ไหมครับ?” ฮั่วเฉิงโจวมองทางข้างหน้า หลังสี่ทุ่มถนนไม่ค่อยแออัดนัก “ผมถามฉินเซ่อมา เขาก็ชมว่าคุณฉลาด”
เธอถ่อมตนเสียจนไม่รู้ว่าควรตอบอย่างไรดี
เขาเหลือบมองเธอจากหางตาและถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “อันอัน คุณบอกได้ไหมว่าทำไมถึงเลือกสาขาการเงิน?”
ทำไมเธอถึงเลือกเรียนสาขาการเงิน?
ความโศกเศร้าปรากฏขึ้นในดวงตาของเสิ่นอันอัน เธอถอนหายใจเล็กน้อย
“เพราะสามีของฉันค่ะ” เธอก้มหน้าซ่อนความผิดหวังในดวงตา “ตอนนั้นเขาเลือกเรียนการเงิน ฉันอยากเข้าใจความรู้สึกของเขาเลยเลือกเรียนตาม”
ครั้งแรกที่พบกับเจียงอี้เฉิน เธอเรียนอยู่มัธยมปลายปีสาม
ตอนนั้นเป็เดือนเมษายน เดือนแห่งการโกหก เสิ่นอันอันกำลังยืนอยู่บริเวณประตูโรงเรียนที่มีผู้คนพลุกพล่าน พร้อมกับกองหนังสือในอ้อมแขน
การพบกันของเธอกับเจียงอี้เฉิน เกิดขึ้นในตอนบ่ายที่แสนธรรมดาและอบอุ่น
เขาขับรถสปอร์ตมาจอด แสงแดดเจิดจ้าตกกระทบใบหน้าของเขา งดงามเสียจนอดไม่ได้ที่จะหลงรักั้แ่แรกเห็น
นักเรียนหญิงหลายคนสนใจเขา เสิ่นอันอันก็เช่นกัน
และช่างบังเอิญเหลือเกินที่เขาก็สบตาเธอพอดี
อีกฝ่ายเลิกคิ้วมองแล้วยิ้มอย่างยั่วยวน
พอมาคิดดูแล้วนั่นคงเป็กลอุบายที่เขาใช้หลอกล่อสาวๆ แต่เธอในตอนนั้นก็ตกหลุมรักเขาราวกับถูกร่ายมนตร์
ทว่า เธออยู่แค่มัธยมปลายปีสาม จึงไม่กล้าตกหลุมรักและไม่กล้าสารภาพรัก
เธอเก็บซ่อนความรักไว้ในใจ แอบสมัครสาขาการเงินและสอบเข้ามหาวิทยาลัยเดียวกับเขา แต่ก็ได้มาเห็นกับตาว่าเขามีแฟนสาวที่งามราวสี่ยอดพธู[1]
แต่แฟนสาวของเขามาจากครอบครัวธรรมดา ตระกูลเจียงจึงพยายามขัดขวางพวกเขาทุกวิถีทาง ในที่สุดทั้งสองคนก็ต้องเลิกกันเพราะแรงกดดันจากครอบครัว
ต่อมา เสิ่นอันอันได้พบกับแม่ของเจียงอี้เฉินในงานเลี้ยง แม่ของเขาถูกโฉลกกับลูกสาวคนสุดท้องของตระกูลเสิ่นมาก ซึ่งในตอนนั้นเจียงอี้เฉินก็เลิกกับแฟนแล้ว เธอไม่ใช่มือที่สามและยังชอบเจียงอี้เฉินอยู่จึงผลักเรือตามน้ำ ตกลงกับทางนั้นไป
ทว่า เจียงอี้เฉินไม่ชอบเธอ...
สิ่งที่เขาชอบคือความตื่นเต้นและเร่าร้อนในวัยเยาว์ คือแสงจันทร์ขาว[2]ที่เขาไม่เคยลืมหลังจากปล่อยให้หลุดมือไป
เขาคิดว่าเธอแย่งตำแหน่งคุณนายเจียงมาจากคนรักของเขา ดังนั้นเขาจึงเกลียดเธอและหาเื่นอกใจเพื่อแก้แค้น
[1] เป็คำเรียกสตรีสี่คนที่ได้ชื่อว่างดงามที่สุดในประวัติศาสตร์จีนโบราณ โดยทั้งสี่คนมีบทบาทสำคัญที่ทำให้สถานการณ์บ้านเมืองพลิกผันถึงขั้นอาณาจักรล่มสลาย จนเรียกได้ว่าเป็จุดเปลี่ยนของประวัติศาสตร์ คำโคลงจีนที่ใช้เรียกสตรีทั้งสี่นี้ คือ “沉鱼落雁, 闭月羞花”
[2] คนที่รักกันแต่ไม่สามารถอยู่ด้วยกันได้ และไม่มีวันลืมเลือน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้