“ที่สอนไปเมื่อวานเ้าเข้าใจหมดหรือยัง?”
อ๋าวหรานพยักหน้า
เมื่อกินข้าวเสร็จ พวกหญิงรับใช้ก็เก็บโต๊ะแล้วทยอยกันถอยออกไป อ๋าวหรานไม่ชอบให้หญิงรับใช้อยู่รับใช้ใกล้ชิด ตอนนี้ความเคยชินนี้ก็ถ่ายทอดมาถึงจิ่งฝานด้วย ห้องกว้างที่ค่อนข้างโล่งทำให้รู้สึกหนาวเล็กน้อย ถึงแม้จะมีไฟให้ความอบอุ่น แต่อย่างไรก็เทียบไม่ได้กับเครื่องทำความร้อนในยุคปัจจุบัน แต่คนทั้งสองไม่กลัวหนาว อากาศประมาณนี้สำหรับพวกเขาแล้วกำลังดีทีเดียว
อ๋าวหรานกับเหยียนเฟิงเกอล้วนไม่ใช่ลูกหลานตระกูลจิ่ง แน่นอนว่าไม่ต้องปฏิบัติตามกฎของตระกูลจิ่ง คนทั้งสองสามารถไปไหนมาไหนได้อย่างอิสระ เหยียนเฟิงเกอยังคงหมกหมุ่นกับการฝึกฝนเพลงกระบี่สกุลอ๋าวที่ชัดเจนว่าเป็แค่เพลงกระบี่ธรรมดาๆ อยู่เช่นเดิม จนตอนนี้เขาสามารถฝึกเพลงกระบี่ชุดนี้จนเทพไปแล้ว และยังคงก้าวหน้ายิ่งๆ ขึ้นไปทุกวัน ไม่มีเกียจคร้าน
ถึงแม้วรยุทธ์ของอ๋าวหรานจะไม่ได้ตกต่ำลง แต่เขาก็มุ่งมั่นอยู่กับสองอย่างไม่ใช่แค่อย่างเดียว แล้วพร์ก็ยังเทียบเหยียนเฟิงเกอไม่ได้อีก จึงทำได้เพียงพอจะสู้เสมอกับเ้าเด็กบ้าจิ่งจื่อนั่นได้อย่างยากลำบากบ้างเท่านั้น แต่ก็แพ้เสียเป็ส่วนใหญ่ อย่างไรเสียเ้าเด็กผู้นี้ก็มีพร์แล้วยังขยันขันแข็งมากอีกด้วย
สำหรับเื่นี้อ๋าวหรานก็ไม่ได้รู้สึกอะไร เพราะเทียบกันแล้วเขาสนใจวิชาแพทย์ของตระกูลจิ่งมากกว่า ทั้งที่ชาติที่แล้วเขาไม่เคยมีความคิดอยากเป็หมอแม้แต่น้อย แต่ในชาตินี้กลับค่อนข้างใฝ่ฝันอยู่หลายส่วน และคงเป็เพราะ์อยากทดแทนให้เขาที่ถูกส่งมายังโลกนี้จึงได้มอบพร์ทางด้านนี้มาให้เขา
อีกทั้งตอนนี้ยังมีอาจารย์สองท่านช่วยสั่งสอนเขาอย่างตั้งใจ อ๋าวหรานก็ไม่กล้าทำลายความตั้งใจของทั้งคู่ พูดถึงเื่อาจารย์สองท่าน หนึ่งในนั้นก็คือจิ่งผู่ที่ดูแลโรงสมุนไพรนั่นเอง ถึงแม้จิ่งผู่จะไม่รับคำว่าอาจารย์ที่เขาเรียกขาน แต่ก็แนะนำสั่งสอนเขาทุกอย่างโดยไม่เก็บซ่อนเอาไว้เลย
ั้แ่ที่ตระกูลจิ่งเริ่มให้ความสำคัญกับวรยุทธ์นั้นก็แทบจะไม่มีผู้ใดมาที่โรงสมุนไพรแล้ว เรียกได้ว่ากลายเป็ของอ๋าวหรานแต่เพียงผู้เดียว คนเดียวที่อยู่กับอ๋าวหรานก็คือจิ่งผู่ที่ไม่ค่อยมีตัวตนและสนใจแต่เื่ของตนเองผู้นี้
ตอนที่ทั้งสองได้พบกันอีกครั้งนั้น จิ่งผู่ก็พบว่าอ๋าวหรานผู้นี้มาถึงเช้ากว่าเขาเสียอีก
วันนั้นจิ่งผู่กำลังจะเข้าไปในห้องที่อยู่ค่อนข้างลึกเพื่อเก็บสมุนไพร กลับไม่คิดว่าพอผลักประตูเข้าไปก็เห็นอ๋าวหรานนั่งอยู่บนพื้นอย่างไม่รักษาท่าทีแม้แต่น้อย บนตักวางคัมภีร์สมุนไพรเล่มหนาหนักเอาไว้ มือหนึ่งจับหนังสือ ส่วนอีกมือไม่รู้ว่ากำลังเขียนอะไรอยู่
จิ่งผู่ไม่เห็นคนี้เีอยู่ในสายตาและก็ไม่เห็นคนขยันขันแข็งอยู่ในสายตาเช่นกัน เขาคิดมาตลอดว่ามีพร์เท่านั้นถึงจะสำคัญที่สุด หาก์ไม่ให้ความสามารถในการกินข้าวชามนี้ เช่นนั้นก็ถูกกำหนดไว้แล้วว่าไม่สามารถกินมันได้ ต่อให้จะพยายามสักเพียงไร จะอย่างไรก็เทียบพวกคนที่มีพร์ไม่ได้ ถึงพยายามไปก็มาได้เท่านี้
แต่ถ้าไม่มีพร์แล้วยังไม่ขยันอีกเช่นนั้นก็จะเป็แค่คนไร้ค่า จิ่งผู่หาได้สนใจอ๋าวหรานไม่ อ๋าวหรานเองก็ไม่ได้สังเกตเห็นจิ่งผู่ คนทั้งสองต่างไม่รบกวนกันและกัน จิ่งผู่เก็บสมุนไพรเสร็จก็ตั้งใจจะจากไป แต่กลับถูกพู่กันในมืออ๋าวหรานดึงดูดเข้า จึงอดหยุดสายตามองหน่อยไม่ได้
จากนั้นก็พบว่าเทียบกับพู่กันด้ามนั้นแล้ว...สิ่งที่อ๋าวหรานบันทึกลงไปยังน่าสนใจมากกว่าอีก อ๋าวหรานจดอย่างตั้งใจ จิ่งผู่เองก็ดูอย่างตั้งใจ เนิ่นนานจิ่งผู่จึงอดพูดออกมาประโยคหนึ่งไม่ได้ว่า “คุณชายอ๋าวสรุปได้ดีนะ”
ตอนนี้เองอ๋าวหรานถึงเพิ่งรู้ว่ามีคนยืนอยู่ด้านข้าง เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นสีหน้าที่แฝงแววประหลาดใจของจิ่งผู่จึงรีบลุกขึ้นมา ยิ้มแล้วตอบว่า “สวัสดีท่านผู้าุโ ขายหน้าแล้ว ข้าก็แค่แอบเกียจคร้าน หาทางลัดก็เท่านั้น”
จิ่งผู่ปกติไม่ใช่คนขี้เกรงใจจึงยื่นมือออกมาหยิบสมุดในมือของอ๋าวหรานไปเองเลย แล้วพลิกดูแต่ละหน้าอย่างตั้งใจ ดูไปเรื่อยๆ ก็มีสีหน้าประหลาดใจ “นี่สามารถเอาไปสอนได้เลย เอาไปให้เด็กพวกนั้นดูประกอบความเข้าใจได้อย่างไม่เป็ปัญหา!”
ยิ่งเปิดก็ยิ่งทอดถอนใจ “นับว่ามีความสามารถมากจริงๆ รวบรวมจัดแบ่งไว้อย่างดีถึงเพียงนี้”
อ๋าวหรานยิ้มอย่างถ่อมตน แต่ในใจกลับรับคำชมนี้เข้าไปแล้วเต็มๆ เขาเองก็นับว่าฉลาดมาั้แ่เล็ก เื่เรียนก็ยิ่งนับว่าหัวดี ทั้งยังรู้จักวิธีเรียน อีกอย่างเป็นักเรียนอยู่ในยุคปัจจุบันมาตั้งนานก็นับว่ามีประสบการณ์มาไม่น้อย
หลังจากนั้นมาจิ่งผู่ก็นับว่าสนิทสนมมีน้ำใจกับเขามากขึ้นอยู่สักหน่อย และมักจะอธิบายให้เขาฟังเกี่ยวกับเื่ยาสมุนไพรที่ไม่มีบันทึกไว้ในคัมภีร์อยู่บ่อยๆ ทั้งยังเป็ความรู้ดีๆ มีประโยชน์ทั้งสิ้น อ๋าวหรานเองก็ได้รับประโยชน์ไปไม่น้อย ด้วยเหตุนี้คำว่า ‘ผู้าุโ’ จึงได้เปลี่ยนเป็คำว่า ‘อาจารย์’ นานแล้ว
เมื่อมีจิ่งผู่อยู่ ความรู้เื่สมุนไพรของอ๋าวหรานก็เรียกได้ว่าก้าวหน้าอย่างก้าวะโ เื่สมุนไพรมีจิ่งผู่แล้ว ส่วนเื่ทักษะทางการแพทย์อื่นๆ นั้นก็ถูกจิ่งฝานรับไปดูแลเองทั้งหมด
เ้าเด็กนี่นิสัยเหมือนจะเปลี่ยนไปมาก แต่นิสัยเื่ชอบสอนคนนั้นกลับไม่เปลี่ยนไปเลย ถึงแม้ว่าตอนนี้ดูเหมือนจะสอนตัวเองอยู่แค่คนเดียวก็ตาม
“มาทบทวนกันหน่อย แล้ววันนี้มาเรียนเื่ใหม่กัน”
ทบทวนกันหน่อยที่ว่านั่นก็คือการถูกเ้าเด็กจิ่งฝานทดสอบอย่างเข้มงวดโดยไม่ยอมปล่อยผ่านแม้แต่นิดเดียว ทุกครั้งที่อ๋าวหรานทำผิดก็จะถูกหนังสือในมือเขาที่ม้วนเป็ทรงกระบอกเคาะแรงๆ ทีหนึ่ง แถมยังลงมือหนักมาก แล้วอ๋าวหรานก็ไม่เคยหลบได้เลยสักครั้ง
สำหรับเื่นี้อ๋าวหรานผูกใจเจ็บเป็อย่างมาก รู้สึกได้เองว่าเ้าเด็กนี่ต้องตั้งใจอย่างแน่นอน ถึงแม้ทุกครั้งเขาจะเอาแต่ทำหน้าจริงจังเ็าก็ตาม
วันนี้ไม่ได้ไปที่ห้องหนังสือ แต่ทั้งสองกลับนั่งขัดสมาธิอยู่ข้างเตียง ดูสบายๆ ยิ่งจิ่งฝานถามแต่เื่ยากๆ และละเอียด แล้วยังออกนอกบทเรียนอยู่บ่อยๆ อ๋าวหรานก็พยายามตอบอย่างตั้งใจ โขคดีที่ครั้งนี้ข้างมืออีกฝ่ายไม่มีหนังสือ ถึงแม้อ๋าวหรานจะตอบผิดอยู่หลายครั้ง แต่เขาก็แค่แก้ให้เท่านั้น
กว่า ‘สอบย่อย’ ครั้งนี้จะจบลง อ๋าวหรานก็ถึงกับเหงื่อท่วม ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก แต่จิ่งฝานกลับไม่พอใจ “ครั้งนี้ผิดไปตั้งหลายข้อ”
อ๋าวหรานข่มความรู้สึกที่อยากต่อยเขาลงไป เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันแล้วพูดว่า “ข้อที่ข้าผิดพวกนั้นเ้าเคยสอนข้าหรือ?”
จิ่งฝานตอบกลับอย่างสงบนิ่ง “ถึงแม้จะสอนเ้าไปเยอะแล้ว แต่วิชาแพทย์นั้นสำคัญคือการได้ปฏิบัติจริง แค่จดจำเื่พวกนี้ยังไม่พอ ่นี้ยังไม่มีโอกาสได้ออกไป รอวันหน้าค่อยฝึกฝนให้มากหน่อย”
...
เปลี่ยนหัวข้อสนทนาอย่างแเี
“เมื่อก่อนทุกครั้งที่ข้าลงเขาไปรักษาคน” จิ่งฝานเปลี่ยนท่านั่ง มือที่ราวกับหยกขาววางอยู่บนโต๊ะ ทั้งดูสบายๆ และน่ามอง แขนเสื้อสีเข้มที่ปักลายประณีตงดงามยิ่งขับให้มือนั้นดูผ่องขึ้นกว่าเดิม “ทุกครั้งที่กลับมาก็จะบันทึกลำดับการเดินทางเอาไว้ ถือเป็การเขียนบันทึกการเดินทาง พอดีจะได้เอาให้เ้าอ่านดู”
อ๋าวหรานได้ยินดังนั้น ตาก็เป็ประกายทันใด เขาไม่ชอบดวงตากลมๆ คู่นี้ของตนมาตลอดเพราะดูไม่น่าเกรงขามเอาเสียเลย บุรุษควรจะมีดวงตาอย่างที่จิ่งฝานมี ทั้งเรียวยาวและดูแหลมคม ดูน่าเกรงขามและเ็า น่าเสียดายจริงๆ ที่เขาไม่รู้ตัวเลยว่าดวงตากลมๆ คู่นี้ของเขาเมื่อเบิกกว้างขึ้นแล้วดึงดูดสายตาคนแค่ไหน
จิ่งฝานมองดูดวงตาของเขา พูดขึ้นช้าๆ ด้วยน้ำเสียงแหบต่ำว่า “อยากดูขนาดนั้นเลยหรือ?”
อ๋าวหรานรีบพยักหน้า เขาสนใจบันทึกการเดินทางของจิ่งฝานเป็อย่างมาก หนึ่งเพราะประสบการณ์จริงๆ ของเขามีประโยชน์กว่าการที่เขาอ่านเอาจากหนังสือมากนัก ถึงแม้จะบอกว่าไม่ใช่มุมมองของตนเอง แต่อย่างไรเสียก็เป็ประสบการณ์จริง อีกอย่างถ้าจิ่งฝานเป็คนบันทึกก็ไม่มีทางตกหล่นแน่ สองเขาจะได้เปิดหูเปิดดูว่าโลกอันยิ่งใหญ่ใบนี้มีอะไรบ้าง ถึงแม้จะเป็แค่เหลี่ยมมุมเดียวจากน้ำแข็งทั้งก้อนก็ตาม
บันทึกการเดินทางอยู่ที่ห้องหนังสือ คนทั้งสองจึงเคลื่อนกายไปที่ห้องหนังสือ
ด้านนอกหิมะกำลังตก ขาวโพลนราวกับขนห่าน เมื่อทอดสายตามองไปจึงดูงดงามอย่างยิ่ง ต้นไม้ที่อยู่ห่างไกลออกไปล้วนถูกปกคลุมไปด้วยหิมะสีขาว ไม่ว่าที่ใดก็ล้วนขาวโพลนไปหมดราวกับภาพเขียนพู่กันเว้นขาว1
อ๋าวหรานยื่นมือออกไป หิมะค่อยๆ ตกลงมาบนมือเป็ชั้นๆ อย่างชัดเจน แค่เพียงไม่นานก็ได้หิมะมาเต็มกำมือ อดทอดถอนใจไม่ได้ว่า “หิมะนี่ตกลงมาเป็เกล็ดๆ ชัดเจน ดูงดงามมาก”
ตอนที่เขาอยู่ในยุคปัจจุบันก็พอจะจำได้รางๆ ว่าเหมือนตอนเด็กๆ จะเคยเห็นหิมะที่ตกปกคลุมไปทั่วเช่นนี้ แต่หลังจากที่โตขึ้นก็ดูเหมือนว่าไม่ว่าจะหนาวสักเพียงไรก็แค่ตกลงมาเล็กน้อยแล้วปลิวไปมาเท่านั้น เมื่อตกลงมาบนมือ ยังไม่ทันได้ดูให้ชัดเจนก็ละลายกลายเป็น้ำไปเสียแล้ว
เขายื่นมือที่เต็มไปด้วยหิมะไปทางจิ่งฝานแล้วสาดกระจายไปบนหน้าเขา ผมและคิ้วที่เดิมทีก็ถูกหิมะตกใส่จนขาวก็ยิ่งขาวมากขึ้นอีกหลายส่วน
“เหตุใดถึงดูเหมือนเ้าชายน้ำแข็งเลยเล่า? ฮ่าๆ!”
จิ่งฝานนิ่งเงียบไม่พูดอะไร แต่ตอนที่อ๋าวหรานกำลังหัวเราะอย่างมีความสุขนั้น ก็ใช้มือข้างเดียวดึงเขาไปไว้ใต้ต้นไม้ ต้นไม้นั่นถึงแม้ว่าใบจะร่วงไปหมดแล้ว แต่กิ่งก้านซ้อนทับกันเป็ชั้นๆ อย่างแน่นขนัด หิมะที่ตกลงมาหนึ่งวันหนึ่งคืนได้ปกคลุมต้นไม้ต้นนี้ไว้จนหมด กิ่งก้านก็ล้วนถูกกดทับจนงอ
จิ่งฝานลงมือไวมาก เมื่อผลักอ๋าวหรานไปไว้ใต้ต้นไม้เสร็จ เขาก็ถีบลำต้นไปทีหนึ่ง ลำต้นอวบใหญ่ที่ถูกเตะนี้สั่นไหวอยู่สองสามที ในขณะเดียวกันจิ่งฝานก็อาศัยแรงนี้ถีบตัวหลบจากใต้ต้นไม้ เหลือเพียงอ๋าวหรานที่ถูกหิมะร่วงลงมาทับถมจนเต็มตัวเพราะแรงสั่นไหวของต้นไม้
อ๋าวหราน “...”
เนิ่นนานกว่าอ๋าวหรานจะพูดออกมาอย่างแค้นเคือง “ไม่เคยเจอผู้ใดใจแคบเท่าเ้ามาก่อนเลย ข้าแค่สาดใส่เ้าไปกำมือหนึ่งเท่านั้น เ้าเอาคืนเป็ร้อยกำมือเลยหรือ ข้าเกือบจะถูกหิมะฝังกลบอยู่แล้ว!”
หิมะถมขึ้นมาถึงเอว อ๋าวหรานค่อยๆ ขยับออกมาช้าๆ ทีละก้าว เมื่อมาถึงตรงหน้าจิ่งฝานก็ตัวสั่นอย่างรุนแรง หิมะที่เริ่มละลายแล้วไหลลงไปในคอเสื้อแล้วไหลลงไปตามกระดูกสันหลัง หนาวเย็นไปถึงกระดูก
อ๋าวหรานค้อมเอวล้วงอยู่ตั้งนานก็ล้วงออกมาไม่ได้จึงต้องขอความช่วยเหลือจากตัวร้ายข้างๆ “ช่วยหน่อยสิ หิมะร่วงลงไปในเสื้อเต็มเลย หนาวจะตายอยู่แล้ว”
คอยาวนั้นขาวเนียนละเอียด ไม่ได้ขาวน้อยไปกว่าหิมะขาวตามธรรมชาตินี้สักเท่าไร ทั้งดูบอบบางและเย้ายวน ปลายนิ้วของจิ่งฝานสั่นไหว ความไม่ระมัดระวังป้องกันแล้วยังมอบชีวิตทั้งหมดของตัวเองให้ผู้อื่นเช่นนี้ทำให้ในใจของจิ่งฝานราวกับถูกจุดไฟที่สามารถทำให้ฟ้าดินมอดไหม้ได้ขึ้นมา เผาผลาญจนเขาทรมาน...จนทำให้เขาอยากเอื้อมมือไปกอบกุมและบีบเคล้น ทิ้งร่องรอยสีแดงก่ำเอาไว้ ทิ้งไว้...แค่ร่องรอยที่เป็ของเขาเพียงผู้เดียว
อ๋าวหรานสั่นคอเสื้อ เนิ่นนานก็ยังไม่ได้รับการตอบกลับจากจิ่งฝานจึงอดถอนหายใจไม่ได้ว่า “เ้านี่ก็เอาแต่ชมดูเื่สนุก ไม่คิดจะช่วยเลยสักนิด”
ไม่รอให้เขาค่อนขอดอีก ลำคอก็ถูกมือหนึ่งกุมไว้ ปลายนิ้วอุ่นร้อนค่อยๆ ลากไล้ไปบนลำคอแล้วปัดหิมะออกไป แต่กลับทำให้เขาสั่นสะท้านอย่างประหลาด สั่นสะท้านไปถึงใจ ชั่วขณะนั้นอ๋าวหรานรู้สึกว่าประสาทััของเขาชัดเจนขึ้นถึงสิบเท่า ลายมือทุกเส้นของมือที่อยู่บนลำคอนั้นราวกับเขาจะสามารถรู้สึกถึงมันได้อย่างชัดเจน
ราวกับััได้ถึงความสั่นสะท้านน้อยๆ ของผิวกายภายใต้มือ นิ้วมือของจิ่งฝานก็ชะงักไปแล้วทำเป็เหมือนไม่รู้สึกอะไร จัดการหิมะ่บริเวณลำคอของอ๋าวหรานอย่างเชื่องช้า บางอันก็ร่วงลงไปจนถึงเอว จิ่งฝานยั้งแรงบนมือแล้วเลื่อนมือลงไปลึกขึ้นกว่าเดิม
อ๋าวหรานรู้สึกว่าบริเวณกระดูกสันหลังนั้นแข็งค้างไปแล้ว เขาไม่ใช่คนที่จะมาสนใจเื่เล็กๆ น้อยๆ เช่นนี้ การััตัวกันของคนสองคนที่เป็ชายเหมือนกันนั้นเขาก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากมาย ระหว่างคนทั้งสองนั้นเปลือยกายท่อนบนแนบชิดไหล่และแผ่นหลังกันก็เคยมาแล้ว แต่ความรู้สึกนั้นก็ไม่ต่างอะไรกับการที่มือซ้ายจับมือขวา ไม่ได้รู้สึกอะไรเป็พิเศษ
แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ัันี้ของจิ่งฝานนั้นราวกับมีกระแสไฟฟ้าทำให้เกิดความรู้สึกแปลกประหลาดขึ้นมา ไม่รู้ว่าเป็เพราะจิ่งฝานที่ลูบเขาแบบแปลกๆ จึงทำให้เกิดความรู้สึกแปลกประหลาดตามไปด้วยหรือเขาไวต่อััเกินไปกันแน่
เมื่อรู้สึกได้ถึงััตรงแผ่นหลังที่ชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ อ๋าวหรานจึงอดรีบถอยหลังห่างออกไปไม่ได้ แต่กลับรู้สึกว่าการหลบเลี่ยงเช่นนี้ยิ่งดูมีพิรุธจึงรีบยืดตัวตรง สะบัดๆ หลังแล้วทำสีหน้าปกติ “สะอาดแล้ว ขอบใจเ้ามาก สบายขึ้นเยอะเลย”
จิ่งฝานก็ดูไม่ใส่ใจอะไร หน้าตาคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มจ้องมองเขาแล้วเก็บนิ้วกลับเข้าไปในแขนเสื้อ ลูบไล้ััปลายนิ้วของตัวเองในที่ที่มองไม่เห็นเพื่อััความอบอุ่นนุ่มละไมเมื่อสักครู่
อ๋าวหรานไม่กล้ามองหน้าเขา แต่ก็ยังรับรู้ได้ถึงสายตานั้นจึงหันศีรษะมองไปยังหิมะที่ปกคลุมไปทั่วแทน แล้วเปลี่ยนหัวข้อสนทนาว่า “หิมะมากเช่นนี้ไม่ปั้นตุ๊กตาหิมะก็น่าเสียดายหิมะที่ตกลงมาแล้วจริงๆ วันหน้าหากมีโอกาส พวกเราต้องมาเล่นกันสักรอบ”
จิ่งฝานมองติ่งหูและลำคอของเขาที่ขึ้นสีแดงเล็กน้อยแล้วยกริมฝีปากยิ้ม “เหตุใดต้องรอให้ถึงวันหน้า?”
“เฮ้อ ก็ตอนนี้สถานการณ์ไม่ดี ศัตรูพร้อมจะบุกเข้ามาตลอดเวลา แล้วยังมีคนจ้องอยู่อีกมาก เรียกให้พวกเขามาเล่นเกรงว่าก็ยังสนุกได้ไม่เต็มที่” อ๋าวหรานหยุดไปเล็กน้อยก็พูดอีกว่า “รอวันหน้าเมื่อพวกเราจัดการเื่วุ่นวายพวกนี้ได้แล้วค่อยมาเล่นกันให้หนำใจไปเลย!”
พูดแล้วก็หันศีรษะไปมองจิ่งฝานอย่างยิ้มแย้ม มุมปากยังคงแฝงแววชั่วร้ายเล็กน้อย “พอนึกถึงสภาพของศิษย์พี่ข้าที่เป็ก้อนน้ำแข็งทำตัวจริงจังอยู่ตลอด...ถูกพวกเราบังคับให้เล่นอะไรเป็เด็กๆ เช่นนี้ก็อยากจะหัวร่อให้งอหาย”
จิ่งฝานมีสีหน้าดูถูกเล็กน้อย “ศิษย์พี่เ้าไม่เล่นอะไรเด็กๆ เช่นนี้ แล้วข้าเล่นหรืออย่างไร?”
อ๋าวหรานหรี่ตาลงทันทีแล้วพูดเสียดสีกลับไปอย่างไม่เกรงใจว่า “แล้วเมื่อครู่ผู้ใดเป็คนโยนข้าไปใต้ต้นไม้กัน?”
…
ภาพเขียนพู่กันเว้นขาว1 (留白的水墨画)。ในศิลปะภาพเขียนพู่กันจีนจะมีส่วนที่เว้นว่างพื้นที่สีขาวไว้ค่อนข้างมาก ซึ่งพื้นที่สีขาวที่เว้นว่างไว้นี้มีความหมายลึกซึ้งเพื่อให้ทุกคนได้จินตนาการถึงมันได้โดยไม่ต้องลงน้ำหมึกวาด ถือเป็เสน่ห์ที่สำคัญอย่างหนึ่งของภาพเขียนพู่กันจีน
