"เอ่อ... ท่านลุงอู ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าใครเป็ผู้คิดค้น แต่เคยเห็นผู้อื่นใช้ รู้สึกว่ามันแปลกใหม่และน่าจะมีประโยชน์ ก็เลยจำไว้"
สีหน้าของอูฉวินซันเผยแววยินดี "เช่นนั้น ต้าเหนียงจื่อ ต่อไปหากมีคนขาหักหรือาเ็สาหัส ข้าสามารถทำไม้เท้าแบบนี้ขายได้หรือไม่"
"ได้สิ ทำไมจะไม่ได้ล่ะ นี่คือการช่วยเหลือผู้คน ท่านลุงอูขายได้ตามสบายเลย"
ไม่มีใครมาทวงถามลิขสิทธิ์จากท่านหรอก เซวียเสี่ยวหรั่นหัวเราะคิกคัก
เหลียนเซวียนเดินอยู่มุมหนึ่งของลานสวนเหลือบมองเธอปราดหนึ่ง แม่นางผู้นี้จิตใจกว้างขวาง สิ่งประดิษฐ์ที่มีความโดดเด่นสร้างสรรค์ไม่เหมือนใคร นางกลับรับปากยกให้ผู้อื่นตามอำเภอใจ
วิธีการถักเส้นไหมก็เหมือนกัน รับปากว่าจะสอนให้ผู้อื่นได้อย่างคล่องปาก
เธอมักศึกษาวิธีหาเงินอยู่มิใช่หรือ สองอย่างตรงหน้านี้ก็คือหนทางทำเงิน ไม่รู้ว่าในหัวของนางคิดอะไรอยู่กันแน่
เหลียนเซวียนยิ้มอย่างเอ้อระเหย
เซวียเสี่ยวหรั่นจะคิดอย่างไรได้ ของสองอย่างนี้เป็ของที่แสนจะธรรมดามากในยุคปัจจุบัน ซ้ำยังไม่มีเคล็ดลับอะไรซับซ้อน ดูแค่ครั้งสองครั้งก็เรียนรู้ได้แล้ว
การทำไม้เท้า คนธรรมดาเห็นแค่ครั้งเดียวก็จำลักษณะของมันได้แล้ว ต่อให้ไม่ใช่ช่างไม้ แต่ก็สามารถจ้างช่างไม้ทำขึ้นมาได้ไม่ยาก
ส่วนการถักไหมพรมก็เหตุผลเดียวกัน เหล่าหญิงสาวหัวไวมีฝีมือ แค่ทำความเข้าใจมากหน่อยก็สามารถเรียนรู้ฝีเข็ม ไม่แน่ว่าอาจพลิกแพลงสร้างลวดลายใหม่ๆ อีกมากมาย
แต่เธอคิดว่าหากถ่ายทอดของสองอย่างนี้แบบให้เปล่า ก็นับได้ว่าเป็การผลักดันให้เกิดการพัฒนาด้านอารยธรรมของมนุษย์ในยุคสมัยนี้ เป็การกระทำที่มีประโยชน์ต่อผู้คนมากมาย
ไม้เท้าค้ำยันสามารถช่วยเหลือคนพิการ เสื้อไหมพรมช่วยป้องกันความหนาวเย็นและให้ความอบอุ่นแก่คนทั่วไปในฤดูหนาว เซวียเสี่ยวหรั่นรู้สึกภาคภูมิใจ
อูฉวินซันดีใจมาก รีบกล่าวขอบคุณ
ตอนเก็บเงิน เขาบอกว่าไม่ต้องจ่ายค่าไม้เท้า และคิดเฉพาะราคาทุนของเครื่องเรือน
เซวียเสี่ยวหรั่นก็ไม่เกรงใจ ยังสั่งซื้อตู้เสื้อผ้าที่สามารถลั่นกุญแจได้ โต๊ะเก้าอี้อีกชุด และม้านั่งอีกสี่ตัว
อูฉวินซันส่งของมาทันที
หลังวุ่นวายอยู่ชั่วขณะหนึ่ง ในเรือนหลังเล็กก็มีของเพิ่มขึ้นมาไม่น้อย
เซวียเสี่ยวหรั่นตั้งตู้เสื้อผ้า โต๊ะเก้าอี้ไว้ในห้องของเหลียนเซวียน แล้วย้ายโต๊ะสามขาซอมซ่อตัวเดิมไปไว้ในห้องเล็กของตนเอง
เพราะเหลียนเซวียนต้องใช้เขียนเทียบยา แต่คนความรู้น้อยอย่างเธอ ใช้โต๊ะเก้าอี้แค่พอวางของได้ก็พอแล้ว
เหลียนเซวียนฟังเสียงเคลื่อนไหวไปมา ก็ไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกอย่างไร
แม่นางผู้นี้คิดถึงแต่ผู้อื่น
หลังจากอูฉวินซันไปแล้ว ยาของเหลียนเซวียนก็ต้มเสร็จเรียบร้อย
เซวียเสี่ยวหรั่นเทยาที่ตั้งไว้จนเย็นใส่ชามอย่างระมัดระวัง แล้วยกน้ำแกงยาที่เหลือไปเก็บในห้องของเหลียนเซวียน รอไว้ตอนมื้อค่ำค่อยนำออกมาอุ่นก็ดื่มได้
เหลียนเซวียนจะพูดได้หรือไม่เกี่ยวพันถึงเื่ใหญ่ เซวียเสี่ยวหรั่นคิดว่าการวางยาที่ต้มแล้วในห้องของเขาจะช่วยให้เธอสบายใจมากกว่า
หลังจากใช้ไม้เท้าเดินรอบเรือนสองรอบ เหลียนเซวียนไม่ได้กลับห้องทันที เซวียเสี่ยวหรั่นย้ายเก้าอี้จากห้องโถงมาตั้งที่ระเบียงให้เขานั่งพักผ่อน
แล้วแวะบอกซีมู่เซียงให้มาวัดตัวเหลียนเซวียน
ขณะวัดตัวให้ขนาดเขย่งเท้าก็ยังเกือบไม่ถึง
เซวียเสี่ยวหรั่นลอบอมยิ้ม
ซีมู่เซียงสูงประมาณหนึ่งเมตรห้าสิบกว่าเหลียนเซวียนสูงอย่างน้อยหนึ่งเมตรแปดสิบขึ้นไป ส่วนสูงต่างกันค่อนข้างมาก
"เอ้า ยาเย็นกำลังดีแล้ว" เซวียเสี่ยวหรั่นส่งน้ำแกงยาสีดำให้เขา
เหลียนเซวียนผงกศีรษะขอบคุณ ก่อนรับมาอย่างช้าๆ
"ต้องกินหมดกี่ชุดท่านถึงจะพูดได้" เซวียเสี่ยวหรั่นเห็นเขาดื่มยาคิ้วไม่กระดิกแม้แต่น้อย ก็รู้สึกเลื่อมใสมาก
น้ำแกงยาอุ่นขมเฝื่อนกลืนลงคออย่างราบรื่น รสเผ็ดร้อนราวกับไฟขุมหนึ่งแต่เหลียนเซวียนสีหน้าไม่เปลี่ยนด้วยซ้ำ ดื่มคำแล้วคำเล่า
เซวียเสี่ยวหรั่นรับถ้วยเปล่ามา พลางจ้องเขาเขม็ง ประหนึ่งว่ากินยาถ้วยนี้ลงไปแล้วเขาจะสามารถเปล่งเสียงได้
เหลียนเซวียนััได้ถึงสายตาร้อนแรงของเธอ มุมปากหยักโค้งน้อยๆ ก่อนกลืนน้ำแกงยาคำสุดท้ายลงไป
หลังจากนั้นก็ค่อยๆ เหยียดนิ้วมือออกสี่นิ้ว
"สี่ชุดเหรอ อืม ก็อีกสามวันสินะ" เซวียเสี่ยวหรั่นเม้มริมฝีปาก รู้สึกว่าเวลาผ่านไปช้าเหลือเกิน
เหลียนเซวียนหัวเราะเบาๆ โดยไม่รู้ตัว แท้จริงแล้วยาสามชุดก็เปล่งเสียงได้แล้ว แต่ปริมาณที่เขาบอกประกันผลได้มากกว่า
"เช่นนั้นก็ดี พวกเราแค่อดทนรอ ขอเพียงหายได้ ระยะเวลาไม่ใช่ปัญหา รักษาคอหายแล้ว ค่อยมารักษาขา ค่อยเป็ค่อยไปทีละอย่าง ต้องมีสักวันที่รักษาหาย" เซวียเสี่ยวหรั่นยิ้มตาหยี ก่อนหยิบถ้วยชามไปล้าง
เธอเฝ้ารอดูวันที่เขาจะหายดี ว่าจะมีความสง่างามและน่าเกรงขามเพียงใด
ดวงตะวันเดือนสามอันอบอุ่นสาดส่องลงมาบนพื้น วสันตฤดูแสนสดใสเหมือนส่งกลิ่นหอมอันน่ารื่นรมย์ ทำให้เหลียนเซวียนรู้สึกอบอุ่นไปทั่วร่าง หัวใจก็มีกระแสอุ่นวาบผ่านเบาๆ
เขามองไปที่ห้องครัวไม่ขยับอยู่เป็เวลานาน
เซวียเสี่ยวหรั่นล้างชามเสร็จ ก็รินน้ำอุ่นมาให้เหลียนเซวียน
เขาไปไหนมาไหนเองได้แล้ว ดื่มน้ำมากหน่อยก็ไม่มีปัญหา เมื่อวานเพื่อที่จะเลี่ยงปัญหาการอั้นปัสสาวะของเขา เซวียเสี่ยวหรั่นจึงไม่กล้าให้ดื่มน้ำมากเกินไป
เซวียเสี่ยวหรั่นมีจิตใจดั่งมารดา เป็ห่วงแม้กระทั่งความรู้สึกของเหลียนเซวียน
ยังมีเวลาอีกพักหนึ่งก่อนถึงเที่ยงวัน เซวียเสี่ยวหรั่นให้เหลียนเซวียนนั่งอาบแดด ส่วนเธอก็เข้าไปในห้องโถง สนทนากับซีมู่เซียง
"น้องมู่เซียง วันนี้วันที่เท่าไรเดือนใด"
พวกเขายังไม่รู้วันเวลาที่แท้จริง
"วันที่สิบเดือนสาม" ซีมู่เซียงมองเธอด้วยสายตาแปลกๆ
"แหะๆ พวกเราอยู่ในป่านานจนจำเวลาไม่ได้แล้ว" เซวียเสี่ยวหรั่นรีบหาข้ออ้าง ก่อนถามอีกว่า "น้องมู่เซียง จากขู่หลิงถุนของพวกเ้าไปแคว้นฉีต้องใช้เวลานานแค่ไหน"
ซีมู่เซียงตกตะลึง นึกถึงพี่ชายเคยบอก สองสามีภรรยาสกุลเหลียนดูคล้ายคนแคว้นฉี
แคว้นฉีแข็งแกร่งทรงอำนาจ ชีวิตของประชาชนก็อยู่ดีกินดีกว่าแคว้นหลี ความวุ่นวายก็น้อยกว่ามาก
ดังนั้นประชาชนของแคว้นหลีจึงริษยาคนแคว้นฉีมาก
"ต้าเหนียงจื่อเป็คนแคว้นฉีหรือเ้าคะ" นางถามกลับหนึ่งประโยค
"ข้าไม่ใช่ แต่เหลียนเซวียนใช่" เซวียเสี่ยวหรั่นสั่นศีรษะ
ซีมู่เซียงตกตะลึง หลางจวินสกุลเหลียนเป็คนแคว้นฉี นางก็น่าจะเป็คนแคว้นฉีเหมือนกันมิใช่หรือ
"จากขู่หลิ่งถุนไปแคว้นฉีต้องใช้เวลานานเท่าไร" เซวียเสี่ยวหรั่นถามอีกครั้ง
ซีมู่เซียงได้สติกลับมา "ข้าไม่ทราบ ข้าเองก็ไม่เคยไป แต่ได้ยินคนแก่ในหมู่บ้านบอกว่าอยู่ไกลมาก นั่งเกวียนอย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาหนึ่งเดือน
หนึ่งเดือน ล้อเล่นน่า ไหนบอกว่าแคว้นหลีเล็กมากไม่ใช่หรือ เหตุใดระยะทางถึงไกลขนาดนั้น เซวียเสี่ยวหรั่นพลันรู้สึกอ่อนเปลี้ยเพลียแรง
"ที่นี่อยู่สุดเขตทางตะวันตกเฉียงใต้ อยากจะขึ้นเหนือ ก็ต้องข้ามน้ำข้ามูเามากมาย เส้นทางยากลำบาก ดังนั้นจึงค่อนข้างช้า" ซีมู่เซียงเห็นนางสีหน้าห่อเหี่ยวจึงรีบอธิบาย
เซวียเสี่ยวหรั่นพยักหน้าอย่างจนใจ นั่นสินะ การเดินทางผ่านูเาลูกแล้วลูกเล่าย่อมเป็คนละเื่กับการเดินด้วยเส้นทางราบ
ยิ่งไปกว่านั้น ภายในของแคว้นหลีไม่ค่อยสงบนัก ซีมู่เฉียงบอกว่าแม้สองปีนี้ศึกภายในจะน้อยลงมากแล้ว แต่พวกโจรป่าอาละวาดรายทางยังมีไม่น้อย หาก้าเดินทางไกล ทางที่ดีควรตามคาราวานพ่อค้าขนาดใหญ่ หรือคณะผู้คุ้มกันจะปลอดภัยกว่า
เหลียนเซวียนอยากกลับแคว้นฉี ก็ต้องเตรียมตัวให้พร้อมสรรพ
