ฮูหยินนายทะเบียนยิ้มอย่างอ่อนโยน นางเดินเข้ามาแล้วพูดขึ้น "น้องซ่งอย่าเรียกห่างเหินเช่นนี้เลย ข้าชื่อจังหรัวถิง เ้าเรียกข้าว่าพี่จังก็พอแล้ว หรือเรียกว่าพี่หรัวถิงก็ได้"
จังหรัวถิงและนายทะเบียนมีความคิดเหมือนกัน ยุคสมัยนี้มีหมอหญิงน้อยยิ่งนัก อีกทั้งด้วยตำแหน่งและอำนาจของพวกเขา ไม่อาจเลี้ยงดูบ่มเพาะหมอหญิงของตนเองได้
ขอเพียงผูกมิตรกับซ่งอวี้ วันข้างหน้าหากไม่สบายขึ้นมาก็จะสามารถให้ซ่งอวี้มาตรวจดูอาการได้ ทั้งยังไม่ต้องลำบากใจกับเื่ส่วนตัว
ซ่งอวี้คล้อยตาม เรียกจังหรัวถิงว่าพี่สาวตามที่นางบอก "พี่จัง โปรดยื่นมือของพี่ออกมา ข้าจะจับชีพจรให้ ดูว่าสุขภาพร่างกายของพี่มีปัญหาอย่างไร"
นางเห็นนายทะเบียนลำบากใจที่จะพูดเื่นี้ จึงไม่ได้ถาม ถึงอย่างไรไม่ว่าจังหรัวถิงจะป่วยเป็โรคอะไร แค่จับชีพจรดูก็รู้แล้ว ไม่จำเป็ต้องเปลืองน้ำลายถามให้มากความ
จังหรัวถิงยิ้มแล้วพูดแฝงความนัย "น้องซ่งเป็หมอได้ ร่ำเรียนวิชาแพทย์ ย่อมเป็คนฉลาดเหนือผู้อื่น ข้าที่เป็พี่คนนี้โง่เขลา ทำได้แค่เพียงดูแลสามีและลูก โดยเฉพาะลูกของข้าสนิทสนมกับข้ามาก เห็นข้าเป็ที่พึ่งพิงทั้งชีวิต กตัญญูกับข้าเสมอ เมื่อได้ยินว่าข้าไม่สบายเขาจึงร้อนใจที่สุด"
ถ้อยคำนี้พูดขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ทำให้ซ่งอวี้ฉงนเล็กน้อย ฮูหยินนายทะเบียนพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไรกันแน่?
ทางด้านจังหรัวถิงนางไม่คิดที่จะให้ซ่งอวี้ตอบอะไร นางพูดต่อ "น้องซ่งน่าจะรู้ เวลานี้โลกช่างเคร่งครัดกับสตรี อีกทั้งข้าก็เป็แม่ แล้วจะทำลายชื่อเสียงของผู้อื่นได้อย่างไร ทั้งที่สุขภาพไม่ดี แต่กลับต้องคอยกังวลไม่ให้ส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงของลูกสาวและลูกชาย หากไม่มีหมอเช่นน้องซ่งเกรงว่าแม้ข้าต้องตายก็คงไม่กล้าออกมาหาหมอ"
จังหรัวถิงยิ้มแล้วจิบน้ำชา ดวงหน้าเกลี้ยงเกลาของนางเปี่ยมไปด้วยความอ่อนโยน
ซ่งอวี้ยิ้มบางๆ พลางครุ่นคิด หากเป็ตอนที่นางเพิ่งเดินทางทะลุมิติมา เกรงว่าคงจะไม่เข้าใจคำพูดของพี่จังที่ไม่มีปี่มีขลุ่ยเช่นนี้ คงจะไม่รู้ว่าพี่จังอยากจะสื่อถึงอะไรกันแน่
"พี่จังวางใจเถอะ การไม่แพร่งพรายข่าวลือเป็คุณธรรมของหมอ ในเมื่อข้าเป็หมอแล้ว เช่นนั้นย่อมต้องรักษาจรรยาบรรณ” ซ่งอวี้แสดงทัศนคติของตนอย่างตรงไปตรงมา
นางไม่ใช่คนที่ชอบเอาเื่ของผู้อื่นไปพูดนินทาว่าร้ายอยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นการมาตรวจดูอาการของจังหรัวถิงในโรงน้ำชาครั้งนี้ก็มีเป้าหมายเพื่อผูกมิตรกับนายทะเบียน
ในเมื่อ้าที่จะผูกมิตรแล้วจะแพร่งพรายได้อย่างไร นางแทบไม่อยากให้มีใครรู้เื่นี้ เช่นนั้นนายทะเบียนก็จะยิ่งซาบซึ้งในน้ำใจของนาง
เมื่อได้รับคำสัญญาที่ตน้าจังหรัวถิงก็เงียบลง การพูดอย่างเหมาะสมดีทั้งกับตนเองและผู้อื่น หากพูดเกินไปก็รังแต่จะเป็การทำให้ผิดใจกัน จังหรัวถิงวางตัวอย่างเหมาะสม หลังจากรับรู้แล้วว่าซ่งอวี้จะไม่แพร่งพรายเื่ของนาง นางก็ยื่นมือออกไปให้ซ่งอวี้จับชีพจร
ภายในห้องเงียบสงัดลงในชั่วพริบตา สายตาของทุกคนจับจ้องไปที่ซ่งอวี้ ส่วนซ่งอวี้กลับหลับตาลงจับชีพจรด้วยความตั้งใจ
หลังจากผ่านไปนานพักใหญ่ ซ่งอวี้ค่อยพูดขึ้น "ไม่รู้ว่าพี่จังสวมใส่ของสิ่งนั้นมานานเพียงใด"
โรคของหญิงสาวมีเพียงแค่นี้ ซ่งอวี้ใช้เวลาเพียงครู่หนึ่งก็วินิจฉัยความผิดปกติในร่างกายของจังหรัวถิงได้แล้ว ถึงขั้นรู้ว่าเพราะเหตุใดนางจึงเป็เช่นนี้ ซ่งอวี้พอจะเดาได้คร่าวๆ แล้ว แต่สิ่งที่ทำให้นางไม่มั่นใจคือของสิ่งนั้นอยู่กับจังหรัวถิงมานานเพียงใด? เพราะถึงอย่างไรของสิ่งนั้นก็ส่งผลกระทบต่อร่างกายของหญิงสาวอย่างมาก
จังหรัวถิงได้ฟัง ความเหี้ยมโหดและคับแค้นใจก็ฉายขึ้นในแววตา แต่ความรู้สึกนี้ปรากฏขึ้นเพียงครู่เดียวก็ถูกกลบด้วยความอ่อนโยน "น้องซ่งช่างมากความสามารถ เพียงแค่นี้ก็เดาได้แล้ว"
ซ่งอวี้ก้มมองต่ำ ไม่สงสัยว่าเพราะเหตุใดของสิ่งนี้จึงอยู่ใกล้จังหรัวถิงได้ นางพูดอธิบาย "พี่จังโปรดอย่าตำหนิ การที่หมอถามไถ่ก็เพียงแค่อยากจะมั่นใจในอาการป่วยของคนไข้เท่านั้น แล้วจะได้รู้ว่าควรจะทานยาอย่างไร ข้าจึงจำต้องถาม หากพี่จังอยากมีร่างกายที่แข็งแรงได้โปรดบอกข้าด้วย"
นางกลัวจังหรัวถิงจะคิดว่านางมีนิสัยแปลกๆ จึงอธิบายเหตุผลของตนเองให้จังหรัวถิงฟัง
ถ้อยคำนี้ทำให้สีหน้าของจังหรัวถิงดีขึ้น นางส่งสายตาบอกให้สาวใช้คนสนิทออกไป
ซ่งอวี้เห็นจังหรัวถิงทำเช่นนี้ รู้ดีว่าเื่ที่จังหรัวถิงจะพูดนั้น ต้องเกี่ยวข้องกับสาเหตุในการป่วยแน่นอน ดังนั้นนางจึงบอกให้เสี่ยวหมานออกไปเช่นกัน
"เวลานี้ในห้องมีแค่ท่านและข้าสองคนเท่านั้น พี่จังได้โปรดบอกข้า ข้าจะได้รักษาท่าน"
จังหรัวถิวกระอักกระอ่วนที่จะพูดแต่ไม่พูดก็ไม่ได้ นางจ้องมองซ่งอวี้ครู่หนึ่ง จู่ๆ ก็ลุกขึ้นทำความเคารพซ่งอวี้โดยเป็การเคารพอย่างเป็ทางการ
"วิชาแพทย์ของน้องซ่งช่างล้ำหน้าจริงๆ ข้าไม่ได้พูดอะไร แต่น้องซ่งน่าจะพอเดาได้แล้วกระมัง ถูกต้อง เดิมทีสุขภาพร่างกายของข้าแข็งแรงไม่ได้มีอาการมีบุตรยาก" จังหรัวถิงยิ้มเศร้า ค่อยๆ บอกเหตุผล
ทางด้านเฟิงเฉิงที่นั่งอยู่ห้องข้างๆ เขาก็ได้ยินแผนการชั่วร้ายระหว่างสตรีด้วยกันเอง
เวลานี้จังหรัวถิงอายุยี่สิบสามแล้ว นางแต่งงานกับนายทะเบียนเจ็ดปี แต่ตลอดเจ็บปีมานี้กลับไม่มีบุตรชายสืบสกุล เพียงเพราะในเรือนมีคนหนึ่งคอยสร้างเื่
เวลานี้อนุภรรยาสามและอนุภรรยาสี่ปกติอย่างมาก ั้แ่จังหรัวถิงแต่งงานกับนายทะเบียน แม่สามีก็คอยบอกนางเสมอ บอกให้นางเป็ภรรยาที่ดีและต้องรู้จักกตัญญูรับอนุภรรยามาให้สามีของนาง หลังจากนั้นก็รับอนุภรรยาซึ่งเป็หลานสาวของแม่สามีเข้าตระกูล
อนุภรรยาคนนั้นอาศัยว่าตนมีแม่สามีของให้ท้ายจึงลำพองใจยิ่งนัก มักจะโต้เถียงจังหรัวถิง แม้นายทะเบียนจะคอยปกป้องจังหรัวถิงแต่ก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องอดทนกับอนุภรรยาคนนี้
แต่ว่าวันหนึ่งหลังจากอนุภรรยาคนนี้ตั้งครรภ์นางก็กลายเป็คนที่อ่อนโยนอย่างมาก ทุกครั้งที่พบเจอจังหรัวถิงก็ไม่โต้เถียงอีก
จังหรัวถิงคิดว่าอนุภรรยาคนนี้เปลี่ยนไปแล้ว ในที่สุดทั้งสองก็อยู่ร่วมกันในเรือนหลังอย่างสงบ จังหรัวถิงคลายความระมัดระวังลง เปิดใจยอมรับอนุภรรยา ถึงขั้นพกถุงหอมที่อนุภรรยาให้ติดตัว
"ในถุงหอม มีชะมดเชียงใช่หรือไม่?" เมื่อฟังเื่ราวในอดีตถึงตรงนี้ ในที่สุดซ่งอวี้ก็เข้าใจแล้วว่าชะมดเชียงในตัวจังหรัวถิงมาจากที่ใด
ลูกไม้เช่นนี้ ยากจะป้องกันจริงๆ
จังหรัวถิงพยักหน้าด้วยความเศร้า พูดด้วยแววตาหม่นหมอง "นางซ่อนเอาไว้อย่างดี แม้แต่ข้าก็ดูไม่ออก คิดว่านางกลับตัวกลับใจแล้วจริงๆ หากไม่ใช่เพราะในตอนหลังข้าตั้งครรภ์ ท่านแม่จึงเชิญหมอเลื่องชื่อมาจับชีพจรให้ข้า กระทั่งทุกวันนี้ข้าก็คงยังไม่รู้ว่านางจิตใจอำมหิตเช่นนี้"
แต่น่าเสียดายที่สายไปแล้ว นางพกชะมดเชียงติดตัวมานานหลายเดือน ฤทธิ์ร้ายแรงของยาแทรกซึมเข้าไปในร่างกายของนางแล้ว ทำลายร่างกายของนาง นางตั้งครรภ์ได้ไม่ถึงสองเดือนก็มีสัญญาณของการแท้งแล้ว สุดท้ายได้แต่เสียลูกไปด้วยความเศร้า
"หวังว่าน้องซ่งจะรักษาข้าได้ ข้าอยากจะมีลูกเป็ของตนเองจริงๆ" จังหรัวถิงขอร้องจากใจจริง แววตาของนางเปี่ยมไปด้วยความปรารถนาที่จะเป็แม่คน
ซ่งอวี้ไม่ได้ตอบตกลงพร่ำเพรื่อ หลังจากที่นางได้ฟังเื่ทั้งหมดจึงเริ่มเอ่ยถาม "ตอนที่หมอคนนั้นจับชีพจรของพี่จัง หมอพูดว่าอย่างไรบ้าง?"
จังหรัวถิงรู้ดีว่าเื่นี้เกี่ยวข้องกับการที่ตนจะมีลูกได้หรือไม่ ดังนั้นจึงหวนคิดกลับไป ผ่านไปนานหนึ่งจิบน้ำชาค่อยพูดขึ้น "ตอนนั้นหมอบอกว่าข้ามีแนวโน้มที่จะแท้ง จึงถามเื่อาหารการกินของข้า ตรวจดูของใกล้ตัว สุดท้ายจึงมั่นใจว่าในถุงหอมมีชะมดเชียง"
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้