อวิ๋นจื่อแวะพักที่โรงเตี๊ยมและเผชิญกับการนอนไม่หลับอีกครั้ง
ค่ำคืนในูเาจิ่วอี๋ไม่ได้เงียบสงบอย่างที่เห็น
ก่อนหน้านี้ชิงซีก็หายไปและจู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้น ส่วนระหว่างที่นางกำลังเดินทางลงจากูเาก็ได้พบกับขุนนางผู้หนึ่งซึ่งไม่รู้ว่าเป็ใคร
ูเาจิ่วอี๋เป็สถานที่ที่ฮ่องเต้หลายพระองค์สิ้นพระชนม์
ชิงซีพาอวิ๋นจื่อมายังูเาแห่งนี้เพื่อให้นางไม่ลืมว่าตนเองเป็องค์หญิงใหญ่แห่งตำหนักเหวินฮวา ภาระหนักอึ้งบนไหล่ของอวิ๋นจื่อคืออนาคตของราชวงศ์อวิ๋นเมิ่ง
จนถึงต้นยามไฮ่[1] อวิ๋นจื่อก็ยังไม่สามารถข่มตาหลับได้
ทันใดนั้นประตูก็เปิดออก
อวิ๋นจื่อมองไม่เห็นว่าเป็ใคร นางไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากแสร้งทำเป็หลับ มือของนางสอดเข้าไปใต้หมอนเพื่อเตรียมหยิบมีดสั้นที่ซ่อนไว้
นางหวาดกลัวจับใจ
ทันใดนั้นร่างหนึ่งก็โผล่มาที่ข้างเตียง
นางได้ยินเพียงเสียงฝีเท้าที่เบามาก
“ข้ามาที่นี่เพื่อหลบภัยเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาร้ายใดๆ พี่ชายโปรดยกโทษให้ข้าด้วย”
เสียงนี้ทำให้อวิ๋นจื่อเกิดความคุ้นเคยเล็กน้อย
ดูเหมือนจะเป็เสียงของขุนนางที่นางพบบนูเา
อวิ๋นจื่อกลัวมาก นางอยากส่งเสียงเรียกใครสักคนให้เข้ามา แต่ก็กลัวว่าการทำแบบนั้นจะทำให้ฝ่ายตรงข้ามลงมืออย่างอำมหิต
อวิ๋นจื่อจึงไม่กล้าส่งเสียง
ทันใดนั้น ชายแปลกหน้าก็เลิกผ้าห่มแล้วขึ้นมาบนเตียงอย่างรวดเร็ว
ร่างของอวิ๋นจื่อแข็งค้างราวกับตกลงไปในหล่มน้ำแข็ง
ลมหายใจของบุรุษค่อยๆ แผ่กระจายออกมาทั่วผ้าห่ม อวิ๋นจื่อรู้สึกถึงการเต้นของหัวใจและอุณหภูมิจากร่างกายของชายคนนั้น
นางไม่คิดว่าเขาจะกล้าหาญถึงเพียงนี้
นางกลั้นหายใจและขดตัวเหมือนลูกแมว
นางหวาดกลัวจนลืมไปแล้วว่ามีมีดสั้นอยู่ใต้หมอน
ไม่นานก็ได้ยินเสียงฝีเท้าที่เร่งรีบดังมาจากด้านนอก
เมื่อเสียงฝีเท้าค่อยๆ จางหายไป ชายในความมืดก็กล่าวด้วยเสียงต่ำว่า “เหตุใดเ้าถึงไม่พูดอะไรเลย? หรือเ้าไม่ใช่บุรุษแต่เป็สตรี?”
อวิ๋นจื่อกัดฟันและกล่าวลอดไรฟันว่า “ข้าเป็สตรีจากตระกูลซูแห่งเมืองหวยโจว โปรดระวังคำพูดของท่านด้วย”
ชายที่ซ่อนตัวอยู่ในผ้าห่มดูเหมือนจะใมาก เขากล่าวว่า
“คุณหนู ข้าแซ่เย่ล่วงเกินเ้าโดยไม่เจตนาแล้ว ข้าจะให้คำอธิบายกับตระกูลซูแห่งเมืองหวยโจวอย่างแน่นอน”
เมื่ออวิ๋นจื่อได้ยินคำพูดนั้นนางก็จงใจกระชากเสียงทันที “ไปให้พ้น!”
ชายบนเตียงลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว “ขอบคุณ คุณหนูซู”
หลังจากที่ชายคนนั้นพูดจบ เขาก็ะโออกไปทางหน้าต่างและหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
หัวใจของอวิ๋นจื่อเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก
เมื่อกี้นางน่าจะแทงเขาไปเสีย
ตระกูลซูแห่งเมืองหวยโจวอะไรกัน!
แน่นอนว่านางใจอ่อนเกินไป
หากโจวยี่ตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกันกับนาง สตรีชั่วร้ายคนนั้นคงไม่ลังเลที่จะฆ่าคนอย่างแน่นอน
อวิ๋นจื่อรู้สึกว่าตัวเองยังขาดความอำมหิตอย่างที่สตรีทรงอำนาจควรจะมี
อากาศ่กลางคืนค่อนข้างเย็นสบาย
อวิ๋นจื่อลุกขึ้นจุดตะเกียงและปิดหน้าต่าง
เมื่อความเหนื่อยล้าถาโถมเข้าสู่จิตใจ ในที่สุดนางก็ผล็อยหลับไปโดยไม่รู้ตัว
เมื่ออวิ๋นจื่อตื่นขึ้น ดวงอาทิตย์ก็ลอยสูงแล้ว
นางขอให้คนตระกูลมู่พานางกลับเมืองหยงโจวโดยเร็วที่สุด
คนตระกูลมู่ไม่ได้ตั้งคำถาม พวกเขารีบเตรียมรถม้าให้ตามที่อวิ๋นจื่อร้องขอ
เมื่อนั่งอยู่ในรถม้าอวิ๋นจื่อก็พิจารณาสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนอย่างถี่ถ้วน
ชายหนุ่มผู้นั้นบอกว่าตนเองแซ่เย่ นางรู้จักคนผู้หนึ่งที่แซ่เย่ นั่นคือ เย่เซียงผู้เป็เสนาบดีฝ่ายขวา คนคนนี้จะเป็ทายาทของเย่เซียงที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของแผ่นดินในตอนนี้หรือไม่?
นางไตร่ตรองอย่างรอบคอบ เป็ไปได้หรือไม่ว่าเขามีสายเืเดียวกับเสนาบดีเย่?
นางจำได้รางๆ ว่าเคยได้ยินเสด็จพ่อกล่าวถึงเย่เช่อ เขาเป็บุตรคนโตของเย่เซียงและเป็ที่โปรดปรานของท่านตาของเขามาก เขาเติบโตขึ้นในกองทัพที่ประจำการอยู่ชายแดน แม่ทัพใหญ่หรือแม่ทัพเจิ้นหนานคือท่านตาของเขา
อวิ๋นจื่อจำได้ว่าแม่ทัพเจิ้นหนานต้องประจำการอยู่ชายแดนตลอดทั้งปี
แม่ทัพเจิ้นหนานจะทำอย่างไรหากเขารู้ว่าบุตรเขยของเขาแย่งชิงบัลลังก์และเป็ผู้สมรู้ร่วมคิดในการก่อฏ? ท้ายที่สุดแม่ทัพเจิ้นหนานก็เป็ขุนนางสามแผ่นดิน เขาเป็ขุนนางตงฉินที่เสียสละความสุขส่วนตัวเพื่อผลประโยชน์ของอาณาจักร นางมักได้ยินคำยกย่องสรรเสริญคุณความดีของแม่ทัพเจิ้นหนานจากปากเสด็จพ่อเสมอ ไม่อย่างนั้นตระกูลอวิ๋นจะปล่อยให้บุตรเขยของแม่ทัพที่ประจำการอยู่ชายแดนและมีอำนาจการทหารอยู่ในมือก้าวขึ้นมาเป็เสนาบดีฝ่ายขวาผู้มีอำนาจเหนือบุรุษนับหมื่นได้อย่างไร?
เมืองหยงโจวอยู่ติดกับเมืองเหวยโจวซึ่งเป็เมืองชายแดน ถ้าบุคคลนี้มีความเกี่ยวข้องกับเสนาบดีเย่จริง ก็เป็ไปได้มากว่าเขาจะเป็ทายาทสายตรงของตระกูลเย่ผู้มีนามว่าเย่เช่อ
เป็เขาจริงๆ หรือ?
หากเป็เขาจริง นางน่าจะฆ่าเขาไปั้แ่เมื่อวานนี้ เย่เซียงควรได้ลิ้มรสความรู้สึกของการสูญเสียผู้เป็ที่รักเสียบ้าง
อวิ๋นจื่อรู้สึกเสียใจเล็กน้อย
อย่างไรก็ตาม ในไม่ช้านางก็สลัดเื่นี้ออกจากหัวโดยสิ้นเชิง
ทันใดนั้น รถม้าก็หยุดการเคลื่อนไหวกะทันหัน
อวิ๋นจื่อกำลังจะสั่งให้คนไปถามว่ามีเหตุอันใด ผู้คุ้มกันตระกูลมู่ก็เข้ามารายงานว่า “คุณหนู มีกลุ่มนักเดินทางกำลังขวางรถม้าของเราอยู่ขอรับ”
อวิ๋นจื่อจึงสั่งให้คนไปสอบถามว่าฝ่ายตรงข้าม้าอะไร
ผู้คุ้มกันตระกูลมู่กลับมารายงานว่า “คนคนนั้นแจ้งว่า้าพบคุณหนู”
หลังจากได้ยินเช่นนั้น นางก็เข้าใจทันที คนคนนี้น่าจะเป็คนเดียวกับเมื่อวาน นางไม่พอใจมากและบอกให้ผู้คุ้มกันตระกูลมู่เพิกเฉยต่ออีกฝ่ายและพานางกลับไปเมืองหยงโจวให้เร็วที่สุด
แต่รถม้าของอวิ๋นจื่อวิ่งไปได้ไม่ไกลนัก นางก็ได้ยินเสียงะโดังมาจากด้านหลัง
“คุณหนูจากตระกูลซูแห่งเมืองหวยโจวจะไม่ยอมพบข้าจริงๆ หรือ?”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ อวิ๋นจื่อก็เพิกเฉยต่อฝ่ายตรงข้ามโดยสิ้นเชิง นางสั่งให้ผู้คุ้มกันตระกูลมู่พานางออกจากที่นี่ให้เร็วที่สุด
นางไม่้าข้องแวะกับคนแซ่เย่ ไม่ต้องกล่าวถึงเื่ที่ว่าเขาอาจเป็ลูกหลานของตระกูลเย่แห่งเมืองหลวง นางไม่อยากมองหน้าเขาด้วยซ้ำ สักวันคนตระกูลเย่จะต้องตายภายใต้คมกระบี่ของนาง
ดังนั้นนางจึงไม่้าทำความรู้จักกับพวกเขา
ถ้าเป็ไปได้ นางก็ไม่อยากให้พวกเขารู้จักนางเช่นกัน การทำเช่นนี้ช่วยให้เหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในภายภาคหน้าดำเนินไปอย่างสะดวกราบรื่นโดยไม่ติดขัดอะไร
อวิ๋นจื่อคิดเื่นี้มาตลอดทาง ทั้งยังคิดย้อนกลับไปยังเื่ราวในอดีต จนไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ารถม้าวิ่งเข้าประตูเมืองั้แ่ตอนไหน
คนตระกูลมู่ส่งนางที่หอซีฮวา และกล่าวลาอย่างนอบน้อม
อวิ๋นจื่อคิดว่านี่เป็คำสั่งของชิงซี ดังนั้นนางจึงไม่ถามอะไรมาก
หลังจากวันนี้ นางต้องไปที่เรือนตะวันตกเพื่อเรียนรู้วิธีปฏิบัติตัวในหอคณิกา
อวิ๋นจื่อรู้ว่าเส้นทางข้างหน้ายากลำบากกว่าการอยู่ในวังหลวง
แต่แล้วอย่างไรล่ะ?
ต่อให้เต็มไปด้วยขวากหนาม แต่นางก็ตัดสินใจแล้ว
นางไม่มีทางเลือกอื่น
ทันทีที่อวิ๋นจื่อก้าวเข้าไปข้างใน นางก็ถูกพาไปยังห้องส่วนตัวบนชั้นสอง
หลังจากเปิดประตูเข้าไปอวิ๋นจื่อก็ได้พบกับจินเหนียงที่รออยู่ก่อนแล้ว
อวิ๋นจื่อไม่สามารถกลั้นน้ำตาได้อีกต่อไป นางกล่าวทั้งน้ำตาว่า “จินเหนียง อาจื่อคิดว่าจะไม่ได้พบเ้าเสียแล้ว”
จินเหนียงไม่ได้กล่าวอะไร นางเพียงกอดนายเหนือหัวของนางไว้แน่นพลางเช็ดน้ำตาออกจากใบหน้านวลอย่างแ่เบา
อวิ๋นจื่อร้องไห้อยู่ครู่หนึ่งจากนั้นก็เงยหน้าขึ้น นางจึงเห็นว่ามู่ชิงซ่งก็อยู่ที่นี่ด้วย
อวิ๋นจื่อละล่ำละลักกล่าว “ขออภัยคุณชายมู่ด้วย อาจื่อเสียมารยาทต่อหน้าคุณชายแล้ว”
มู่ชิงซ่งเอ่ยอย่างใจเย็น “ไม่เป็ไรแม่นางปี้เหยียน”
มู่ชิงซ่งจงใจเน้นคำว่า “แม่นางปี้เหยียน”
อวิ๋นจื่อรู้ว่าเขาหมายถึงอะไร นางจึงรีบกล่าวกับจินเหนียงทันที “จินเหนียง ต่อไปนี้เ้าต้องเรียกข้าว่าปี้เหยียน”
จินเหนียงพยักหน้าพลางประคองอวิ๋นจื่อให้นั่งบนเก้าอี้
มู่ชิงซ่งกล่าวกับจินเหนียงว่า “จินเหนียง ข้าได้พูดทุกเื่ที่จำเป็ต้องพูดแล้ว จากนี้ไปต้องปล่อยให้เป็ไปตามโชคชะตา”
จินเหนียงพยักหน้าและเดินออกจากห้องไปอย่างว่าง่าย
ทันทีที่จินเหนียงจากไป อวิ๋นจื่อก็ถามว่า “คุณชายมู่ เกิดอะไรขึ้นกับจินเหนียง?”
มู่ชิงซ่งกล่าวว่า “แม่นางโปรดเข้าใจด้วย ข้าไม่ได้ทำผิดอันใดต่อนาง จินเหนียงได้ถูกส่งไปอยู่หอจุ้ยฮวนแล้ว หากแม่นางตั้งหลักได้อย่างมั่นคงจินเหนียงจึงจะถูกส่งมาดูแลเ้าอีกครั้ง”
อวิ๋นจื่อพยักหน้า
ในระหว่างนี้มู่ชิงซ่งพยายามบอกเล่าเื่ราวหลายอย่าง แต่ดูเหมือนอวิ๋นจื่อจะไม่ได้ฟังแม้แต่ประโยคเดียว
มู่ชิงซ่งก็ทำอะไรไม่ถูกเช่นกัน ดังนั้นเขาจึงให้คนไปส่งนางที่เรือนตะวันตก
ในตอนเย็นอวิ๋นจื่อก็ได้พบชิงซีอีกครั้ง
ชิงซียังคงมีรอยยิ้มที่บริสุทธิ์ประดับบนใบหน้า ดวงตาที่ใสเหมือนหยดน้ำยังคงงดงามเช่นเคย ทันทีที่พบกันชิงซีก็กล่าวว่า “เ้ารู้จักคุณชายใหญ่ตระกูลเย่หรือไม่?”
อวิ๋นจื่อพยักหน้า
มู่ชิงซียิ้ม “เ้ารู้หรือไม่ว่าวันนี้เขาไปที่จวนตระกูลซูในเมืองหวยโจว และบอกว่าเขา้าแต่งงานกับคุณหนูซู นายท่านซูเกือบจะทุบตีเขาจนตาย!”
อวิ๋นจื่อรีบถาม “นายท่านซูทำเช่นนี้เพราะเหตุใดหรือ?”
มู่ชิงซีกล่าวว่า “แน่นอนว่าย่อมเป็เพราะคุณหนูซูยังเด็กมาก นายท่านซูอายุมากแล้วแต่เพิ่งจะมีบุตรีเพียงคนเดียว เด็กน้อยคนนั้นจึงเป็แก้วตาดวงใจของเขา ใครจะคิดว่าคุณชายใหญ่ตระกูลเย่จะไปขอแต่งงานกับไข่มุกของตระกูลซูอย่างอุกอาจ ว่ากันว่าเื่นี้แพร่กระจายไปทั่ว แม้แต่แม่ทัพเจิ้นหนานก็ยังใเมื่อได้ข่าว”
มู่ชิงซีกล่าวพลางหัวเราะอย่างพอใจ
อวิ๋นจื่อกลับหัวเราะไม่ออก
เป็นางเองที่สร้างความยุ่งยากให้กับตระกูลซูแห่งเมืองหวยโจว
บุรุษผู้นี้น่าทึ่งจริงๆ เขาไปถึงเมืองหวยโจวเพื่อขอแต่งงานกับสตรีที่เขามุดผ้าห่ม มีคนโง่แบบนี้อยู่ในโลกจริงหรือ?
แปลก...แปลกเกินไป
จริงอยู่ที่เขาเป็ถึงคุณชายใหญ่ตระกูลเย่ แต่ดูเหมือนเขาจะไม่ใช่คนที่ได้รับความโปรดปราน คนเราเมื่อเติบโตมาถึงขนาดนี้ก็ควรจะมีความคิดความอ่านบ้าง ยิ่งเติบโตขึ้นมาในกองทัพ ความคิดก็ควรจะสุขุมหนักแน่นกว่าคนธรรมดา แต่มองอย่างไรคุณชายใหญ่ตระกูลเย่ผู้นี้กลับดูเหมือนคนปัญญาอ่อน เขาได้รับการอบรมเลี้ยงดูจากแม่ทัพเจิ้นหนานจริงๆ หรือ?
เมื่อเห็นว่าอวิ๋นจื่อไม่ได้หัวเราะไปกับเื่ที่นางเล่า ชิงซีก็ถามว่า “อาจื่อ เ้าไม่คิดว่ามันตลกหรือ?”
อวิ๋นจื่อมองไปยังดวงตาที่ทอประกายคาดหวังของชิงซีและกล่าวว่า “เื่นี้ตลกก็จริง แต่เหตุใดตระกูลซูแห่งเมืองหวยโจวถึงไม่เห็นด้วยที่คุณชายใหญ่ตระกูลเย่จะแต่งงานกับคุณหนูซู แม้นางจะยังเด็กอยู่ก็สามารถหมั้นหมายกันไว้ก่อน รอให้นางถึงวัยปักปิ่นค่อยตบแต่งกันก็ยังไม่สาย”
“แค่กๆ”
ชิงซีสำลักน้ำชาทันทีที่ได้ยินคำพูดนี้ นางกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “อันที่จริงเป็เพราะคุณหนูซูยังเด็กเกินไป นางมีอายุเพียงสามขวบเท่านั้น!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้อวิ๋นจื่อก็อดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้
นางจินตนาการถึงอารมณ์ความรู้สึกของนายท่านซูในขณะนั้นได้เป็อย่างดี
เด็กอายุเพียงสามขวบย่อมต้องได้รับการดูแลจากบิดามารดาด้วยความทะนุถนอม ทันใดนั้นกลับมีชายหนุ่มปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับประกาศว่าจะแต่งงานกับบุตรสาวของตน การที่นายท่านซูจะลงมือกับคุณชายเย่ย่อมเป็เื่ที่เหมาะสมแล้ว
ใครมอบความกล้าหาญเช่นนี้ให้แก่เขา?
แม้ว่าตระกูลชั้นสูงจะแต่งงานกันเร็ว แต่คู่ครองของพวกเขาล้วนเป็คนที่ถูกหมั้นหมายกันไว้ั้แ่เด็ก คู่ที่แต่งงานกันด้วยความรักใคร่ชอบพอกันจริงๆ สามารถนับได้ด้วยนิ้วมือเพียงข้างเดียวเท่านั้น อย่างไรก็ตามการจะขอแต่งงานกับเด็กอายุสามขวบ เื่นี้เห็นจะมีเพียงคุณชายใหญ่ตระกูลเย่เท่านั้นที่สามารถทำได้
เมื่อคิดได้ดังนั้นอวิ๋นจื่อก็หัวเราะอย่างมีความสุขเป็พิเศษ
แต่ในขณะเดียวกันนางก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกกังวลเล็กน้อย แม่ทัพเจิ้นหนานตอนนี้ก็แก่ชรามากแล้ว คุณชายใหญ่ตระกูลเย่ที่ไม่มีความคิดความอ่านจะสามารถเป็ผู้นำกองทัพแทนท่านตาของเขาได้หรือ?
ชิงซีมองอวิ๋นจื่อ นางรู้สึกมีความสุขมากก่อนจะกล่าวว่า “เ้าอยู่ที่เมืองหยงโจวมาสักพักแล้ว นี่เป็ครั้งแรกที่ข้าเห็นเ้าหัวเราะอย่างมีความสุข”
อวิ๋นจื่อได้ยินเช่นนั้นจึงกล่าวว่า “เมื่อครั้งอยู่ในวัง ข้าได้ยินมาว่าแม้จะเป็บุตรชายคนโต แต่เขาก็ไม่ค่อยได้รับความโปรดปรานนัก ฮูหยินเย่จึงส่งเขาไปอยู่กับท่านตาที่ชายแดน ข้าได้ยินมาว่าเขาเติบโตในค่ายทหารและไม่ได้กลับเมืองอวิ๋นเมิ่งมากว่าสิบปีแล้ว เมื่อทบทวนให้ดีเขาน่าจะเป็ชายหนุ่มที่มีจิตใจบริสุทธิ์ไม่น้อย”
ชิงซีกล่าวว่า “บางครั้งสิ่งที่เ้าได้ยินมาอาจไม่ใช่ความจริง ตำแหน่งที่ราชสำนัก้าแต่งตั้งให้เขาคืออ๋องอวิ๋นเมิ่ง”
อวิ๋นจื่อไม่ได้กล่าวสิ่งใด นางจมอยู่ในภวังค์ความคิดของตัวเอง
อ๋องอวิ๋นเมิ่งหรือ? หลายปีมาแล้วที่ราชวงศ์อวิ๋นไม่ได้พระราชทานตำแหน่งนี้ นับั้แ่อ๋องอวิ๋นเมิ่งคนก่อนสิ้นพระชนม์ในสนามรบก็ไม่มีใครคู่ควรกับตำแหน่งอันทรงเกียรตินี้แล้ว
ทันใดนั้น ความคิดบ้าบิ่นบางอย่างก็ผุดขึ้น
นางไม่มีทางเลือก ใช่...ไม่มีทางเลือกอื่น
นางไม่มีข้อได้เปรียบใดๆ นางจึงต้องพึ่งพาจุดแข็งของตัวเองเท่านั้น
เมื่อเห็นสีหน้าของอวิ๋นจื่อเปลี่ยนไป ชิงซีก็้าที่จะกล่าวอะไรบางอย่าง แต่ก่อนที่นางจะทันได้พูดอะไรออกมา อวิ๋นจื่อก็อุทานด้วยความตื่นเต้น
“ชิงซี ข้าสามารถเป็อวิ๋นเมิ่งอ๋องเฟยได้หรือไม่?”
คำถามของหญิงสาวเหมือนหินที่ตกกระทบบนผิวน้ำ สาดกระเซ็นอย่างงดงาม
------------------------
[1] ยามไฮ่ คือ เวลา 21.00 – 22.59 น.
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้