บทที่ 109 พี่น่ะหุบปากไปซะ
สวี่จือจือใช้ร่างบอบบางของเธอขวางหน้าลู่จิ่งซานอีกครั้ง ถึงแม้จะกลัวแทบตาย แต่เมื่อภัยมาถึง เธอก็ยังเด็ดเดี่ยวพุ่งไปยืนข้างหน้าเขา
ลู่จิ่งซานไม่รู้จะบรรยายความรู้สึกในขณะนี้ของตัวเองยังไงดี มันทั้งขมขื่นและอัดแน่นไปด้วยอารมณ์
“สวี่จือจือ คุณรู้ไหมว่ากำลังทำอะไรอยู่?” เสียงแหบพร่าของชายหนุ่มดังขึ้น มือของเขากำหินก้อนเล็กๆ เอาไว้ไม่รู้ั้แ่เมื่อไหร่
ขณะที่สวี่จือจือหันมองด้วยความงุนงง เธอเห็นเขาขว้างก้อนหินออกไปอย่างรวดเร็วและแม่นยำ ทันใดนั้นสวี่จือจือก็เห็นก้อนกลมนั้นล้มลงกับพื้น ขาหลังของมันกระตุกสองครั้งก่อนจะยอมแพ้ นอนนิ่งอยู่ตรงนั้นอย่างน่าสงสาร ราวกับยอมให้ใครก็ได้เชือด
“นี่มันอะไร?” สวี่จือจือถาม “ทำไมมันน่าเกลียดจัง?”
สิ่งที่ถูกรังเกียจ “…” มันนอนนิ่งแกล้งตายต่อไป ไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น
แล้วเธอก็ได้ยินเสียงทุ้มของลู่จิ่งซาน “แกมาที่นี่ได้ยังไง?”
สิ่งบนพื้นยังคงนิ่งสนิท แกล้งตายต่อไป…
“คุณรู้จักมันเหรอ?” สวี่จือจือถามเบาๆ น้ำเสียงแฝงความรังเกียจ
“หมาป่า? หรือว่าอะไร?” สวี่จือจือหรี่ตามอง ก่อนหน้านี้ในหมู่บ้านเธอเคยเห็นหมาบ้านมาบ้าง แต่ไม่มีตัวไหนน่าเกลียดเท่านี้มาก่อน
“อืม” ลู่จิ่งซานก้มหน้ามองพื้น “หมาฝึกพิเศษของหน่วยพวกเรา ชื่อเสือดำ” ค่อนข้างดำจริงๆ
เสือดำได้ยินชื่อตัวเองมันก็เลิกแกล้งตายทันที ลุกขึ้นยืนแล้ววิ่งไปหาลู่จิ่งซานพร้อมกระดิกหาง
“แต่มันมาที่นี่ได้ยังไง?” สวี่จือจือถาม หน่วยของลู่จิ่งซานอยู่ห่างจากที่นี่ไม่ได้ใกล้นะ
คำพูดยังไม่ทันจบ เธอเห็นอะไรบางอย่างห้อยอยู่ที่คอของเสือดำ ลู่จิ่งซานปลดมันออกมาดู
“ไปกันเถอะ” เขาพูด
งั้นเสือดำก็ถูกทิ้งไว้แบบนี้เหรอ?
สวี่จือจือรู้สึกสงสัยในใจ
ใครจะรู้ว่าพอกลับถึงบ้านตระกูลลู่ ทั้งคู่จะเจอสวี่เจวียนเจวียนและหวงรุ่ยเซิงอยู่ที่นั่นด้วย
เมื่อเห็นทั้งคู่กลับมา สวี่เจวียนเจวียนรีบลุกขึ้นมองลู่จิ่งซานด้วยสายตาซับซ้อน แฝงด้วยความโล่งใจ โชคดีที่ตอนนั้นเธอไม่ได้แต่งงานกับลู่จิ่งซาน ไม่งั้นคงเหมือนเป็หม้ายทั้งเป็
คิดถึงตรงนี้เธอก็อดไม่ได้ที่จะมองสวี่จือจือด้วยความสะใจ เดิมทีอยากเยาะเย้ยสักสองสามคำ แต่กลับพบว่าไม่เจอกันแค่ไม่กี่เดือน สวี่จือจือดูดีขึ้นมาก แถมยังสวยขึ้นด้วย!
สมัยสวี่จือจืออยู่บ้านตระกูลสวี่ คนในหมู่บ้านรู้แค่ว่าตระกูลสวี่มีลูกสาวคนที่สอง นิสัยแปลกๆ ไม่ค่อยพูด เื่หน้าตาก็ผอมแห้ง อย่างมากก็แค่ไม่อัปลักษณ์ ยิ่งเมื่อยืนข้างพี่สาวอย่างสวี่เจวียนเจวียนที่สวยเด่นก็ยิ่งทำให้อีกฝ่ายดูด้อยลงไปอีก แต่มีแค่สวี่เจวียนเจวียนที่รู้ว่าน้องสาวของตัวเองสวยแค่ไหน
หลายปีมานี้ถ้าไม่ใช่เพราะคุณแม่กดขี่ สวี่จือจือต้องทำกับข้าวและทำงานในไร่แถมขาดสารอาหารมานาน ความงามที่แท้จริงก็ถูกบดบังไป แต่พอมาตอนนี้เห็นเด็กสาวที่ยืนตระหง่านตรงหน้า ดวงตาใสแจ๋วมีชีวิตชีวา เสื้อผ้าฝ้ายสีพื้นๆ ที่อีกฝ่ายสวม ถึงจะดูธรรมดา แต่เมื่ออยู่บนตัวสวี่จือจือกลับดูดีอย่างน่าประหลาด
สวี่เจวียนเจวียนรู้สึกด้อยลงไปนิดหน่อย
แต่ความรู้สึกนั้นถูกเธอสลัดทิ้งอย่างรวดเร็ว คิดถึงเื่เ่าั้แล้ว เธอจะไปด้อยอะไร? สวยแล้วยังไง? ยังไงก็เป็แค่คนชั้นต่ำ! ยังไงก็ต้องเชื่อฟังพวกเธอ! ไม่งั้น…
“จือจือ พวกแกกลับมาแล้ว” สวี่เจวียนเจวียนพูด “แม่คิดถึงแกเลยให้ฉันมารับกลับไปอยู่บ้านสักสองสามวัน”
คิดถึงเธอ? สวี่จือจือคิดว่าตัวเองหูฝาด
หวังซิ่วหลิงเนี่ยนะ?
“ใกล้สิ้นปีแล้ว ที่บ้านยุ่งมาก” สวี่จือจือยิ้มบางๆ หยิบของลงจากรถเข็น ส่วนพังพอนตัวนั้น ตอนอยู่ในลานบ้าน ลู่จิ่งซานได้ฝากให้ลู่จิ่งเหนียนจัดการแล้ว
“วันที่สองกลับบ้านเดิม พวกเราจะไปแต่เช้าค่ะ”
ตอนนี้เพิ่งมาคิดถึงเธอ? เกรงอยากให้เธอกลับไปเป็วัวเป็ม้ามากกว่ามั้ง?
่สิ้นปีในชนบทนี่วุ่นวายสุดๆ นึ่งหมั่นโถว ซาลาเปา ห่อเกี๊ยว ต้มเนื้ออะไรต่อมิอะไร แม้ยุคนี้จะยากจน แต่พอถึงสิ้นปีกองงานจะฆ่าหมูสองสามตัว ทำเมนูหมูแล้วแบ่งเนื้อให้สมาชิก
เด็กๆ ชอบ่ปีใหม่ที่สุด เพราะตอนนั้นที่บ้านจะต้มเนื้อ นึ่งซาลาเปาและห่อเกี๊ยว แม้ไส้จะมีเนื้อนิดเดียว แต่เกี๊ยวที่กินได้แค่ตอนปีใหม่ ใครจะไม่ชอบ?
แน่นอนว่าเด็กเหล่านี้ไม่นับรวมร่างเดิม เพราะทุกสิ้นปีคือ่ที่เธอเหนื่อยและล้าที่สุด งานเล็กงานใหญ่ในบ้านกองอยู่บนบ่าคนคนเดียว ตอนนี้เธอแต่งงานแล้วที่บ้านไม่มีคนทำ เลยเพิ่งนึกถึงเธอขึ้นมา?
“เฮ้อ” สวี่เจวียนเจวียนถอนหายใจ “เดิมทีฉันไม่อยากพูด แม่ป่วยแล้ว อยากให้แกกลับไปเยี่ยมหน่อย
จือจือ” สวี่เจวียนเจวียนพูดด้วยน้ำเสียงเ็ป “แม่น่ะปากร้ายแต่ใจดี แกไม่ได้กลับบ้านเดิมมานานแค่ไหนแล้ว?” สวี่เจวียนเจวียนพูดเบาๆ “แต่งงานแล้วก็ไม่ได้หมายความว่าจะทิ้งบ้านเดิมได้นี่”
เหอะๆ สวี่จือจือหัวเราะเยาะ
“ได้ค่ะ” เธอพูด “พี่กลับไปก่อนเถอะ บ่ายนี้ฉันว่างแล้วจะกลับไป” ยังไงซะดูท่าแล้วคงหลบไม่พ้น งั้นไปดูซิว่าพวกเขาจะเล่นพิเรนทร์อะไรอีก?
คิดถึงตรงนี้ สวี่จือจือก็เหลือบมองท้องของสวี่เจวียนเจวียน “พี่แต่งงานมาหลายปีแล้ว เมื่อไหร่จะมีหลานให้ฉันสักคนล่ะคะ?”
สวี่เจวียนเจวียนจ้องอีกฝ่ายอย่างไม่พอใจ คิดว่าเธอไม่อยากมีเหรอ? แต่ท้องมันไม่เอื้อ เธอจะทำยังไงได้?!
“แม่บอกให้แกกลับไปอยู่สองสามวัน” สวี่เจวียนเจวียนพูดอย่างหงุดหงิด “จำไว้ด้วย เอาชุดไปเผื่อด้วย”
สวี่จือจือยิ้ม “งั้นฉันไม่ไปส่งพี่นะคะ”
“พวกเราไปก่อนล่ะ” สวี่เจวียนเจวียนพูดอย่างไม่สบอารมณ์ แล้วดึงหวงรุ่ยเซิงที่ไม่รู้คิดอะไรอยู่ “ไป กลับบ้าน”
“บ่ายนี้ผมไปด้วย” ลู่จิ่งซานพูด
สวี่เจวียนเจวียนที่กำลังจะออกจากประตูหันมายิ้ม “จิ่งซาน คุณจะไปพวกเรายินดีต้อนรับอยู่แล้ว แต่กลัวคุณจะลำบาก”
เธอยิ้มมองลู่จิ่งซาน ความรู้สึกดีๆ ที่เคยมีต่อเขา พอเห็นเขานั่งรถเข็นก็มลายหายไปหมด
“รถเข็นของคุณน่ะ บ้านเราไม่สะดวกหรอก”
“พี่น่ะหุบปากไปซะ” สวี่จือจือสะบัดผ้าเช็ดมือ “คิดว่าจิ่งซานบ้านฉันอยากไปนักเหรอ?” แล้วหันไปบอกลู่จิ่งซาน “บ่ายนี้ฉันกลับไปดูหน่อยก็พอ”
นี่คือผู้ชายของเธอ ถึงจะชอบทำให้เธอโมโห แต่คนอื่นจะมาว่าไม่ได้โดยเฉพาะสวี่เจวียนเจวียน
แค่สวี่จือจือคิดถึงวันแต่งงานที่สวี่เจวียนเจวียนมองลู่จิ่งซานตาโตเหมือนคลั่งไคล้ก็รู้สึกคลื่นไส้ อีกฝ่ายคิดว่าตัวเองเป็ใครถึงกล้ารังเกียจลู่จิ่งซาน!
แล้วหันไปบอกสวี่เจวียนเจวียน “วันนี้ฉันขอพูดไว้ตรงนี้ ต่อให้พี่ยกเกี้ยวแปดคนหามมารับจิ่งซานบ้านฉัน เขาก็ไม่ไปหรอก” โง่เง่า!
“ยังไม่ไปอีกเหรอ?” สวี่จือจือจ้องเธอ “ต่อไปถ้าไม่มีอะไรอย่ามาบ้านฉันอีก ฉันไม่ต้อนรับ”
“สวี่จือจือ!” สวี่เจวียนเจวียนะโด้วยความโมโห
เสือดำที่ยืนนิ่งๆ ข้างลู่จิ่งซานอยู่ดีๆ ก็ร้องขึ้นสองครั้ง เกือบทำให้สวี่เจวียนเจวียนช็อก
ตอนนี้ไม่สนอะไรแล้ว รีบวิ่งหนีทันที
“เธอไปทำหล่อนแบบนี้” คุณนายลู่พูด “ไม่กลัวบ่ายนี้กลับไปแล้วหล่อนจะเล่นงานเธอเหรอ?”
“กลัวค่ะ” สวี่จือจือถอนหายใจ “แต่ทนไม่ไหว” แล้วก็ไม่อยากทนด้วย
ลู่จิ่งซานมองเสือดำที่อยู่ข้างๆ บอกคุณนายลู่คำหนึ่งก็เข็นรถเข็นกลับห้อง เสือดำวิ่งตามต้อยๆ
คุณนายลู่ถอนหายใจแล้วส่ายหัว
บาปกรรมจริงๆ
สักวันหนึ่งหลานชายของเธอจะต้องเสียใจแน่นอน
.............................