ต้วนเสี่ยวโหลวเดาใจนางได้ปรุโปร่ง ความขมขื่นแฝงอยู่ในน้ำเสียงนั้น “อะไรกัน เ้า้ารักษาระยะห่างกับข้าใช่หรือไม่?”
เหอตังกุยยังคงจับแขนเสื้อต้วนเสี่ยวโหลวไม่ปล่อยพลางเอ่ยเตือน “สุภาษิตกล่าวไว้ ยอมล่วงเกินสุภาพบุรุษดีกว่าล่วงเกินคนต่ำทราม แม่ชีไท่ซั่นเป็คนต่ำช้ามาก หากท่านจะสังหารนางก็อย่าได้ล่วงเกิน มิเช่นนั้นนางจะเป็ปัญหาในอนาคตของท่าน” ชาติก่อนนางได้รับบทเรียนที่โชกไปด้วยโลหิต ถูกแม่ชีไท่ซั่นรังแกซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนสุดท้ายนางก็บีบคั้นให้เหอตังกุยอยากแขวนคอตาย
ปีที่สามสิบเอ็ด รัชสมัยหงอู่ แม่ชีไท่ซั่นรู้ว่านางแต่งเข้าตำหนักอ๋องหนิงในฐานะพระสนมจึงแอบเขียนจดหมายลับให้เหอตังกุย นำเื่เก่าที่ “เคยเป็สาวใช้ในวัด” ขู่บังคับให้เหอตังกุยอยู่ในกำมือ หากเหอตังกุยไม่ให้เงินนาง นางจะเปิดเผยเื่ขโมยของ มีความประพฤติไม่เหมาะสม ตบตีคนจนาเ็ให้อ๋องหนิงทรงทราบ และจะเรียกเหล่าแม่ชีทั้งหลายมาเป็พยาน
ปีแรกที่เหอตังกุยแต่งเข้าตำหนักอ๋องหนิง นางหาเงินเลี้ยงชีพอย่างระมัดระวังภายใต้การควบคุมของพระชายาเซี่ย นางเห็นบุรุษนามว่าอ๋องหนิงจูฉวนผู้สูงศักดิ์ที่เป็สามีของตนเพียงครั้งเดียวในงานเลี้ยงตำหนักอ๋อง ปีนั้นนางเพิ่งจะอายุสิบห้าปีเต็ม ด้วยรูปลักษณ์สง่างามและน่าค้นหาของจูฉวนทำให้นางลุ่มหลงจนโงหัวไม่ขึ้น สิ่งที่เรียกว่าความรักพรั่งพรูขึ้นในหัวใจของแม่นางน้อยั้แ่นั้นมา หวังเป็อย่างยิ่งว่าเขาจะมองเห็นนางอยู่บนโลกใบนี้ และนางจะไม่ยอมให้แม่ชีไท่ซั่นทำลายชื่อเสียงเป็อันขาด
ดังนั้นนางจึงยอมมอบเงินสินสอดหนึ่งร้อยตำลึงให้แก่แม่ชีไท่ซั่น ด้วยนึกว่าจะไล่อีกฝ่ายออกจากชีวิตได้ ใครจะรู้ว่าแม่ชีไท่ซั่นกลับโลภมากอยากได้อีก นางขู่จะเปิดเผยเหอตังกุยครั้งแล้วครั้งเล่าจนนางเหนื่อยจะรับมือ กินไม่ได้นอนไม่หลับและกระวนกระวายใจทั้งวัน คิดเพียงไม่อยากทำลายภาพลักษณ์ของตนในใจสามีอันเป็ที่รัก นางเริ่มคิดอยากจบชีวิตลงเสีย หากตนตาย แม่ชีไท่ซั่นจะได้หยุดการกระทำ นางก็จะสามารถรักษาชื่อเสียงขาวสะอาดของตนไว้ได้... โชคดีที่นางได้รับการช่วยเหลือจากกุ้ยเหรินท่านหนึ่ง จนสามารถตอบโต้กลับและหลุดพ้นจากแม่ชีไท่ซั่นได้ในที่สุด
ต้วนเสี่ยวโหลวยังคงไม่เชื่อ พลางเอ่ยด้วยความเศร้าใจ “เหตุใดจะทำไม่ได้เล่า? เ้าให้เกียรติแม่ชีไท่ซั่นมากเกินไปแล้วกระมัง ข้าจะให้บทเรียนนางอย่างลับ ๆ ดูซิว่านางจะทำอะไรข้าได้บ้าง?”
เหอตังกุยคล้ายจะพูดบางสิ่งทว่ากลับสูดลมเย็นเข้าไปโดยบังเอิญ ทำให้นางไออย่างต่อเนื่อง
ต้วนเสี่ยวโหลวรีบอุ้มนางเข้าห้องอย่างรวดเร็ว ก่อนจะวางนางลงบนเตียงพร้อมห่มผ้าให้เรียบร้อย หัวใจเต็มไปด้วยการกล่าวโทษตนเองและความเสียใจ รู้ทั้งรู้ว่าร่างกายของนางไม่แข็งแรงแต่กลับยืนพูดคุยท่ามกลางลมหนาว อีกอย่างเื่เมื่อครู่ก็ทำให้เสื้อบริเวณอกของนางขาดเป็รู... หรือเป็เพราะสิ่งนี้ที่ทำให้นางไอ? ต้องตรวจสอบเสียหน่อยว่าาเ็ตรงไหนบ้าง
ขณะเดียวกัน เหอตังกุยยังจมกับความคิดเื่แม่ชีไท่ซั่น ใครจะรู้ว่าพูดเพียงไม่กี่คำจะทำให้เขากระตือรือร้นเพียงนี้ ต้วนเสี่ยวโหลวหาน้ำชาทั้งบนโต๊ะและหัวเตียงแต่ไม่พบสักหยด เขาร้อนใจจนอยากใช้กำลังภายในวิ่งไปหยิบน้ำจากที่อื่นมาให้
เหอตังกุยมองเจตนาออกจึงรีบร้อนโบกมือห้ามปราม นางเปิดผ้าห่มแล้วลงจากเตียง เดินไปที่มุมกำแพงขณะชายกระโปรงพลิ้วไหว ก่อนโน้มตัวเทน้ำชาจากโถดินเผาแล้วจิบไปหลายจิบ จากนั้นจึงสูดหายใจเข้าพลางเอ่ยด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “คุณชายต้วน แม้วรยุทธ์ของท่านจะยอดเยี่ยม แต่ท่านไม่จำเป็ต้องสิ้นเปลืองกับเื่นี้ แม้แต่จะสวมชุดหนึ่งตัว ดื่มน้ำหนึ่งอึก ท่านก็ต้องใช้กำลังภายใน เช่นนั้นคนธรรมดาที่ใช้ได้เพียงสองขาอย่างพวกเราก็ไม่มีประโยชน์เลยใช่หรือไม่?”
ต้วนเสี่ยวโหลวตอบทันทีโดยไม่ต้องคิด “หาน้ำให้สตรีที่ตนรักนั้นเป็เื่ธรรมดา แม้จะไม่มีวรยุทธ์ ข้าก็จะวิ่งไปหาอย่างรวดเร็ว”
เหอตังกุยหรี่ตาต่ำ ยังคงไม่ออกความคิดเห็นใดต่อคำพูดเขา แต่กลับเปลี่ยนหัวข้อสนทนาแล้วเอ่ยเตือนเขาต่อไป “คุณชายต้วน ได้โปรดฟังคำเตือนอีกสักประโยค ท่านคือหยกงามชั้นดี ไม่จำเป็ต้องลงไปเกลือกกลั้วก้อนกรวดก้อนทรายเช่นแม่ชีไท่ซั่น ข้าเชื่อว่าท่านฉลาดพอที่จะเข้าใจว่าข้ามิใช่คนอ่อนแอ ข้ามีวิธีจัดการกับบางคนหรือบางเื่ที่ไม่ยุติธรรม หากท่านรับปากว่าท่านจะไม่สอดมือเข้าแทรก ข้าจะขอบพระคุณอย่างยิ่ง”
“แต่... เพราะอะไรเล่า? เหตุใดเ้าดื้อรั้นกับข้าถึงเพียงนี้?” ต้วนเสี่ยวโหลวถอนหายใจด้วยความระทม แขนขวายกขึ้นเล็กน้อยอย่างไม่รู้ตัวก่อนจะวางลงไปเช่นเดิม “เหตุใดเ้าถึงปฏิเสธของหมั้นของข้า แม้แต่โอกาสก็ไม่ให้ข้าเชียวหรือ? รู้ทั้งรู้ว่าเ้าไม่จำเป็ต้องแบกรับเื่ทั้งหมดไว้คนเดียว แม่นาง...เหตุใดจึงไม่ให้ข้าปกป้องเ้า?”
เหอตังกุยยังคงส่ายหัวปฏิเสธทันที “ท่านควรหาสตรีที่คุ้มค่าแก่การปกป้องของท่าน ข้าไม่คู่ควรกับความดีของท่าน”
สายตาของต้วนเสี่ยวโหลวจับจ้องนาง ก่อนจะเอ่ยคำถามที่ค้างคาใจ “ข้ารู้ว่านี่ไม่ใช่คำพูดจากใจของเ้า บอกเหตุผลจริง ๆ มาเถิด บอกข้ามาว่าข้าทำอะไรผิด ข้าไม่ดีตรงไหน? หรือข้าบุ่มบ่ามขอเ้าแต่งงานเร็วเกินไปจึงทำให้เ้าเกลียดชังข้า หรือว่าเ้า... รังเกียจที่ข้าแก่?”
“แก่... แก่กระนั้นหรือ?” เมื่อเหอตังกุยได้ฟังก็แทบสำลัก ตัวของนางมีความทรงจำในชาติที่แล้วถึงยี่สิบแปดปี เคยแต่งงาน ทั้งยังมีบุตร เมื่อมองต้วนเสี่ยวโหลวที่กำลังมีความรักครั้งแรก เขายังหนุ่มยังแน่นแต่เหตุใดจึงหยิบยกเื่ความห่างของอายุมาพูดจริงจังเช่นนี้
เหตุเพราะความประทับใจแรกที่มีต่อจิ่นอีเว่ยนั้นไม่ค่อยดีนัก นางมักจะรู้สึกว่าพวกเขาเป็เสมือนคนขายเนื้อที่เืเย็นที่สุดในโลก เพื่อทำลายหมากขาวหมากดำบนกระดานหมากรุก นางจึงคิดว่าต้วนเสี่ยวโหลวคือคนแปลกหน้าที่คุ้มค่าให้ใช้ประโยชน์ที่สุด แม้ชาติที่แล้วนางจะไม่เคยพบจิ่นอีเว่ยมาก่อน แต่เพราะ “หออู่อิง” ที่มีจูฉวนเป็ผู้นำและ “หอฉางเยี่ย” ที่มีจิ่นอีเว่ยเป็ผู้นำนั้นเป็ศัตรูคู่อาฆาตกันมาหลายปี ขณะนางทำงานอยู่ที่หออู่อิงก็ได้ยินเื่ชั่วร้ายมากมายที่จิ่นอีเว่ยกระทำ หลายครั้งเมื่อประชาชนเอ่ยถึง “องครักษ์ของฮ่องเต้” ใบหน้าก็จะเปลี่ยนไปขนานใหญ่ กล่าวกันว่าประชาชนส่วนใหญ่หวาดกลัวองครักษ์เสื้อแพรยิ่งกว่าโจรดักปล้นเสียอีก ทั้งยังบอกอีกว่าผู้ท่องยุทธภพยังมีคุณธรรมมากกว่าเหล่าจิ่นอีเว่ย พวกเขาเป็ดั่งเครื่องสังหารที่ไร้หัวใจ โดยมีฮ่องเต้ผู้ร่ำรวยที่สุดเป็เ้าของ
ทว่าต้วนเสี่ยวโหลวกลับไม่เหมือนจิ่นอีเว่ยในความคิดของนาง เขาใจดีและไร้เดียงสากว่านางด้วยซ้ำ ความเอาใจใส่และการช่วยเหลือที่เขามีต่อนางนั้น ทำให้นางไม่สามารถหลอกใช้เขาเป็หมากตัวหนึ่งได้ ในเมื่อนางปฏิเสธคำขอแต่งงานของเขาแล้ว มิสู้ใช้โอกาสนี้บอกความรู้สึกที่แท้จริงให้เขารู้ เพื่อที่เขาจะได้เลิกรักนางเสีย
เมื่อคิดได้ดังนั้น เหอตังกุยจึงวางถ้วยชาที่ดื่มหมดแล้วลง ก่อนจะนั่งที่หัวเตียงข้างเตาผิงจับจ้องดอกเหมยสีขาวที่ปักอยู่บนแขนเสื้อของตนแล้วค่อย ๆ เอ่ย “คุณชายต้วน ท่านปฏิบัติต่อข้าอย่างจริงใจ ข้าเองก็จะไม่โกหกท่าน เื่เป็เช่นนี้...ท่านไม่สามารถเติมเต็มรูโหว่บนหน้าอกข้างซ้ายของข้าได้ คนไม่มีหัวใจเช่นข้า เพียงได้เห็นหัวใจที่ลุกโชนดุจไฟเผาของท่านก็นึกอิจฉายิ่ง”
ในชาติก่อน นางไม่สมปรารถนาในครอบครัว จึงทำให้นางอยากออกเรือนแต่งงานกับใครสักคนโดยเร็วที่สุด นางวาดฝันสวยงามว่าต้องมีสักวันที่ชายหนุ่มรูปงามและร่ำรวยปรากฏตรงหน้า พานางออกไปให้ไกลจากจวนหลังนี้ คอยปกป้องดูแลนาง ไม่ทำให้นางบอบช้ำอีก ต่อมานางได้แต่งงานกับจูฉวนในฐานะพระสนม ทั้งสองเกี่ยวพันเป็สามีภรรยาเพียงในนาม แต่ความเป็จริงเขาช่างห่างเหินนางยิ่งนัก คำว่า “สามี” ก็ยังคงเป็เพียงคำที่นางวาดฝันในหัวใจเท่านั้น
ภายในตำหนักอ๋องหนิง นางมีชีวิตที่ต่ำต้อยและขื่นขมอยู่บ่อยครั้ง เหล่าสนมสามสิบกว่าคนในตำหนักล้วนมีชาติกำเนิดสูงส่งกว่านาง ทุกคนแต่งองค์ทรงเครื่องสง่างาม หวังให้จูฉวนมองพวกนางสักครั้ง ไม่ว่าจะเป็พระชายาเซี่ย พระชายารองโจว พระชายารองว่านหรือกระทั่งสนมกู่ สนมเจียง สนมตู้ ทุกคนล้วนเ้าเล่ห์เพทุบาย เ้าแผนการกันทั้งสิ้น แม้สตรีจะสามารถสนิทสนมชิดเชื้อจนอาบน้ำพุร้อนในห้องอาบน้ำด้วยกันได้ แลกเปลี่ยนของใช้ส่วนตัว ไม่ว่าจะเป็ปิ่นปักผม ต่างหู ปลอกพระนขาของกันและกันได้ แต่ที่น่าแปลกคือในใจของพวกนางกลับมีแต่ความริษยาต่อกัน ทั้งยังวางแผนชั่วทำร้ายอีกฝ่ายเมื่อสบโอกาส
เวลานั้นนางคิดว่าจูฉวนคือสามีของนาง แม้ชีวิตความเป็อยู่จะแย่กว่าตระกูลหลัวแต่ในใจกลับมีความสุข เพราะนางตกหลุมรักจูฉวน ชีวิตจึงพอมีหวังที่จะมีความสุขได้ ลึก ๆ ในใจนางกลายเป็สนมของเขาไปโดยสิ้นเชิง เป้าหมายชีวิตส่วนใหญ่คืออยากให้สายตาของจูฉวนจับจ้องมาที่ตน แม้เพียงชั่วครู่ก็พอใจ และคำว่า “ชั่วครู่” นี้ก็หมายความเช่นนั้นจริง ๆ เพราะจูฉวนยุ่งมาก อีกทั้งยังมีงานต้องทำมากมาย
อ๋องหนิงบุรุษหนุ่มเปี่ยมความสามารถ ประสบความสำเร็จั้แ่อายุยังน้อย ได้ควบคุมดูแลกองทหารทั้งหมดในใต้หล้า สามีของนางขีดเขียนพู่กันได้คล่องแคล่วดุจัผงาด กวัดแกว่งกระบี่รวดเร็วดั่งแสง ราวกับเทพเซียนถูกลงโทษให้มาจุติบนโลกมนุษย์ก็ไม่ปาน เมื่อใดที่สายตาของเขาจับจ้องมาที่นาง หัวใจก็ดีใจจนโลดเต้นไปได้หลายวัน ต่อให้สิ่งที่เขามองนั้นเป็เพียงต้นไม้ที่อยู่เื้ัของนางก็ตาม
นางยังจำประโยคที่ว่า “ความรักที่เกิดจากความสวยงามของบางสิ่งจะไม่ยั่งยืนยาว” ในตอน “ชีวประวัติของลวี่ปู้เว่ย” บนหนังสือ “สื่อจี้”[1] ด้วยเหตุนี้นางจึงบอกตัวเองว่าอย่าเป็เหมือนนางสนมคนอื่น ๆ ที่สนใจเพียงความสวยงามในการแต่งตัว นางจะต้องเพิ่มความรู้และประสบการณ์ให้ดีกว่านี้เพื่อประโยชน์ของจูฉวน นางฝึกฝนทักษะการแพทย์ ศึกษาการฝังเข็มทองที่จุดฝังเข็มบนร่างกายของตน ร่ำเรียนศิลปะทั้งหกแขนง ไม่ว่าจะเป็วรยุทธ์ กลยุทธ์แห่งา ยุทธวิธีการรบ รวมถึงภาษาทางการ เมื่อเรียนรู้สำเร็จ จูฉวนก็เริ่มมองนางแตกต่างจากเดิม นางได้รับมอบหมายงานที่มีอำนาจมากขึ้น อีกทั้งได้เรียนรู้ว่าจะช่วยเขาจัดการเื่หออู่อิงอย่างไร เรียนรู้การดำเนินการซื้อขายข่าวกรองและเรียนรู้การลอบสังหาร...
นางค่อย ๆ กลายเป็คนที่มีประโยชน์ต่อจูฉวน เป็สนมเพียงคนเดียวในจวนอ๋องหนิงที่มีฐานะเทียบเท่าพระชายาเซี่ย
แต่สุดท้าย...เมื่อนางหมดประโยชน์ก็กลายเป็ผู้ที่จูฉวนทิ้งขว้างเช่นเคย
ลำคอที่ถูกถ่านแผดเผาและแช่อยู่ในคุกน้ำนานถึงสองเดือน ขณะนั้นนางยังจำคำพูดหนึ่งในบันทึกประวัติศาสตร์ของชีวประวัติฮ่องเต้โกวเจี้ยนแห่งแคว้นเยวี่ยได้ คำพูดที่ว่าคือ “เมื่อนกโบยบินหนีไป ธนูก็ถูกซ่อนเอาไว้ เมื่อกระต่ายจอมเ้าเล่ห์สิ้นลม สุนัขที่วิ่งไล่ก็ถูกต้ม” ฮ่า ๆ นางหัวเราะเยาะตัวเองในใจ นางควรใช้ประวัติศาสตร์เป็ประสบการณ์ เป็กระจกเงาเตือนใจในการใช้ชีวิต... นางทำให้ตนต้องแพ้พ่ายเช่นนี้ สมควรแล้วที่จะได้รับมัน ใช่...จุดจบชีวิตที่แสนอนาถคือชะตากรรมที่นางต้องประสบและเต็มใจยอมรับ นางยอมเดิมพันรับความพ่ายแพ้ ทว่าการทำให้ชีวิตมารดาของนางต้องเหนื่อยล้า การทำให้ลูกสาวที่ไร้เดียงสาต้องลำบาก สิ่งเ่าั้เป็ความเ็ปที่ลึกที่สุดในหัวใจ หลังจากการตายของนางในชาติที่แล้ว ทำให้รู้ว่าชีวิตของนางนั้นตลกสิ้นดี
ดังนั้นในชาตินี้จึงตั้งสัตย์สาบานกับตัวเองั้แ่ฟื้นคืนจากความตาย นางจะไม่ทำให้ตนต้องผิดหวังและจะไม่เดินซ้ำรอยเดิมอีก
ชาตินี้นางต้องเป็ผู้ควบคุมหมากบนกระดาน จะไม่ยอมเป็หมากให้ใครเล่นอีกต่อไป ต้องมีสักวันที่นางแข็งแกร่งมากพอจะยืนเคียงบ่าเคียงไหล่สามีในอนาคต มิเช่นนั้นนางก็จะไม่มีทางไว้วางใจหรือฝากฝังทั้งชีวิตกับชายใดเด็ดขาด นางจะไม่ยอมแหงนหน้ามองสามีในอนาคตอย่างต่ำต้อยและจะไม่ยอมรอคอยเศษความสุขจากเขา นางเกลียดความรู้สึกเช่นนี้ยิ่งนัก นางต้องมีฐานะที่เท่าเทียมกับเขาและเป็ภรรยาของเขาแต่เพียงผู้เดียว หากเขารักนางเพียงคนเดียวจนกว่าชีวิตจะหาไม่ นั่นหมายความว่าทั้งสองเป็สามีภรรยาที่รักใคร่และให้เกียรติซึ่งกันและกัน จะรักกันจนแก่เฒ่า รักกันจนชั่วนิจนิรันดร์ แต่หากภายหลังเขาปันใจให้หญิงอื่น นางก็จะถอยห่างและแยกย้ายตามทางของใครของมัน ลืมเลือนเื่ที่ผ่านมาของกันและกัน หากเ้าไม่มีความรักต่อข้า ข้าก็จะออกไปจากชีวิตของเ้า
ชาติก่อนต้วนเสี่ยวโหลวคือ “สามีที่สมบูรณ์แบบ” ในอุดมคติของนาง เขามีรูปร่างหน้าตาที่มีเสน่ห์และหล่อเหลา ทั้งยังดูแลเอาใจใส่นางอย่างอบอุ่นลึกซึ้ง
เหอตังกุยในวัยเด็กเมื่อชาติที่แล้ว พ่อเลี้ยงของนางมักจะตบตีมารดาให้เห็นเป็ประจำ นับแต่นั้นมา นางจึงเกลียดบุรุษที่ตบตีทำร้ายสตรีอย่างยิ่ง... ทว่าต้วนเสี่ยวโหลวนั้น แม้ในยามปฏิบัติหน้าที่ก็ไม่เคยตบตีทำร้ายแม่ชีในวัดสุ่ยซังเลยสักคน เขายังบอกอีกว่าเกาเจวี๋ยเป็คน “ใจร้าย” ที่ “ไร้ความรู้สึก” ช่างตรงกับความคิดของนางนัก
วัยเด็กของชาติที่แล้ว เหอตังกุยอยากให้คนปกป้องนาง นางอยากหนีไปจากตระกูลหลัวเต็มที อยากเริ่มต้นชีวิตใหม่เป็คนที่มีฐานะสูงส่ง... แต่ลู่เจียงเป่ยผู้ทำหน้าที่พ่อสื่อบอกนางว่า หากนางแต่งงานกับต้วนเสี่ยวโหลว นางจะกลายเป็ฮูหยินดูแลตระกูลต้วน ตอนที่นางเหน็บหนาวและเหนื่อยล้า ต้วนเสี่ยวโหลวจะเป็ที่พึ่งพิงให้แก่นาง ตราบใดที่นางแต่งงานเข้าตระกูลต้วน ชีวิตของนางจะแตกต่างไปจากเดิม ต้วนเสี่ยวโหลวจะเป็ที่บังแดดบังฝนให้แก่นาง ช่างเป็ภาพที่ตรึงใจผู้คนเสียเหลือเกิน ต้องมีสตรีหลายคนที่ไขว่คว้าชีวิตเช่นนี้มาตลอดเป็แน่
เมื่อได้ฟังคำสาธยายของลู่เจียงเป่ย เหอตังกุยแทบจะมองเห็นประตูใหญ่ตระกูลต้วนสีทองอร่ามเปิดอ้าออกแล้วกวักมือเรียกนางด้วยรอยยิ้ม ต้วนเสี่ยวโหลวผู้สมบูรณ์แบบคือการชดเชยชีวิตของนางในชาติที่แล้วจาก์
คนหนึ่งเป็บุตรชายเพียงคนเดียวของฮูหยินใหญ่แห่งตระกูลต้วน และเป็แม่ทัพใหญ่แห่งจิ่นอีเว่ย แต่นางกลับเป็เพียงสนมฐานะต่ำต้อยที่ฟื้นจากความตาย เดิมทีทั้งสองอยู่ในโลกคนละใบ การที่พวกเขาได้พบกันในอารามบนูเาลึกแห่งนี้ไม่ใช่เื่ที่ช้าไป เร็วไปหรือบังเอิญไป เขาเป็ถึงชายหนุ่มสวมชุดฮั่นฝูจิ่นอีลายั คาดด้วยเข็มขัดหยกที่หล่อเหลาและมีพร์ นางเป็เพียงเด็กสาวไร้เดียงสาสวมชุดกระโปรงธรรมดาและติดกิ๊บปักผม ทั้งสองไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกัน เขาไม่จำเป็ต้องหยุดเพื่อนาง ทว่าจู่ ๆ เขากลับหยุดแล้วเอ่ยว่านางคือ “สตรีที่เขารัก”
นางเป็เพียงเด็กสาวอายุสิบปี ยังไม่ได้เบ่งบานความงามของสตรีโตเต็มวัยและยังไม่ได้แสดงด้านที่งดงามสดใสที่สุดให้เขาเห็น แต่เขากลับบอกว่าเขาปรารถนาจะแต่งงานกับนางและยินยอมรอให้นางโตกว่านี้เสียก่อน
การได้พบต้วนเสี่ยวโหลวคือสิ่งที่เบื้องบนจัดสรรหรือ? ์ส่งเขามาตรงหน้าของนางเพื่อทดสอบว่านางเป็คนไร้หัวใจ ละทิ้งความรักแล้วจริง ๆ ใช่หรือไม่? เพื่อทดสอบว่านางสามารถต้านทานเสน่ห์แห่งความลุ่มหลงแล้วยืนหยัดลุกขึ้นมาด้วยตัวเองได้เช่นนั้นหรือ? เพื่อทดสอบว่านางได้เรียนรู้บทเรียนแสนเ็ปจากชาติที่แล้วและไม่คิดฝากฝังชีวิตไว้กับบุรุษผู้ใดอีกกระนั้นหรือ?
มีเพียงความคิดเช่นนี้เท่านั้นที่ทำให้นางละจากสายตารักใคร่ลึกซึ้งของต้วนเสี่ยวโหลวได้
“คุณชายต้วน ข้าบอกท่านได้เพียงข้าไม่ได้เป็คนดีเหมือนที่ท่านคิด ท่านหลงรักข้าเพียงเพราะตาบอดไปชั่วขณะ เมื่อดวงตาท่านสว่างแล้ว ท่านจะดีใจที่เื่แต่งงานในวันนี้เจรจาไม่สำเร็จ” นิ้วของเหอตังกุยลูบวนที่ดอกเหมยสีขาวบนแขนเสื้อ นางเป็เพียงปีศาจที่ปีนขึ้นมาจากนรกเพื่อส่งศัตรูของนางไปยังขุมนรกที่สิบแปด ปีศาจไม่มีทางรักใครและไม่้าความรักจากผู้ใดทั้งนั้น
------------------------------------------------------------------------------------
[1] สื่อจี้ คือบันทึกประวัติศาสตร์ของจีนที่ถูกเขียนโดยซือหม่าเชียน