เล่มที่ 7 บทที่ 187 ยันต์เซียนไท่หยิน
“คิดหรือว่ายันต์นี่จะช่วยเ้าได้?” อสุรกายกุ่ยหวังเงยหน้ามองยันต์เซียนที่ลอยอยู่เหนือหัวตนเองสลับกับจดจ้องใบหน้าสงบนิ่งของหลินเฟย เพียงครู่เดียวมันก็หัวเราะลั่นออกมาราวกับได้ยินเื่ตลก เป็เวลานานกว่าจะสงบลงได้
“รู้หรือไม่ว่ายันต์นี้มีชื่อว่าอะไร?” ทว่ายังหลินเฟยยังไม่ทันจะเอ่ย อสุรกายกุ่ยหวังก็ชิงตอบด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราดขึ้นมาเสียก่อน
“นี่คือยันต์เซียนไท่หยิน!” หลังจากเอ่ยจบก็มันก้าวไปข้างหน้า ปล่อยให้ตัวเองยืนอยู่ภายใต้ลำแสงของยันต์เซียน สายตาก็เอาแต่จ้องมองไปที่หลินเฟย
“ตอนที่สำนักโยวิ สำนักกระบี่หลีซาน และสำนักเซียนซานมาที่ทะเลอูไห่ใหม่ๆ พวกนั้นได้สร้างเมืองวั่งไห่และค่ายกลคุ้มกันนี้ขึ้นเพื่อป้องกันการโจมตีของเหล่ามารปีศาจ และนักพรตไท่หยินแห่งสำนักโยวิซึ่งเป็เ้าสำนักในตอนนั้นยังเป็ถึงปรมาจารย์อันดับหนึ่งด้านการสร้างยันต์อีกด้วย นักพรตไท่หยินเป็ผู้สร้างยันต์เซียนนี้ขึ้นมา แน่นอนว่าเ้าเองก็น่าจะรู้ความเป็มาของข้า เช่นนั้นแล้วคิดหรือว่ายันต์เซียนนี้จะช่วยเ้าได้...”
เมื่อพูดจบ อสุรกายกุ่ยหวังก็หายตัวไปในทันที ก่อนจะมีสายฟ้าน่าสะพรึงกลัวปรากฏขึ้นเต็มท้องฟ้า สายลมเริ่มกระโชกแรงดั่งพายุ สายลมที่โหมกระหน่ำบัดนี้ได้โอบล้อมรอบตัวหลินเฟยเสียแล้ว...
หลินเฟยยังไม่ทันบงการปราณกระบี่ทั้งสี่ออกมาต้าน สายฟ้าจำนวนมากก็ผ่าลงมาอย่างรุนแรง ไม่นานก็เห็นร่างของอสุรกายกุ่ยหวังปรากฏขึ้นมากลางอากาศใกล้ๆกับยันต์ไท่หยิน และในตอนนี้ยันต์ที่คุ้มกันเมืองวั่งไห่มานับพันปีก็อยู่ในสภาพราวกับหลับใหล ไม่มีปฏิกิริยาต่อต้านอสุรกายกุ่ยหวังแม้แต่น้อย ไม่นานก็มีเสียงหัวเราะเยาะเย้ยดังขึ้น...
และนี่ก็คือเหตุผลว่าเพราะอะไรที่ทำให้อสุรกายกุ่ยหวังตนนี้มั่นใจเป็หนักหนา
เพราะร่างอวตารคือมีดบินฮั่วอู๋ ซึ่งเดิมทีมีดเล่มนี้ก็มีสภาพเป็ครึ่งอสูรครึ่งอาวุธ ต่อให้เป็ค่ายกลที่มีชื่อเสียงของเมืองวั่งไห่ ก็ไม่อาจแยกแยะได้ นอกจากนี้มีดบินฮั่วอู๋ยังเป็อาวุธประจำของสำนักโยวิอีกด้วย เพราะฉะนั้นั้แ่วันที่มันถือกำเนิดขึ้น มันก็ถูกลงตราประทับสำนักโยวิั้แ่ตอนนั้นแล้ว และมันก็อาศัยเพียงบารมีนี้เท่านั้น อสุรกายกุ่ยหวังจึงสามารถแปลงกายเป็มีดบินฮั่วอู๋ ไปไหนมาไหนได้ตามใจชอบ...
นอกเสียจากจะเปิดโปงร่างจริงที่ซ่อนอยู่ของมัน...
ไม่อย่างนั้นละก็ ค่ายกลนี้ก็ไม่สามารถทำอะไรอสุรกายกุ่ยหวังได้แม้แต่น้อย เหมือนอย่างที่เป็อยู่ตอนนี้นั่นเอง ต่อให้ยืนอยู่ข้างยันต์ไท่หยิน มันก็ไม่ระคายเคืองแม้แต่น้อย หลังจากที่หัวเราะเยาะหลินเฟยแล้ว อสุรกายกุ่ยหวังก็เริ่มบงการให้เกิดสายฟ้ามากมาย หวังจะต้อนหลินเฟยให้จนมุม...
แต่หลินเฟยกลับไม่มีทีท่าประหลาดใจเท่าไรนัก เขาทำเพียงปล่อยปราณระบี่ไท่อี๋และอิ๋นเหวินออกมาต้านสายฟ้าที่ฟาดลงมาไม่หยุด ขณะเดียวกันก็บงการให้ปราณกระบี่ทงโยวเชื่อมกับห้วงมิติหยินหยางเข้าด้วยกัน และส่งไออสูรอันเข้มข้นเข้าสู่ดินิถู่ ไม่นานพอหลินเฟยสบโอกาสก็เริ่มบงการให้ปราณกระบี่ไท่อี๋เกิดเป็ค่ายกลกระบี่หุ้นหยวน จนสามารถรอดไปได้อย่างหวุดหวิด...
“หื้อ?” หลังจากที่อสุรกายกุ่ยหวังไม่สามารถสังหารหลินเฟยได้สำเร็จ ใบหน้าของมันก็ฉายแววประหลาดใจออกมา แม้ครั้งนี้จะเป็ร่างอวตารเช่นเดิม แต่ก็เป็ร่างอวตารที่อาศัยมีดบินฮั่วอู๋ซึ่งมีมนต์สะกดถึงสามสิบหกสาย อีกทั้งยังใช้เืหล่อเลี้ยงอีกด้วย จึงทำให้ร่างอวตารนี้มีพลังใกล้เคียงกับร่างจริงอยู่ถึงเจ็ดส่วนจากทั้งหมดสิบส่วนเลยก็ว่าได้
‘แต่ผู้บำเพ็ญแค่ขั้นมิ่งหุนเคราะห์สองกลับรับมือได้เนี่ยนะ?’
เมื่อตระหนักถึงตรงนี้ อสุรกายกุ่ยหวังก็ไม่คิดออมมืออีกต่อไป ยิ่งตอนนี้เป็เทศกาลไห่หุ่ยด้วย จึงทำให้มีผู้บำเพ็ญขั้นจิงตันอาศัยอยู่เป็จำนวนมากกว่าปกติ หากคิดจะยืดเยื้อละก็ เกรงว่าจะต้องเกิดปัญหาตามมาเป็แน่ ทันใดนั้นไออสูรอันเข้มข้นก็หดเล็กลง ร่างของอสุรกายกุ่ยหวังที่ยืนเคียงข้างยันต์เซียนไท่หยินก็หายไปวับไปทันที ไม่นานก็มีลำแสงคมกริบพร้อมไอสังหารรุนแรงปรากฏออกมา...
นี่คือครั้งที่สองที่อสุรกายกุ่ยหวังสำแดงร่างกลายเป็มีดบินฮั่วอู๋ แต่ครั้งนี้กลับมีกระแสโเี้เข้มข้นกว่าตอนที่ต่อสู้กับนักพรตเฮยซานเสียอีก...
เกรงว่าครั้งนี้มันตั้งใจจะไม่ปล่อยให้หลินเฟยหลุดรอดไปได้อีกแน่นอน
แต่ก็น่าประหลาด...
เพราะตอนที่หลินเฟยเห็นลำแสงนั่นปรากฏออกมา นอกจากเขาจะไม่ใแล้ว ยังยกยิ้มออกมาอีกด้วย...
“รอตั้งนานแหนะ...”
“หื้อ?” เมื่ออสุรกายกุ่ยหวังที่กลายร่างเป็มีดบินฮั่วอู๋ เห็นรอยยิ้มพิศวงของหลินเฟยแล้วก็ััได้ถึงความผิดปกติทันที ‘เพียงขั้นมิ่งหุนเคราะห์สองแท้ๆ คิดว่าจะเอาชนะข้าได้อย่างนั้นหรือ?’
แต่ในเวลาเพียงครู่เดียวอสุรกายกุ่ยหวังก็เข้าใจขึ้นมา...
พริบตาที่ไอสังหารแพร่กระจายนั้น ยันต์เซียนไท่หยินที่หลับใหลก็เริ่มสั่นไหวขึ้น...
ทั้งที่สั่นะเืเพียงครั้งเดียว แต่ก็มีสายฟ้าขนาดมหึมาปรากฏขึ้นมาเสียแล้ว
ยันต์เซียนที่ราวกับหลับใหล ในตอนแรก ก็เกิดมีลำแสงมากมายพวยพุ่งออกมา ไม่นานก็มีอักขระขนาดใหญ่เท่าูเาปรากฏขึ้นกลางอากาศ และพริบตาต่อมาสายฟ้าขนาดั์ก็ฟาดลงด้วยพลังอันน่าสะพรึงกลัว...
ทันใดนั้นอสุรกายกุ่ยหวังก็ถูกพลังรุนแรงนี้ฟาดจนไม่อาจคงสภาพร่างมีดบินฮั่วอู๋ได้อีกต่อไป บัดนี้มันจึงกลายร่างกลับมาเป็อสุรกายกุ่ยหวังอีกครั้ง เป็เวลานานกว่าจะตะเกียกตะกายลุกขึ้นมาได้ สายตาที่มองยันต์เซียนไท่หยินก็เต็มไปด้วยความตกตะลึง จะว่าไปก็น่าแปลก เพราะหลังจากคืนร่างเป็อสุรกายกุ่ยหวัง ยันต์เซียนก็ดูเหมือนจะหลับใหลไปอีกครั้ง และไม่สำแดงพลังเช่นเมื่อครู่อีก...
แต่หลังจากพลาดท่าไปครั้งหนึ่ง อสุรกายกุ่ยหวังก็ไม่กล้าบุ่มบ่ามโจมตีอีก มันจึงทำได้แค่โคจรไออสูรเข้าคุ้มกันร่างตนเอง เพื่อป้องกันยันต์เซียนไท่หยิน
“หื้อ?”
จากนั้นอสุรกายกุ่ยหวังก็รู้สึกถึงความผิดปกติอีกครั้ง...
บัดนี้ภายในร่างของมันมีไออสูรอื่นปลอมปนเข้ามาเสียแล้ว พอพินิจชั่วครู่ก็เข้าใจได้ทันที ว่าไออสูรนี่ก็คือไออสูรที่เคยส่งเข้าไปติดตามหลินเฟยเมื่อก่อนหน้านี้ กระทั่งตามมาถึงเมืองวั่งไห่ได้นั่นเอง
คิดไม่ถึงว่าไออสูรสายนี้จะถูกหลินเฟยขับออกมาตั้งนานแล้ว พอสบโอกาสเขาก็ส่งมันคืน แต่ถึงอย่างไรตนเองก็มีอายุขัยเหลือไม่มาก การมีไออสูรเพิ่มเข้ามาในร่างกายเช่นนี้ จึงถือว่าเป็เื่ดี...
ทว่าตอนนี้...
ที่รอดจากการโจมตีของยันต์เซียนไท่หยินได้นั้น ก็เพราะร่างครึ่งอสูรครึ่งอาวุธของมัน ฉะนั้นเมื่อไออสูรนี้กลับเข้าร่าง จึงกลายเป็การเปิดเผยร่างที่แท้จริงของออกมาเปรียบดั่งเขียนป้ายแปะไว้ที่หน้าผากว่า “ข้าคืออสูร...”
เพียงครู่เดียวเท่านั้นอสุรกายกุ่ยหวังก็เข้าใจสถานการณ์ทั้งหมด มันรู้ดีว่าบัดนี้ตนเองได้ถูกตลบหลังเข้าแล้ว และไม่อาจใช้ร่างมีดบินฮั่วอู๋ได้อีก ไม่เช่นนั้นละก็ หากถูกพลังของยันต์โจมตีอีกครั้งขึ้นมา ต่อให้เป็ร่างจริงก็อาจจะแตกสลายได้เลย...
แต่ถึงอย่างนั้นหลินเฟยก็มีพลังเพียงมิ่งหุนเคราะห์สองเท่านั้น ต่อให้ไม่มีพลังของมีดบินฮั่วอู๋ เ้าอสุรกายก็มีโอกาสเอาชนะหลินเฟยได้อยู่ดี
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------