ร่างของหมี่หลันหยางนอนลงบนเตียงนอนในตู้รถไฟอย่างสบายอารมณ์ เขาบิดี้เีไล่ความเหนื่อยล้าที่สะสมมาจนหมดสิ้น "หลันเยว่ พูดจริงด้วยแฮะ นอนสบายกว่าเยอะ แถมยังไม่เสียเวลาชมวิวอีก"
เฉียนหย่งจิ้นหัวเราะแหะๆ เห็นด้วย "นั่นน่ะสิ พวกเราผู้ชายอกสามศอกนี่มันขี้เหนียวจริงๆ มองการณ์ไกลไม่เท่าหลันเยว่ สายตาสั้นจริงๆ"
หลินเผิงเฟยแค่นเสียงดัง "ใช่ พวกเรามันขี้เหนียว ตอนนี้นายนอนสบายใจเฉิบ แต่เงินค่าเตียงน่ะหลันเยว่ออกให้ทั้งนั้น นายแค่ตามน้ำเสวยสุข ยังกล้าพูดว่าตัวเองสายตาสั้น ฉันว่าทั้งตัวนายมันสั้นไปหมดแล้ว!"
หนิวเถียจู้ฟังทั้งสามคนหยอกล้อกันก็แค่ยิ้มๆ ไม่พูดอะไร ยกสายตาชมทิวทัศน์ที่เคลื่อนผ่านหน้าต่างด้วยความเร็วสูง ทำให้ใจเขาพลุ่งพล่านอยากจะัั นี่คือภาพที่สวยงามบนเส้นทางสู่โลกอนาคตของเขา แล้วอนาคตของเขาจะงดงามยิ่งกว่านี้ไหมนะ เขาหันไปมองหลันเยว่อย่างไม่รู้ตัว ดวงตาฉายแววขอบคุณ
หมี่หลันเยว่ไม่ได้ใส่ใจกับการตัดพ้อของหนุ่มๆ พวกนั้น สิ่งที่เธอรู้สึกคือ ในชาติก่อน การจะซื้อตั๋วนอนสักใบมันยากเย็นมาก แย่งกันหัวแทบแตก แต่ตอนนี้ทุกคนกลับแย่งกันซื้อตั๋วนั่ง เพื่อประหยัดเงินไม่กี่หยวน เห็นได้ชัดว่าการหาเงินมันยากลำบากเพียงใด
"หลันเยว่ รู้ไหมว่าชิงหวาเป็ยังไง จะใหญ่อลังการไหม?"
หมี่หลันหยางมองน้องสาวที่นอนอยู่บนเตียงฝั่งตรงข้ามด้วยความอยากรู้อยากเห็น เพื่อความปลอดภัยของน้องสาว หมี่หลันหยางให้น้องสาวนอนเตียงกลาง ส่วนตัวเองนอนเตียงตรงข้าม
เฉียนหย่งจิ้นและหลินเผิงเฟยนอนเตียงล่าง ส่วนหนิวเถียจู้นอนเตียงบนคนเดียว ฝั่งตรงข้ามเขาก็เป็ชายหนุ่มคนหนึ่งเช่นกัน เพียงแต่ดูจะมีอายุมากกว่าพวกเขาเล็กน้อย ประมาณยี่สิบเจ็ดยี่สิบแปดปี ดูสุภาพเรียบร้อยมาก เขานอนอยู่เตียงบนของหมี่หลันเยว่ ซึ่งเป็ตำแหน่งที่หมี่หลันหยางจงใจจัดให้ เพื่อให้น้องสาวไม่ตกเป็เป้าสายตาของใครได้ง่าย
"ฉันก็บอกไม่ถูกเหมือนกัน ชิงหวาเป็มหาวิทยาลัยที่มีประวัติมาอย่างยาวนาน คำว่า 'อลังการ' คงใช้อธิบายไม่ได้ ยิ่งมหาวิทยาลัยที่มีภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมมากมันยิ่งไม่ใช่แบบที่เน้นทำตึกให้ดูใหญ่โตหรูหรา แค่ได้เห็นด้วยตา ก็รู้สึกกินใจจนบอกไม่ถูกแล้ว”
หมี่หลันเยว่ไม่ได้สังเกตว่าชายหนุ่มที่นอนอยู่เตียงบนของเธอ ยกยิ้มเล็กน้อย ราวกับเห็นด้วยกับสิ่งที่เธอพูด ส่วนหนิวเถียจู้มัวแต่ตั้งใจฟังหมี่หลันเยว่พูดจึงไม่ได้สังเกตปฏิกิริยาของชายตรงข้าม
"มหาวิทยาลัยชิงหวา มีประตูใหญ่หลายประตู แต่ละประตูก็แตกต่างกัน ส่วนจะให้ความรู้สึกแบบไหน ก็แล้วแต่คนจะมอง แต่ถ้าให้พูดถึงสิ่งที่ฉันประทับใจที่สุดในชิงหวา ก็คงจะเป็คติพจน์ประจำมหาวิทยาลัย 'บากบั่นไม่ท้อถอย สร้างคุณธรรมค้ำจุนโลก'"
ชายหนุ่มที่นอนอยู่เตียงบน ได้ยินเสียงใสๆ ของเด็กสาวคนนี้พูด ก็รู้สึกหวั่นไหวในใจอย่างบอกไม่ถูก แต่เขาก็ไม่กล้าก้มลงไปมองเด็กสาว จึงหันไปมองหมี่หลันหยางที่นอนอยู่เตียงกลาง ฟังจากน้ำเสียงแล้ว น่าจะสนิทกับเด็กสาวคนนี้มาก
"'บากบั่นไม่ท้อถอย สร้างคุณธรรมค้ำจุนโลก'?"
หมี่หลันหยางทวนคำพูด ราวกับกำลังลิ้มรสความหมายที่ซ่อนอยู่ในถ้อยคำเ่าั้ ส่วนเฉียนหย่งจิ้นที่นอนอยู่เตียงล่างก็ถามออกมาตรงๆ "หลันเยว่ ช่วยอธิบายหน่อยได้ไหม ให้พวกเราได้ััความหมายที่ลึกซึ้งของคติพจน์ประจำมหาวิทยาลัยชิงหวาด้วย"
หมี่หลันเยว่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยออกมาเบาๆ "สองประโยคนี้ มาจาก 'คัมภีร์อี้จิง' ประโยคหนึ่งคือ 'ฟ้าดำเนินไปอย่างแข็งขัน ผู้มีคุณธรรมจึงบากบั่นไม่ท้อถอย' เป็ประโยคหนึ่งในบทเฉียน อีกประโยคหนึ่งคือ 'แผ่นดินทรงพลัง ผู้มีคุณธรรมจึงสร้างคุณธรรมค้ำจุนโลก' เป็ประโยคหนึ่งในบทคุน"
"แต่ความเข้าใจของแต่ละคนก็แตกต่างกันออกไป เมื่อเราเข้าใจชิงหวาอย่างลึกซึ้ง เข้าใจตัวเราเองอย่างลึกซึ้ง เข้าใจสังคมของเรา และก้าวไปพร้อมกับการพัฒนาของสังคม ก็อาจจะมีความเข้าใจและความคิดเห็นของตัวเองเกี่ยวกับสองประโยคนี้ก็ได้"
"ฉันเคยเห็นอาจารย์ท่านหนึ่งอธิบายไว้แบบนี้ ผู้มีคุณธรรมควรดำเนินชีวิตเหมือนท้องฟ้าที่ไม่หยุดนิ่ง แม้จะต้องระหกระเหินก็จะไม่ยอมจำนน ถ้าคุณเป็ผู้มีคุณธรรม การปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นและการตัดสินใจของคุณจะต้องเหมือนแผ่นดิน ที่สามารถรองรับทุกสิ่งได้โดยไม่มีสิ่งใดที่ไม่สามารถแบกรับได้"
นี่คือสิ่งที่หมี่หลันเยว่เคยค้นคว้าข้อมูลเกี่ยวกับมหาวิทยาลัยชั้นนำมากมาย ตอนที่ลูกสาวของเธอกำลังจะสอบเข้ามหาวิทยาลัย แน่นอนว่าเธออยากเข้าเรียนในสถาบันที่มีชื่อเสียงอย่างชิงหวาและเป่ยต้า แต่เธอก็รู้ว่าคะแนนของลูกสาวคงไม่ถึงเกณฑ์
แต่เธอก็ใช้โอกาสนี้ ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงเหล่านี้ ในใจของหมี่หลันเยว่ เธอชอบเป่ยต้ามากกว่า เพราะวิชาด้านมนุษยศาสตร์ของหมี่หลันเยว่ เก่งกว่าวิชาวิทยาศาสตร์ แต่ในชาตินี้เธอ้าที่จะบริหารธุรกิจของตัวเองให้ดี เธอจึงต้องทุ่มเทให้กับสาขาบริหารธุรกิจให้มากขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เธอจึงต้องพยายามอย่างหนักหลายเท่า เพื่อสอบเข้าชิงหวาให้ได้
แต่ชิงหวาก็เป็สิ่งที่เธอเอื้อมไม่ถึงในอดีต การได้สอบเข้าเรียนที่นี่ หมี่หลันเยว่รู้สึกขอบคุณ์มาก เหมือนกับที่เธอเคยค้นพบบทอธิบายคติพจน์ประจำมหาวิทยาลัยบนอินเทอร์เน็ต คำพูดของอาจารย์ท่านนี้ ทำให้เธอจดจำได้อย่างลึกซึ้ง แม้จะเกิดใหม่ในชาตินี้ ก็ยังคงจารึกอยู่ในใจ
คำพูดของหมี่หลันเยว่ ทำให้ทุกคนเงียบไปบ้าง การเดินทางออกจากเมืองเล็กๆ อย่างซวงเฉิง ทุกคนแค่แบกใบรับรองผลการสอบ แล้วเดินหน้าอย่างไม่ย่อท้อ ไม่มีโอกาสที่จะคิดอย่างลึกซึ้งว่า ตัวเองจะทำอะไรให้สำเร็จ จะเป็คนแบบไหน แต่คำพูดของหมี่หลันเยว่จุดประกายไฟในใจของหนุ่มๆ เ่าั้
"สาวน้อยพูดได้ดี ไม่นึกเลยว่าอายุน้อยแค่นี้ มองอะไรได้ลึกซึ้งขนาดนี้ เรามาคุยกันหน่อยไหม?"
เสียงพูดที่ดังมาจากเตียงบน ทำให้หนุ่มๆ ที่กำลังจมอยู่ในความคิดของตัวเองสะดุ้งตื่น พวกเขาเงยหน้ามองไปยังที่มาของเสียง ก็เห็นคนคนหนึ่งโผล่ออกมาจากเตียงบน
"ได้ค่ะ เรามาคุยกันนะคะ"
การที่ตอบรับคำพูดของเขาได้แบบนี้ หมี่หลันเยว่คิดว่าคนคนนี้ต้องมีพื้นฐานทางความคิดอยู่บ้าง บางทีอาจจะให้ข้อคิดดีๆ แก่เธอบ้างก็ได้
หมี่หลันหยางตั้งใจจะปฏิเสธ แต่ไม่คิดว่าน้องสาวจะตอบตกลงอย่างรวดเร็ว เขาก็ได้แต่ลุกขึ้นจากเตียง เพื่อปกป้องน้องสาวไปยังเตียงล่าง ชายหนุ่มที่นอนอยู่เตียงบนก็ลงมาพร้อมกับหนิวเถียจู้ ทั้งหกคนนั่งเผชิญหน้ากันบนเตียงล่าง
"ฉันชื่อเจิ้งซวี่เหยา เป็อาจารย์พิเศษของมหาวิทยาลัยชิงหวา เพิ่งกลับมาจากอเมริกา พวกเธอเป็นักศึกษาใหม่ของชิงหวาปีนี้ใช่ไหม ไม่ทราบว่าเรียนคณะอะไร เผื่อพวกเราอาจจะมีโอกาสได้ทำโครงงานวิจัยร่วมกัน"
เจิ้งซวี่เหยายื่นมือให้หมี่หลันเยว่ก่อน เขาดูออกอย่างชัดเจนว่า เด็กสาวที่ดูตัวเล็กกว่าเด็กหนุ่มคนอื่นๆ คนนี้ คือศูนย์กลางของกลุ่ม
"สวัสดีค่ะ อาจารย์เจิ้ง พวกเราเป็นักศึกษาใหม่ของชิงหวาปีนี้ค่ะ ฉันชื่อหมี่หลันเยว่ค่ะ"
หมี่หลันเยว่ยื่นมือออกไป จับมือกับอาจารย์พิเศษสุดหล่อจากชิงหวา จากนั้นก็เป็หมี่หลันหยาง
"สวัสดีครับ อาจารย์เจิ้ง ผมชื่อหมี่หลันหยาง"
"สวัสดีครับ อาจารย์เจิ้ง ผมชื่อเฉียนหย่งจิ้น"
"สวัสดีครับ อาจารย์เจิ้ง ผมชื่อหลินเผิงเฟย"
"สวัสดีครับ อาจารย์เจิ้ง ผมชื่อหนิวเถียจู้"
เพราะต้องเผชิญหน้ากับอาจารย์พิเศษของชิงหวา แถมยังเพิ่งกลับมาจากอเมริกา ทำให้หนุ่มๆ เหล่านี้รู้สึกเคารพยำเกรงโดยไม่รู้ตัว ท่าทีจึงดูสุภาพเป็พิเศษ คนที่นั่งอยู่ก็ตั้งตัวตรงขึ้นโดยไม่รู้ตัว
"พวกเธอไม่ต้องเกร็งหรอก ฉันแค่ได้ยินสิ่งที่สาวน้อยพูดเมื่อกี้นี้ ก็เลยสนใจที่จะลงมาคุยด้วย เมื่อกี้ได้ยินพวกเธอคุยกันเื่คติพจน์ประจำมหาวิทยาลัยชิงหวา ฉันพอจะพูดอะไรได้บ้าง เพราะเมื่อห้าปีก่อน ฉันก็จบจากชิงหวาเหมือนกัน"
เมื่อได้ยินว่าอาจารย์เจิ้งท่านนี้ก็เคยเป็นักศึกษาของชิงหวา ทุกคนก็รู้สึกสนิทสนมกันมากขึ้น
"'ฟ้าดำเนินไปอย่างแข็งขัน ผู้มีคุณธรรมจึงบากบั่นไม่ท้อถอย' หมายถึง สรรพสิ่งในโลกดำเนินไปอย่างแข็งแกร่งมั่นคงและไม่หยุดนิ่ง การที่จะเป็คนที่มีความสามารถ จะต้องเลียนแบบการเคลื่อนที่ของจักรวาล มีความขยันหมั่นเพียร มีความแข็งแกร่ง"
"บากบั่นไม่ท้อถอย คือแก่นแท้ทางความคิดของชาวชิงหวา และยังเป็แรงบันดาลใจให้ชาวชิงหวาหลายหมื่นคนบากบั่นไม่ท้อถอย และยังหวังว่าจิติญญานี้จะสืบทอดต่อไปอย่างไม่สิ้นสุด บรรพบุรุษของชิงหวาใช้สี่คำนี้สร้างชิงหวาในวันนี้"
"'แผ่นดินทรงพลัง ผู้มีคุณธรรมจึงสร้างคุณธรรมค้ำจุนโลก' หมายถึง ความหนาแน่นของแผ่นดินค้ำจุนสรรพสิ่ง การที่จะเป็คนที่มีความสามารถก็ต้องเลียนแบบความใจกว้างของแผ่นดิน ทำให้ตัวเองมีคุณธรรมสูงส่ง แต่หยินหยางรวมกันคือวิถีทาง ความสมดุลระหว่างหยินและหยาง ความแข็งแกร่งและความอ่อนโยนที่อยู่ร่วมกัน คือความเป็มนุษย์ที่สมบูรณ์แบบ"
"ทำในสิ่งที่ควรทำ และไม่ทำในสิ่งที่ไม่ควรทำ ยิ่งต้องทำในสิ่งที่ยิ่งใหญ่ นี่คือการแสวงหาจิติญญาที่เราต้องมีเมื่อเข้าสู่มหาวิทยาลัยชิงหวา แต่ไม่ว่าฉันจะพูดอะไร ก็เป็เพียงชิงหวาในจินตนาการเท่านั้น หวังว่าหลังจากที่พวกเธอได้เข้าสู่ชิงหวาแล้ว จะสามารถเข้าใจมหาวิทยาลัยแห่งนี้อย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น และเข้าใจตัวเองได้อย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น"
"ขอบคุณค่ะอาจารย์เจิ้ง ไม่นึกเลยว่าพวกเรายังไม่ได้เข้าสู่ชิงหวา ก็มีโอกาสให้อาจารย์สอนบทเรียนให้ก่อนแล้ว ทำให้พวกเราได้รับประโยชน์อย่างมาก"
หมี่หลันเยว่รู้สึกว่าอาจารย์เจิ้งท่านนี้เก่งกาจมาก คำพูดของเขาทำให้เธอเข้าใจชิงหวาอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น
"ฉันแค่พูดความคิดเห็นของตัวเองแบบตื้นๆ จะเรียกว่าทำให้พวกเธอได้รับประโยชน์อะไรได้ ฉันเพิ่งพูดถึงจิติญญาที่สืบทอดกันมาของชิงหวาเท่านั้น รอให้พวกเธอเข้าไปในมหาวิทยาลัยชิงหวาจริงๆ เธอก็จะเข้าใจและััได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น"
เจิ้งซวี่เหยาถ่อมตัวมาก เพราะเขาเดินทางไปไกล เห็นอะไรมาเยอะ จึงตระหนักว่า เหนือฟ้ายังมีฟ้า ความรู้ที่เขาเรียนมา ประสบการณ์ที่เขาได้รับ ยังเป็เพียงแค่ผิวเผิน ในต่างประเทศ เขาได้เห็นทฤษฎีและวัฒนธรรมที่แข็งแกร่งกว่านี้อีกมากมาย
วัฒนธรรมและคุณธรรมของประเทศชาติ จำเป็ต้องได้รับการยกระดับอย่างเร่งด่วน เขา้าที่จะนำความรู้ทางทฤษฎีและการปฏิบัติที่เขาได้ััมาในต่างประเทศ มาปฏิบัติและประยุกต์ใช้ในประเทศ เขาจึงตัดสินใจละทิ้งสวัสดิการที่มากมายในต่างประเทศ กลับสู่ประเทศ และรับเชิญให้เป็อาจารย์พิเศษของชิงหวา
ในความคาดหวังของเขา แม้ว่าตัวเองจะเป็เพียงแค่เม็ดทรายในมหาสมุทร ไม่ได้โดดเด่นอะไร แต่ก็เคยเห็นความเจริญรุ่งเรืองของต่างประเทศ ดังนั้น เขาจึงอยากจะทำทุกวิถีทางที่จะช่วยให้คนรุ่นหลังของประเทศชาติ ได้เรียนรู้ความรู้ที่มีประโยชน์มากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งทฤษฎีที่ผ่านการปฏิบัติมาแล้ว จะเป็ประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศมากยิ่งขึ้น
"ใช่แล้ว พวกเรายังแค่จินตนาการถึงชิงหวา หวังว่าตอนที่พวกเราได้เห็นมันจริงๆ จะมีความรู้สึกที่แตกต่างจากที่จินตนาการไว้ในใจ"
หมี่หลันเยว่รู้สึกปรารถนาที่จะไปที่นั่นอย่างมาก มากกว่าที่เคยรู้สึก อยากจะรีบไปพิสูจน์ว่าจินตนาการกับความเป็จริงแตกต่างกันมากแค่ไหน
