“หึๆๆ...” ต้วนเหลยถิงส่ายหน้าอย่างจนปัญญา
“มีสตรีตั้งมากมายเพียงใดอยากแต่งเข้าราชวงศ์เพื่อทะยานสู่ฟ้า แต่เ้ากลับดีเสียจริง หลังได้ยินว่าออกเรือนกับทายาทตระกูลสูงศักดิ์ของราชวงศ์กลับหลบเลี่ยงราวกับเป็อสรพิษก็มิปาน
ทว่าน่าเสียดาย คิดจะหนียามนี้ก็สายเกินไปแล้ว เ้าอย่าได้หวังว่าจะหลุดจากเงื้อมมือของข้าไปได้ตลอดกาล”
สิ้นคำกล่าว ต้วนเหลยถิงก็พลิกกายกดเคอโยวหรานเอาไว้ ริมฝีปากแฝงความเย็นเล็กน้อยพลันทาบทับลงไป...
“อื้อ...” เคอโยวหรานถูกกดกายเอาไว้โดยไม่ทันตั้งตัวแม้แต่นิด จูบอันดูดดื่มดั่งพายุโหมกระหน่ำ กลืนกินลมหายใจของนางไปภายในเสี้ยววินาทีจนร่างกายค่อยๆ อ่อนระทวยดั่งสายน้ำ
หลังผ่านไปเนิ่นนาน ต้วนเหลยถิงก็หอบหายใจหนักพลางเอาหน้าผากแตะกับหน้าผากของเคอโยวหราน ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบพร่าระคนทุ้มต่ำว่า
“โยวหราน รอกระทั่งกลับเรือนค่อยรักถนอมเ้าให้ดี ข้ามิอาจปล่อยให้เ้าถูกผู้อื่นครหาเอาได้”
ดวงหน้าเรียวเล็กของเคอโยวหรานแดงเถือกไม่ต่างกับมะเขือเทศสุก หัวใจเต้นระส่ำจนแทบจะะโออกมาเสียแล้ว
นางผินหน้าหนีด้วยความเขินอาย ทั้งยังหยิกลงบนเอวแกร่งของต้วนเหลยถิงอย่างแรงอีกด้วย
“ฮ่าๆๆ...” ต้วนเหลยถิงหัวเราะเสียงดัง เขาพลิกกายลุกขึ้นนั่งแล้วจัดระเบียบโฉนดที่ดิน โฉนดบ้านเรือน และตั๋วเงินต่างๆ ให้เรียบร้อย
จากนั้นเอื้อมมือเข้าไปยังด้านในลิ้นชักที่มิดชิดที่สุด หยิบสร้อยไพลินรูปหยดน้ำสีน้ำเงินซึ่งทำขึ้นด้วยฝีมืองามประณีตออกมาสวมลงบนลำคอของเคอโยวหรานอย่างอ่อนโยน
“แม่ทูนหัว นี่คือสร้อยที่ไทฮองไทเฮา [1] พระราชทานให้ตอนข้าชนะการประลองยุทธ์ของเชื้อพระวงศ์เมื่อครั้งอายุสิบห้าและได้รับสืบทอดบรรดาศักดิ์ของเสด็จพ่อ ใต้หล้านี้มีแค่หนึ่งเดียว มีเพียงเ้าที่ได้”
เคอโยวหรานก้มหน้าลงมอง สร้อยคอเส้นนี้ใสแวววาว ฝีมือช่างและการตกแต่งทั้งงามประณีตสมบูรณ์แบบ หยดน้ำสีน้ำเงินขับให้ผิวของตนดูขาวเนียนกว่าเดิมจนราวกับจะแตกหักได้โดยการเป่าลมเพียงแ่เบา
เครื่องประดับเช่นนี้ แม้จะอยู่ในยุคปัจจุบันที่เป็โลกแห่งเพชรพลอยก็ยังสร้างความตกตะลึงได้ทั่วหล้า เหตุใดบุรุษผู้นี้บอกว่าจะให้ตนก็ให้เสียแล้ว?
อีกทั้งสร้อยคอที่ล้ำค่าถึงเพียงนี้ จะต้องเป็สิ่งที่สตรีในเชื้อพระวงศ์แย่งชิงกัน ไทฮองไทเฮาเอามาให้ต้วนเหลยถิงที่เป็บุรุษด้วยเหตุใด?
เช่นนี้ไม่เท่ากับทำให้ต้วนเหลยถิงเกิดความหมางใจกับสตรีทั้งราชวงศ์หรืออย่างไร? อย่าได้เห็นว่าสตรีอยู่ในเรือนหลัง แต่การเป่าหูข้างหมอนยังคงส่งผลต่อบุรุษ นั่นเป็ถึงวิธีการอันยอดเยี่ยมทีเดียว
ครั้นผู้มีอำนาจในราชสำนักต่างชี้หอกมาทางอี้อ๋อง เช่นนั้นไม่เท่ากับตกเป็เป้าของคนจำนวนมากหรอกหรือ?
ในขณะที่ความคิดของเคอโยวหรานกำลังล่องลอย ต้วนเหลยถิงที่อยู่ด้านหลังก็โอบเคอโยวหรานผ่านทางด้านหลัง เปิดชั้นประกบของหีบแล้วนับจำนวนสมบัติหายากภายในนั้น
“เครื่องประดับศีรษะชิ้นนี้ ในปีนั้นฮองเฮาสั่งให้ช่างร้อยกว่าคนเร่งทำข้ามวันข้ามคืนเป็เวลาสองปีกับอีกสามเดือนจึงค่อยแล้วเสร็จ เตรียมจะเอาไว้ใช้ตอนเข้าร่วมพิธีบวงสรวง์
ผลสุดท้ายข้าโดดเด่นในพิธีล่าสัตว์ของเชื้อพระวงศ์ เสด็จปู่ทรงดีพระทัยจึงยืมดอกไม้ถวายพระ [2] นำมาพระราชทานให้ข้า ทั้งยังรับสั่งอีกว่าจงเอาไว้ให้ภรรยาในภายหน้าสวมใส่ ยามนั้นสีพระพักตร์ของฮองเฮาดูราวกับหญ้าบนดินก็มิปาน”
“เช่นนั้นไม่เท่ากับสร้างความหมางใจให้เสด็จย่าของท่านอย่างถึงที่สุดหรอกหรือ?” เคอโยวหรานขมวดคิ้ว
“อาจดูเหมือนเสด็จปู่ของท่านพระราชทานรางวัลให้ท่าน แต่แท้จริงแล้วกำลังสร้างศัตรูให้ท่านต่างหากเล่า เขาไม่ชอบท่านมาโดยตลอดใช่หรือไม่เ้าคะ?”
“หึๆๆ...” ต้วนเหลยถิงเอานิ้วลูบปลายจมูกงามงอนของเคอโยวหราน
“เ้าเป็แม่นางน้อยที่เติบใหญ่มาในชนบท เหตุใดถึงได้คุ้นเคยกับเื่ซับซ้อนภายในราชวงศ์ดีถึงเพียงนี้? เมื่อครู่ข้าเพิ่งเปิดเื่ เ้าก็พบสาเหตุที่แท้จริงของเื่ราวเสียแล้ว”
มุมปากของเคอโยวหรานกระตุก จากนั้นจึงหยิบอัญมณีที่อยู่ข้างในหีบออกมาลูบไล้เล่นทีละชิ้น
แต่ละชิ้นล้วนงดงาม ฝีมือประณีต นางจึงเอ่ยหยอกเย้ากับต้วนเหลยถิงว่า
“ซานหลาง เหตุใดในหีบของท่านจึงเต็มไปด้วยเครื่องประดับของสตรี อย่าได้บอกข้าว่าสิ่งของเหล่านี้ล้วนแต่มีภูมิหลังเป็เื่น้ำเน่าทั้งสิ้นเชียวนะเ้าคะ”
มุมปากของต้วนเหลยถิงหยักยกเป็องศาจนปัญญา “เดาถูกแล้ว เป็ดังที่เ้ากล่าวมา ข้าวของแต่ละชิ้นล้วนมีเพียงหนึ่งไม่มีสอง เป็สมบัติล้ำค่าในบรรดาสมบัติล้ำค่า
สตรีในราชวงศ์ต่างพากันอิจฉาริษยาและอยากได้มาครอบครัว ทว่าน่าเสียดายที่พวกมันตกอยู่ในมือของข้า จึงทำได้เพียงเก็บซ่อนความริษยาไว้ในใจเท่านั้น”
เคอโยวหรานจิ๊ปาก “มิน่าถึงได้เกิดเื่กับครอบครัวของท่าน เมื่อมีผู้าุโที่ขุดหลุมฝังหลานเช่นนี้ ไม่ว่าช้าหรือเร็วก็ต้องกลายเป็หนามยอกอกของผู้อื่น
ยามนั้นพวกท่านต้องตกทุกข์ได้ยากด้วยสาเหตุใด? เพราะถูกค้นจวนริบทรัพย์หรือเ้าคะ?”
ต้วนเหลยถิงส่ายหน้า “ไม่ พวกเรามิได้ถูกค้นจวนริบทรัพย์ ั้แ่เกิดเื่จนถึงป่านนี้ก็ยังมิอาจเข้าใจสถานการณ์ได้อย่างชัดเจน
ยามนั้นข้า พี่ใหญ่ และพี่รองได้รับจดหมายลับเร่งด่วนจากเสด็จพ่อ บอกให้พวกเราโยกย้ายคนในจวนแล้วรีบหนีไป เสด็จพ่อมิได้บอกเล่ารายละเอียดของสาเหตุ ทั้งยังไม่มีคำอธิบายแม้แต่นิดอีกด้วย”
ชายหนุ่มขมวดคิ้วหวนนึก “ข้าได้รับจดหมายลับโยกย้ายจวน เตรียมจะไปถามเสด็จพ่อถึงรายละเอียด แต่ท่านแม่กลับพาพี่ใหญ่ พี่รอง และพี่สะใภ้ทั้งสองมาหาข้า บอกเพียงว่าเสด็จพ่อถูกทำร้าย พวกเราจำต้องหนีไปโดยเร็ว
หลังจากนั้นก็ถูกชายชุดดำสวมผ้าคลุมไล่ล่าไม่ยอมรามือ ข้าคอยสังเกตคำสั่งราชสำนักตามทุกเมืองโจวฝู่และอำเภอตลอดหนทางที่ผ่านมา
ทว่ากลับไม่มีคำใดเอ่ยถึงเื่เชื้อสายของอี้อ๋องแม้แต่คำเดียว กระทั่งเื่ที่จวนพวกเราเกิดเื่ก็ยังไม่ถูกประกาศออกมา”
เคอโยวหรานวางเครื่องประดับทั้งหมดกลับเข้าในหีบแล้วเอ่ยว่า “ท่านเคยถามท่านแม่สกุลต้วนแล้วหรือไม่เ้าคะ? ข้าจำได้ว่าอั้นจิ่วเคยบอกว่า้าสังหารท่านกับพวกท่านพี่ แต่กลับไว้ชีวิตท่านแม่เพียงผู้เดียว
ย่อมหมายความว่าท่านแม่จะต้องรู้บางสิ่ง ไม่แน่ว่านางอาจเข้าใจดีถึงสาเหตุที่เกิดหายนะครั้งใหญ่ภายในจวนก็เป็ได้เ้าค่ะ”
“เฮ้อ...” ต้วนเหลยถิงถอนหายใจ “ข้าเคยถามแล้ว ตลอดสองปีมานี้ ข้าพยายามหาโอกาสถามท่านแม่อยู่ตลอด แต่นางกลับบ่ายเบี่ยงพวกข้าด้วยข้ออ้างสารพัด
เื่ราวภายในครอบครัวไม่ต่างกับม่านหมอก ในขณะที่ข้าคิดว่าคว้าจุดสำคัญเอาไว้ได้ เื่ราวที่เกิดขึ้นในภายหลังกลับทำลายการวิเคราะห์ของข้าจนพังทลายเสียทุกครั้ง”
เคอโยวหรานปลดสร้อยบนลำคอของตนออก วางกลับลงไปเก็บไว้ในหีบแล้วเอ่ยว่า
“ไม่ต้องคิดแล้วเ้าค่ะ ย่อมต้องมีวันที่น้ำลดตอผุด ยามนี้ข้าเป็เพียงหญิงชนบท หากสวมสร้อยคอเช่นนี้ออกไปข้างนอกคงไม่เหมาะสมนัก เก็บเอาไว้ก่อนแล้วค่อยว่ากันในภายหน้าเถิดเ้าค่ะ”
ต้วนเหลยถิงโอบกอดเคอโยวหราน ชายหนุ่มซุกศีรษะลงบนไหล่ของนางพลางเอ่ย “ทูนหัว นับแต่วันนี้ไป หีบใบนี้และข้าวของที่อยู่ภายในล้วนกลายเป็ของเ้า คิดอยากจะทำสิ่งใดก็ตามใจเ้าเถิด”
เคอโยวหรานตะลึง “ตามการวิเคราะห์เมื่อครู่ของท่าน สิ่งของที่อยู่ภายในนี้แทบจะเท่าครึ่งท้องพระคลังของหนึ่งแคว้นแล้ว ท่านบอกจะให้ข้าก็ให้หรือเ้าคะ? เช่นนี้คงไม่ดีนักกระมัง? ยังมีทางฝั่งท่านแม่กับท่านพี่...”
เคอโยวหรานยังพูดไม่ทันจบ ต้วนเหลยถิงพลันหัวเราะแล้วเอ่ยขัดจังหวะนาง “ของเหล่านี้ล้วนคือทรัพย์สินส่วนตัวของข้า ไม่เกี่ยวข้องอันใดกับท่านแม่และท่านพี่ ทุกสิ่งของข้าล้วนแต่เป็ของเ้า รวมถึงตัวข้าผู้นี้เช่นกัน”
กล่าวจบ เขาก็ก้มศีรษะประทับจูบลงบนกระดูกไหปลาร้าของเคอโยวหรานอย่างหนักหน่วง ราวกับ้าประทับตราของตนเองลงบนกายของนางก็มิปาน
เคอโยวหรานถึงกับอ่อนระทวยไปทั้งร่าง ถูกต้วนเหลยถิงโอบอุ้มด้วยความอ่อนโยนจนรู้สึกอบอุ่นโดยทั่ว
อย่าว่าแต่ในยุคโบราณเช่นนี้ที่ยึดหลักกฎทั้งสามและมรรคทั้งห้า บุรุษต่างเห็นทรัพย์สินสำคัญยิ่งกว่าชีวิต
เพราะกระทั่งในยุคปัจจุบัน ยังจะมีบุรุษที่สามารถหักใจยกทรัพย์สินทั้งกายให้สตรีคอยดูแลสักกี่คนกัน?
เคอโยวหรานกัดริมฝีปาก เก็บความรู้สึกตื้นตันเต็มอกเอาไว้แล้วสวมรองเท้าก้าวลงพื้น
“ข้าจะไปทำกับข้าวให้ท่านสักหน่อย จากนั้นก็นอนพักดีๆ สักตื่น หลังฟ้าสาง ท่านยังต้องออกไปข้างนอก คิดหาหนทางเอาตัวรอดจากหน้าผาของเขาเหลียนอู้ ข้ายังรอให้ท่านกลับเรือนอย่างปลอดภัยอยู่นะเ้าคะ!”
ต้วนเหลยถิงกลับกดเคอโยวหรานลงบนเตียงแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงละมุนว่า “วันนี้คือวันเปิดกิจการของโรงงาน เ้าจะต้องเหนื่อยมากเป็แน่ ข้าออกไปทำบางสิ่งกินเองเป็พอ เ้าพักผ่อนเถิด”
กล่าวจบ ต้วนเหลยถิงก็ช่วยห่มผ้าให้นาง ก่อนนำหีบกลับไปวางบนโต๊ะข้างหัวเตียงแล้วสวมรองเท้าออกไปข้างนอก
บุรุษผู้นี้? ช่างอบอุ่นนัก...
---------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] ไทฮองไทเฮา 太皇太后 หมายถึง พระอัยยิกาของจักรพรรดิองค์ปัจจุบัน
[2] ยืมดอกไม้ถวายพระ 借花献佛 หมายถึง นำสิ่งของของผู้อื่นมามอบให้กับอีกคนหนึ่งเพื่อแสดงน้ำใจ