“เหตุใดจึงได้รูปงามเยี่ยงนี้” ยังไม่ทันสิ้นความคิด ชายตรงหน้าลืมตาตื่นขึ้น สองสายตาประสานสบกันอย่างไม่ตั้งใจ ทุกอย่างรอบตัวหายวับไปเหลือเพียงเขาและเธอเท่านั้น สายตาหวานไม่อาจละจากดวงตาคมนั้นได้ เหมือนทั้งโลกกำลังหยุดหมุน ได้ยินเพียงเสียงหัวใจของนางดังฝ่าความเงียบออกมา
“ตื่นแล้วเหรอ” คำถามจากยอดฝีมือทำให้ภวังค์ทั้งหมดกลับคืนสู่สภาวะปกติ ท่าทางประหม่าเล็กน้อยของซูเจินทำให้อีกฝ่ายรู้สึกได้ จึงขยับกายลุกนั่งในท่าถนัด
“ข้าขอโทษที่เสียมารยาท” หลังจากนางถอยห่างจากองค์รัชทายาท แล้วตั้งสติได้จึงกล่าวอย่างนอบน้อม
“ที่แอบมองข้าตอนหลับน่ะเหรอ” เขาถามด้วยสุรเสียงราบเรียบเช่นเดิม แต่นั่นทำให้ซูเจินใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นมา พลางหลบสายตาของเขา ด้วยเพราะละอายที่เผลอทำสิ่งไม่ควร
“หิวฤาไม่” น้ำเสียงราบเรียบกล่าวถาม ก่อนเพียงเสี้ยววินาที ที่ฝ่ามือของเขาก็ปรากฏเป็อาหารถ้วยเล็กขึ้น แล้วปรากฏเพิ่มอีกหลายถ้วยในเวลาไล่เลี่ยกัน ซูเจินดวงตาเบิกกว้าง พลันหันกลับมาจับจ้องยังถ้วยอาหารด้วยความอยากรู้อยากเห็นตามนิสัยเดิม
“พลังเวทของท่าน สามารถเสกสิ่งของได้เช่นนั้นฤา” หญิงสาวทำตาโต พลันถามชายหนุ่มด้วยความใคร่รู้
“เช่นนั้นกระท่อม กองไฟ แลทุกอย่างล้วนเกิดขึ้นจากฝีมือของท่านด้วย” โจวอี้เฟยวางทุกอย่างไว้ด้านหน้า สนใจอยู่กับอาหารโดยไม่ตอบคำถามใดๆ ซูเจินเห็นดังนั้นจึงไม่รบเร้าให้เขาตอบ นางเอื้อมมือไปหยิบถ้วยแล้วคีบกินอย่างเงียบๆ
“พลังเวทแบบใดที่ใช้เสกสิ่งของได้ แลพลังเวทของท่านพ่อมิอาจทัดเทียม ท่านยอดฝีมือผู้นี้เป็ใครกันแน่” หญิงสาวรอบคิดในใจ แท้จริงแล้วเขามีหลายอย่างให้นางรู้สึกประหลาดใจอยู่ตลอดเวลา เป็ยอดฝีมือที่ดูลึกลับไม่เว้นแม้แต่กิริยาหรือนิสัยเงียบขรึม อันแสนยากจะคาดเดา
“เหตุใดจึงอยากออกจากแคว้นจ้านหลิว” อยู่ๆ ชายหนุ่มก็ตั้งคำถามขึ้น ก่อนสาวงามจะวางถ้วยข้าวแล้วตั้งท่าบอกจุดประสงค์
“ยามข้าเป็เด็ก ข้าเฝ้าถามพี่เลี้ยงอยู่เสมอว่า ด้านนอกเป็อย่างไร เหมือนดังเช่นที่ข้าอยู่ฤาไม่ พี่เลี้ยงของข้าบ่ายเบี่ยงพูดความจริงเสมอมา ในยามนั้นข้าเชื่อสนิทว่าพื้นที่กว้างใหญ่สิ้นสุดเพียงแค่แคว้นจ้านหลิวเท่านั้น ต่อมาข้าจึงได้รู้ความจริงว่าพื้นดินกว้างใหญ่ ยังมีอีกหลายแคว้นนอกเหนือจากนี้ และเป็ความฝันสูงสุดที่ข้าอยากออกไปเผชิญ”
“นั่นเป็ความฝัน หาใช่จุดประสงค์” ซูเจินหยุดเล่า แล้วหันกลับมายังใบหน้างดงามของเขา
“ดูเหมือนเ้าผิดหวังจากบางอย่าง และเพียงแค่กำลังหนีมันให้พ้นจากแคว้นนี้”
“เหตุใดเขาจึงล่วงรู้ เหมือนกำลังนั่งอยู่ในใจข้า” ซูเจินแววตาระริกรอบคิดในใจ ก่อนรอยยิ้มกว้างของนางจะปรากฏเพื่อปกปิดความจริงที่ยังไม่พร้อมเปิดเผย
“ไม่ว่าอย่างไร ข้าเชื่อว่าท่านจะสามารถพาข้าออกจากแคว้นนี้ได้ ขอเพียงแค่ท่านบอกทางเท่านั้น แล้วข้าจักเดินทางด้วยตนเอง โดยไม่รบกวนท่านอีก” องค์รัชทายาทวางถ้วยข้าวลงแล้วสบตาหญิงสาวอย่างตั้งมั่น
“ต่อให้ข้าบอกทาง เ้าก็ไม่มีวันฝ่ากำแพงเมืองของแต่ละแคว้นไปได้” ถ้อยคำสั้นๆ ชี้ชัดว่าหมดหนทาง ดวงตาระริกฉายแววหมดหวังฉายแววห่อเหี่ยว พลางก้มหลุบต่ำลง ในขณะที่ชายหนุ่มจับจ้องพลางลุกขึ้นยืนทบทวนครู่หนึ่ง แล้วตัดสินใจหันหลังเดินจากมา แสงสว่างด้านนอกพร้อมกับพื้นดินที่ชุ่มน้ำ พาให้เหล่านกและสัตว์น้อยใหญ่ออกหากิน เสียงร้องของเหล่าสรรพสัตว์ดังเจื้อยแจ้วตอบรับตามทางเดิน
สองเท้าเดินฉับๆ จากกระท่อมมาได้ระยะหนึ่ง หากแต่มิอาจสลัดภาพของนางออกจากห้วงความคิดได้ เขาหลับตาลงทบทวนความรู้สึก แล้วหันหลังเดินกลับไปยังกระท่อมนั้นอีกครั้ง สาวงามยังคงนั่งก้มหน้าหมดหวังอยู่ท่าเดิมไม่กระดิกไปไหน สองเท้าหยุดแล้วยืนมองก่อนจะเอ่ยบางอย่าง
“มีอยู่ทางเดียวที่จะช่วยเ้าได้” คำพูดของเขาเหมือนหนทางที่เคยมืดมิดสว่างจ้า ซูเจินเงยใบหน้าแสนงดงามขึ้นมาสบตาอย่างมีความหวัง ร่างบางขยับลุกขึ้นยืนจับจ้องมายังชายหนุ่มรูปงาม แล้วก้าวเข้ามาหา พร้อมรอยยิ้มอ่อนค่อยๆ คลี่ออก
“ท่านมิได้หลอกข้าใช่ฤาไม่” เขาส่ายศีรษะเป็การยืนยัน
ณ ตำหนักขาวที่ไร้ซึ่งเ้าของอาศัยมานาน ซูเจียวให้บ่าวไพร่ขนผ้าอาภรณ์ของราชธิดาซูเจินออกมากองไว้ พร้อมด้วยข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวอีกมากมาย ไม่เว้นแม้แต่รูปวาดที่ซูเจินรักหนักหนา มือบางหยิบขึ้นมาแล้วกำแน่นจนสั่นระริก แม้ซูเจียวได้รับความรักความอบอุ่นมากกว่า ทว่าความริษยายังคลุมใจมิอาจคลายออก ทุกคราที่เห็นตำหนักขาวเด่นตระหง่าน ยังรู้สึกถึงความมีอยู่ของซูเจินมิได้หายไป
“ใจจริง ข้าอยากให้นางตายนัก” ซูเจียวปล่อยเศษรูปวาดที่ขาดเป็ชิ้นๆ โปรยลงพื้น พลางเลื่อนสายตามองตำหนักขาว ที่เปรียบเสมือนเข็มทิ่มแทงหัวใจ
“หมดแล้วฤาไม่” ราชธิดาเอ่ยถามสาวรับใช้ คนสุดท้ายที่เดินออกมา
“หมดแล้วเพคะ”
“เ้าแน่ใจนะ” สายตาคมกริบ พร้อมด้วยน้ำเสียงอันเย็นเยือก ถามเป็ครั้งสุดท้าย
“แน่ใจแล้วเพคะ”
“เ้า! ไปตรวจสอบอีกที อย่าปล่อยให้มีข้าวของเครื่องใช้ ของนางเหลือรอดแม้แต่ชิ้นเดียว” ซูเจียวหันไปสั่งสาวใช้อีกคนที่ยืนอยู่ด้านข้าง เพียงแค่สะกิดเท่านั้นนางรีบหันขวับทำตามคำสั่งทันทีด้วยเกรงอำนาจ สายตาดุดันมองตามร่างหญิงรับใช้ที่หายวับเข้าไปในตำหนักขาว ไม่นานนักนางออกมาพร้อมกับพัดสีแดง ก่อนจะมอบให้กับราชธิดาซูเจียว
ดวงตาวาววับจับไปที่พัดแล้วพลิกดูไปมา จำได้ว่าเป็พัดที่พระราชบิดามอบให้เป็ของขวัญในวัยเด็ก ซูเจียวปรี่เข้าไปตบหน้าหญิงรับใช้คนแรกในทันที
“นี่หรือ ที่บอกว่าแน่ใจแล้ว เหตุใดยังเหลือรอดอยู่”
“หม่อมฉันขออภัยเพคะ” น้ำเสียงสั่นเครือของหญิงรับใช้คนก่อน กล่าวขอความเมตตาจากราชธิดา พร้อมกับคุกเข่าลง ในใจหวาดหวั่นจนไม่อาจเงยหน้ามองพระพักตร์
“เลี้ยงเสียข้าวสุก ออกไปให้พ้นหน้าข้า” นางปัดมือไล่ พร้อมกับร่างของหญิงรับใช้ค่อยๆ หลบออกไปตามคำสั่ง ไม่กี่นาทีหลังจากนั้น เปลวไฟสว่างวาบพร้อมลุกไหม้ทำลายเสื้อผ้าอาภรณ์ข้าวของเครื่องใช้ของซูเจิน ในขณะนั้นซูเจียวยกมือขึ้นกอดอก ปล่อยยิ้มอันแสนน่ากลัวออกมาแสดงความพอใจ สายตาสะท้อนเปลวเพลิงอันร้อนแรงที่อยู่ตรงหน้าไม่ต่างจากใจริษยาของนางในตอนนี้เท่าไหร่นัก
“เ้าทำอะไร” เสียงตวาดอันแหลมคมดังแทรกเข้ามา บ่าวไพร่บริเวณนั้นต่างหลีกทางให้กับพระราชชายาผู้กุมอำนาจรองจากาา
“ข้าก็แค่เผาเสื้อผ้าของซูเจิน” นางตอบด้วยสีหน้าราบเรียบ
“ใครสั่ง” เสียงเข้มของพระราชมารดาแสดงออกมาอย่างไม่พอใจ
“เหตุใดต้องมีใครสั่ง ข้าเพียงคิดว่าเวลาผ่านมาเนิ่นนานแล้ว ซูเจินคงไม่กลับมา” ซูเจียวทบทวนครู่หนึ่ง อย่างไรเสีย นางก็มีพระราชบิดาหนุนหลัง
“จะกลับมาฤาไม่ เ้ามีสิทธิ์อะไร เหตุใดถึงทำขนาดนี้” เสียงพระราชมารดาสั่นเครือด้วยความโกรธ นับวันซูเจียวยิ่งก้าวร้าวอาจหาญในสิ่งที่ไม่ควร นับจากซูเจินจากไปตำหนักขาวก็เงียบเหงา เดินผ่านคราใดรู้สึกเหมือนดวงใจแทบหลุดจากอก ยิ่งเห็นกิริยาที่ซูเจียวกระทำแล้ว พระราชมารดารู้สึกผิดเป็เท่าทวีที่มิเคยดูแลใส่ใจซูเจินดีเท่าที่ควร เปลวไฟที่กำลังลุกไหม้เสื้อผ้าของนาง เสมือนกำลังลุกไหม้หัวใจคนเป็มารดาด้วยเช่นเดียวกัน
“ท่านแม่มาก็ดีแล้ว ตำหนักขาวแห่งนี้ไร้ผู้อาศัย ข้าอยากยกให้เป็ที่อาศัยของซือซิง” นางหมายถึง นางกำนัลรับใช้คนสนิท เพียงสิ้นคำขอเท่านั้น ฝ่ามือของพระราชมารดาก็ตบเข้าไปที่ใบหน้าของซูเจียวในทันที เหล่าบ่าวไพร่ต่างใรีบนั่งคุกเข่าก้มหน้าลงโดยพร้อมเพรียง
“ท่านแม่ตบข้า” ซูเจียวเบิกตากว้างด้วยความใ พลางยกมือจับใบหน้าตัวเอง นาทีนี้รู้สึกเ็ปและอับอายในเวลาเดียวกัน
“ใช่ เพราะสิ่งที่เ้ากำลังทำอยู่ นอกจากไม่สำนึกแล้ว เหตุใดจึงไม่เห็นหัวข้า”
“หากท่านแม่ไม่เห็นด้วย ข้าจักไปขอกับท่านพ่อ แล้วมาดูกันว่าผลจะเป็เช่นไร”
“เ้า!” พระราชมารดายกมือขึ้นชี้หน้า โกรธจนมือสั่นระริก อยากลงโทษให้สาสมกับความผิดที่ได้กระทำ ทว่าซูเจียวไม่รอให้มารดาต่อว่า นางสะบัดตัวเดินกลับไปยังตำหนักใหญ่ทันที
ซูเจียวเดินร้องไห้ด้วยความคับแค้นใจ มือบางจับที่ใบหน้าบวมช้ำเดินตรงเข้ามายังที่ประทับของพระราชบิดา ใจหนึ่งนึกโกรธที่พระราชมารดาไม่อาจลืมซูเจิน ใจหนึ่งนึกเกลียดที่นางไม่ได้เกิดเป็ลูกคนเดียว สิ่งของเครื่องใช้หรือแม้แต่บ่าวไพร่จะต้องแบ่งให้อีกฝ่ายเสมอ แม้จะน้อยนิดเพียงใดก็ตาม
“ท่านพ่อเพคะ” ซูเจียววิ่งเข้าไปกอดแล้วก้มหน้าร้องไห้สุดเสียง
“ร้องไห้ ด้วยเหตุใด” พระราชบิดาวางมือจากกระดาษ แล้วหันประคองซูเจียวนั่งในท่าถนัด ในขณะที่อีกฝ่ายกำลังสะอื้นแทบขาดใจ
“ท่านแม่ตบข้า” พระาาได้ฟังดังนั้น ดวงตาเข้มหรี่ลงในฉับพลัน พลางทบทวนอย่างใจเย็น พระราชชายาไม่เคยทำร้ายลูกสาวทั้งสองแม้สักครั้ง นับจากพวกนางลืมตาดูโลก ดวงตาเข้มพลันหันสบตาซูเจียว แล้วยกมือลูบศีรษะเพื่อปลอบประโลม
“เกิดขึ้นได้อย่างไร เล่าให้ข้าฟัง” เสียงสะอื้นไห้ค่อยๆ หายไป
“ข้าอยากได้ตำหนักขาวให้ซือซิง แต่ท่านแม่ไม่ยอม จึงลงมือทำร้ายข้า ท่านแม่ไม่ยุติธรรมกับข้าเลย” พระราชบิดาได้ฟังดังนั้น จึงพอเข้าใจเื่ราวอยู่บ้าง และไม่ได้มีท่าทีโกรธพระราชชายาแม้สักนิด เขาเข้าใจการกระทำของนางดี เพราะตลอดระยะเวลาที่ซูเจินหายตัวออกจากวัง พระราชชายาเสียพระทัยอยู่ตลอดเวลา จากร่าเริงกลายเป็เงียบขรึม แม้เขาพยายามเอาใจใส่นางมากขึ้นกว่าแต่ก่อน ก็หาได้ช่วยให้นางดีขึ้น
“เ้ามีตำหนักทองอยู่แล้ว ซึ่งกว้างใหญ่แลสะดวกสบายกว่าตำหนักขาวมากมายนัก หากอยากให้ซือซิงอยู่ใกล้ เ้าก็แค่พานางเข้าไปอยู่ด้วย ข้าอนุญาต”
“แต่ซือซิงอยู่รับใช้ใกล้ชิดข้า ข้าอยากให้นางมีสถานที่ส่วนตัว แลตำหนักขาวนั้นก็ว่างพอดี” พระาารอบถอนหายใจ เมื่อซูเจียวเห็นท่าไม่ดีจึงทำการบีบน้ำตา แล้วหาข้ออ้างมาเพิ่มเหตุผลให้ตัวเอง
“หากท่านพ่อไม่อนุญาต ข้าก็ไม่มีกะจิตกะใจจะเรียนดนตรีให้ดีได้ อีกไม่นานหากท่านส่งข้าไปเป็บรรณาการกับนครใหญ่ ข้าก็ไม่แน่ใจนักว่าจะสามารถพิชิตใจองค์รัชทายาทได้มากน้อยเพียงใด”
“เอาล่ะๆๆ หากเ้าอยากได้ตำหนักขาวนัก ข้าอนุญาต ขอเพียงให้เ้าฝึกซ้อมดนตรีให้ดีที่สุดก็พอ”