Chapter 27
ซ่าาา
“โอ๊ย ฝนตกอีกละ เดี๋ยวน้ำก็ท่วมอีกจะกลับห้องยังไงล่ะกูทีนี้” เจสซี่บ่นออกมาขณะที่แทนกำลังหันออกไปมองบรรยากาศด้านนอกร้านกาแฟที่พวกเขานั่งอยู่
ไม่มีอะไรน่าแปลกใจเพราะก่อนหน้าที่ฝนจะเทลงมาท้องฟ้าก็ได้ส่งสัญญาณเตือนล่วงหน้าด้วยการเปลี่ยนสีเป็มืดครึ้มมาสักพักหนึ่งแล้ว แต่ดูจากความแรงของเม็ดฝนที่ตกลงมาน่าจะตกหนักเลยทีเดียว โชคดีที่แทนไม่ต้องกังวลเื่กลับบ้านสักเท่าไรเนื่องจากตอนนี้เขาไม่ได้ขับเ้านินจาลูกรักมาเรียนเองแล้ว
“แค่พรีเซนต์งานเมื่อกี้กูก็จะตายห่าล่ะ นี่กูยังต้องมาสู้กับฝนกับน้ำท่วมเพื่อกลับห้องอีกหรอ” บาสยกมือขึ้นมานวดขมับเบาๆไปด้วยหวังให้ความเครียดที่เกิดขึ้นคลายตัวลงได้บ้าง
งานกลุ่มที่พวกเขาต่างก็อดหลับอดนอนทำกันมาหลายวันในสัปดาห์นี้พึ่งผ่านพ้นการนำเสนอไปเมื่อตอนบ่ายที่ผ่านมา ไม่แปลกอะไรที่ทุกคนจะรู้สึกหมดพลังงานกันมากขนาดนี้ ขนาดแทนเองก็ยังรู้สึกเพลียๆเลย เขาเองก็อยากจะรีบกลับไปนอนพักเพราะพรุ่งนี้เขายังมีภารกิจที่ต้องออกไปทำกับครอบครัวของปลื้มอีก วันเวลาช่างผ่านไปอย่างรวดเร็วจากวันจันทร์แป๊ปเดียวก็วนมาถึงวันศุกร์แล้ว
จนป่านนี้แล้วสารถีประจำตัวเขาก็ยังไม่มารับสักที
“เมื่อไรจะหมดหน้าฝนสักทีวะ” สกาวฟ้าว่าพลางหันออกไปมองห่าฝนที่ตกลงมาอย่างหนักมากขึ้น แถมลมยังพัดแรงเสียจนต้นไม้ปลิวไสวเหมือนยอดหญ้า
“เอาน่า อีกเดือนเดียวก็พ้นฤดูฝนแล้ว”
“พวกรัดสาดมาเเล้วว่ะ” ทิมมี่เอ่ยขึ้นก่อนจะชี้นิ้วไปยังร่างของนักศึกษาสี่คนที่กำลังเดินเข้ามาภายในร้าน
แทนสังเกตเห็นว่าตัวของปลื้มเปียกฝนนิดหน่อยน่าจะเป็เพราะตอนที่ลงจากรถแล้ววิ่งเข้ามาในร้าน ร่างสูงเดินผ่านคนอื่นมาทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ที่ว่างด้านข้างเขา ดีนะที่พวกแทนแบ่งกันนั่งเป็สองโต๊ะพอพวกปลื้มมาจึงเหลือที่ให้ได้นั่งด้วย
พอมีคนหน้าตาดีเดินเข้ามาในร้านคนอื่นที่นั่งอยู่ก็เริ่มจะให้ความสนใจกับพวกเขามากขึ้นในทันที
“เอาไรป่ะ” แทนเลือกที่จะไม่สนใจสายตาหลายคู่ที่มองมาเขาเลือกที่จะให้ความสนใจกับคนข้างตัวมากกว่า
“ไม่อะ กินกับมึงก็ได้” ปลื้มตอบพร้อมกับหยิบแก้วชาเย็นของแทนขึ้นไปดูดหนึ่งทีแล้วจึงวางลงที่เดิม “รอฝนเบากว่านี้ค่อยกลับแล้วกันเนาะ” จากความแรงของฝนและลมด้านนอกคงยังไม่เหมาะที่จะขับรถกลับในตอนนี้ อันตรายเกินไป
“อือ แต่ง่วงมากเลยว่ะ”
“เชื่อ ตาปรือไม่ไหว” ฝ่ามือหนาถูกยกขึ้นมาปัดผมหน้าม้าที่ตกลงมาปรกหน้าของแทนออก เรียกคะแนนความหมั่นไส้จากใครหลายคนในที่นี้ไปไม่น้อย
“นมสดน้ำผึ้งกูนี่จืดไปเลยนะคะ” เจสซี่จะไม่ทนอีกต่อไป
“เธอหวานกับเค้าแบบนั้นมั่งดิ” ทิมมี่หันไปอ้อนจีนบ้าง
“เธอที่ตีนกูนี่”
“ขมสัด แต่ไม่คาย”
“อเมริกาโน่ที่ว่าแน่ยังแพ้ทิมมี่จีนเลยว่ะ”
“เล่นตัวมากระวังกูเปลี่ยนใจนะ” จีนเหลือบตาไปมองทิมมี่ที่เอนตัวเข้ามาเบียดชิดกับเขามากขึ้นเรื่อยๆ “เปลี่ยนจากตามจีบเป็ฉุดแทนได้กันให้มันจบๆไป โอ้ยๆ” ยังไม่ทันที่จะได้ยิ้มภูมิใจกับความคิดชั่วๆของตัวเองหูหนาก็ถูกมือเล็กคว้าเอาไว้ก่อนจะบิดอย่างเต็มแรงจนอัลฟ่าหนุ่มร้องโวยวายออกมาเสียงดัง
“ทำตัวเองทั้งนั้น” ขิมส่ายหัวให้กับทิมมี่ด้วยความเอือมระอา
“ว่าแต่สองคนนี้หวานกันขนาดนี้เมื่อไรจะเปิดตัวสักทีครับ” เก่งหันกลับไปแซวปลื้มกับแทน
“พวกกูี้เีเป็ป้าข้างบ้านจอมขี้เสือกแล้วนะคะ” ตามมมาด้วยเจสซี่
“กูอะพร้อมละ แต่เพื่อนพวกมึงอะไม่พร้อมให้กูสักที” ปลื้มน่ะอยากมีสถานะที่ชัดเจนจะแย่ ติดที่แทนนั่นแหละที่ยังไม่ยอมคบกับเขาสักที แต่ไม่เป็ไรหรอกเขารอได้
ก็ใจเรามันเป็ของเขาไปแล้วจะไม่รอได้ไง
“คำว่าแฟนมันสำคัญขนาดนั้นเลยหรอวะ” แทนหันไปถามกับเพื่อนคนอื่นที่นั่งอยู่
“ถามว่าสำคัญมั้ยมันก็อยู่ที่คนมองว่ะ” เป็สกาวฟ้าที่พูดขึ้นมาคนแรกหลังจากที่แทนโยนคำถามออกไป “อย่างกูอะคิดว่าก็สำคัญในระดับหนึ่ง เพราะมันช่วยให้ความสัมพันธ์ของเราชัดเจนขึ้น ไม่ใช่แค่กับเราทั้งคู่แต่ชัดเจนในสายตาคนอื่นด้วย”
“ใครเขาก็อยากมีสถานะทั้งนั้นแหละมึง”
“พอเป็แฟนมันก็จะดูมีสิทธิ์อะไรที่มากขึ้นกว่าตอนที่ยังไม่ได้เป็อะไรกันอะ”
“ที่พอถึงจุดหนึ่งก็ต้องเลิกกันอะนะ”
“มันก็ไม่จำเป็ต้องเลิกกันเสมอไปหรอก เพราะถ้ามึงคบกับกูสาบานเลยจะไม่ให้มึงได้ยินคำนั้นจากปากกูแน่” ปลื้มยกมือขึ้นมาชูสามนิ้วเหมือนลูกเสือสามัญเวลาปฏิญาณตน
“ขอคิดดูก่อนแล้วกัน”
เพราะมันอาจจะออกมาจากปากกูก็ได้
“ไม่ต้องคิดมากนะ กูรอได้” ฝ่ามือหนายื่นไปบีบมือของแทนเบาๆเพื่อสื่อให้อีกคนรับรู้ว่าเขานั้นพร้อมที่จะรอการตัดสินใจของแทนได้เสมอ
“ถ้ากูขอให้เราไม่คบกันแต่อยู่ด้วยกันไปแบบนี้เรื่อยๆล่ะ”
“เห็นแก่ตัวมากค่ะ” เจสซี่แทรกขึ้นมา
“แบบนี้เข้าข่ายกั๊กนะ” พีคเองก็เช่นกัน
“กูไม่สนับสนุนนะคะจะคบก็คบ ไม่คบก็บอกว่าไม่คบค่ะ คนรอมันไม่สนุก”
“มึงนี่อินนะอิเจส”
“เป็มึงจะยอมหรออยู่แบบไม่มีสถานะอะ อึดอัดตายห่า กูทนบ่ได้หรอกนะคะหญิง”
“ทนไม่ได้เหมือนกันค่าาา” ขิมเอ่ยสมทบคำพูดของเจสซี่พร้อมกับหันหน้าไปมองแทน หวังว่าคำพูดของพวกเธอจะทำให้เพื่อนรับรู้ได้ว่าสิ่งที่กำลังคิดและพึ่งพูดออกมานั้นมันแย่แค่ไหน
“ไม่เป็ไร เพราะยังไงตอนนี้กูก็คือคนที่ชอบมึงมากที่สุดในโลก ไม่ว่ามึงจะบอกให้กูทำอะไรกูก็ยอมทั้งนั้นแหละ”
“หลงไม่ไหว” ทิมมี่กระซิบบอกกับจีน ในจังหวะที่คนตัวเล็กหันหน้ามามองเขาทิมมี่คิดว่าตัวเองอาจจะต้องเจ็บตัวเพราะมือน้อยๆนั่นอีกแต่ที่ไหนได้จีนกลับพยักหน้าเห็นด้วยกับเขาแทน “แล้วเราอะเมื่อไรจะคบกัน”
“ไม่รู้สิ” จีนเอ่ยกระซิบกลับแค่พอให้เขาทั้งคู่ได้ยินกันแค่สองคน “ไม่รู้ว่าเมื่อไรมึงจะขอสักทีกูซ้อมพูดคำว่าไม่ทุกวันเลยเนี่ย”
“ไม่ปฏิเสธอะหรอ” จีนเงียบไปพยักหนึ่งก่อนจะยื่นหน้าเข้าไปใกล้ใบหูของอีกคนมากขึ้น
“มึงก็ฉลาดเหมือนกันนะเนี่ย”
“แน่นอนอยู่แล้ว...เดี๋ยวนะ!” เสียงโวยวายของทิมมี่เรียกความสนใจของเพื่อนทุกคนให้หันไปมองที่เขาทันที “คือแปลว่าตกลงหรอ”
“ตกลงอะไรวะ” บาสมองหน้าของเพื่อนในกลุ่มด้วยความงง เเม่งพูดเื่อะไรของมันวะ
“จริงป่ะเนี่ย” แต่ทิมมี่กลับไม่ได้สนใจบาสเลยสักนิด จุดโฟกัสจุดเดียวของเขา ตรงนี้! ตอนนี้! คือโอเมก้าตัวเล็กตรงหน้าเท่านั้น
“กูเคยล้อเล่นด้วยหรอ ไม่เชื่อก็ลองขอดิ”
“ขออะไรกันคะ”
“อย่าบอกนะว่า”
“เป็แฟนกันป่ะ” ไวเท่าความคิดทิมมี่ก็พูดโพล่งออกไปอย่างรวดเร็ว
เพื่อนทุกคนเบิกตากว้างด้วยความใไม่เว้นแม้กระทั่งแทนและปลื้ม ก็พอรู้อยู่หรอกว่าสองคนนี้กำลังจีบๆกันอยู่เพียงแต่ไม่คิดว่าความสัมพันธ์มันจะเดินทางมาถึงขั้นขอเป็แฟนกันตัดหน้าพวกเขาแบบนี้ ทุกคนต่างลุ้นในคำตอบของจีนไม่ต่างจากทิมมี่
ก็ปกติเห็นตีกันตลอดบทสรุปมันออกมาหวานกว่าพวกเขาได้ไงวะ
“สินกำจะได้เป็เขยรัดสาดมั้ยวะ” บาสหันไปพูดกับเพื่อนสนิทของเขาด้วยเสียงที่เบาลงกว่าที่พูดในเวลาปกติ
“เพื่อนมึงจะยอมคบกับเพื่อนกูมั้ย” แทนไม่ได้ตอบคำถามของบาส เขาเลือกที่จะส่งคำถามต่อไปให้ปลื้มแทน
“คิดว่านะ”
ปลื้มรู้จักกับจีนมานานถ้าจีนไม่ได้ชอบไม่มีใจให้แต่แรกทิมมี่คงโดนจีนเมินหรือไม่ก็ไล่ตะเพิดไปตั้งนานแล้ว แต่ที่ยอมให้มาคอยกวนมาคอยป้วนเปี้ยนเกาะแกะอยู่ตลอดนั่นก็น่าจะเป็เพราะว่าเพื่อนตัวเล็กของเขาเองก็มีใจให้อีกฝ่ายไม่ต่างกัน
“ว่าไง เป็แฟนกันมั้ย รอให้มึงตอบไม่อยู่นะเนี่ย” คำพูดของทิมมี่ทำเอาเพื่อนทุกคนงงเป็ไก่ตาแตกไปตามๆกัน
ทำไมมันถึงอยากให้เขาปฏิเสธมันวะ
“ไม่”
พอจีนเอ่ยออกมาแบบนั้นทุกคนก็รีบมองไปที่ทิมมี่ทันที ในแววตาของเพื่อนสนิทที่อยู่กลุ่มเดียวกันเต็มไปด้วยความเห็นใจที่เพื่อนถูกปฏิเสธ ภาพในหัวของเจสซี่ก็คือนั่งปลอบเพื่อนที่ร้านเหล้าแล้ว แต่เ้าตัวมันกลับนั่งยิ้มร่าไม่มีแววตาาที่เศร้าโศกเสียใจเลยสักนิด
“ไม่ปฏิเสธใช่ป่ะ”
น่าสงสารจริงๆ เสียใจจนต้องเล่นมุกปลอบใจตัวเองแล้วหนึ่ง
“ไม่ใช่”
“...” คราวนี้ใบหน้าของทิมมี่เริ่มเปลี่ยนสีขึ้นมาจริงๆ หัวใจของเขาเริ่มเต้นช้าลงเนื่องจากทั้งสีหน้าและแววตาของจีนไม่ฉายแววล้อเล่นอยู่ในนั้นเลย
อ้าวเฮ้ย ไม่เหมือนที่คุยกันไว้นี่หว่า
“ไม่ขอชาติหน้าเลยอะ กูรอตั้งนานแล้วเนี่ย”
“เยส!”
“เย้!” เพื่อนในกลุ่มเฮกันขึ้นมาเสียงดังจนคนทั้งร้านมอง เป็งานเป็การต้องมาก้มหัวขอโทษขอโพยกันเป็การใหญ่อีกเพราะส่งเสียงดังรบกวนคนอื่น
“น้ำตากูจะไหลเห็นเพื่อนเป็ฝั่งเป็ฝา” เจสซี่เอื้อมมือไปหยิบทิชชู่ขึ้นมาทำท่าซับที่หัวตาทั้งที่ความจริงไม่มีน้ำตาออกมาสักหยด
“ทำเหมือนเพื่อนมึงพึ่งมีแฟนคนแรกนะอิเจส”
“ั้แ่คบกับมันมานี่คนที่สองค่ะ คนแรกกูไม่อยู่ในเหตุการณ์ตอนขอเป็แฟนเลยไม่ซึ้งเท่าไร”
“เป็การขอเป็แฟนที่ธรรมดาและไม่โรแมนติกที่สุดเท่าที่กูเคยเห็นมาเลย” จีนหันไปบ่นกับทิมมี่ ตอนที่บอกให้ขอก็คิดว่ามันจะเอาเวลาไปเตรียมตัวก่อนแล้วค่อยมาขอ ไม่คิดว่าแม่งจะโพล่งออกมาเลย
“ก็มันไม่มีเวลาให้เตรียมตัวอะ เขินว่ะเป็แฟนมึงแล้ว” อัลฟ่าหนุ่มยิ้มกว้าง ฝ่ามือหนาประกบเข้าที่แก้มนุ่มทั้งสองข้างก่อนจะกดจูบพร้อมกับฝังจมูกลงไปที่กลางศีรษะของคนตัวเล็กสูดเอาความหอมเข้าไปจนเต็มปอดแล้วจึงผละออก “ชื่นใจ”
“แล้วมึงอะ อยากให้กูขอแบบธรรมดา โรแมนติกหรือแบบไหน” ปลื้มละสายตาออกจากคู่ข้าวใหม่ปลามันย้ายมามองยังคนข้างกายแทน
“ไม่รู้สิ”
“ถามอะไรก็ตอบแต่ไม่รู้ มันเขี้ยวว่ะ”
“ถ้ากูพร้อมมึงจะขอแบบไหนกูก็ตกลงทั้งนั้นแหละ”
“อยากให้มึงพร้อมวันนี้เดี๋ยวนี้จังเลยว่ะ”
แทนไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาอีกเขามองหน้าของปลื้มนิ่งๆ ถึงครอบครัวของปลื้มจะแสดงออกว่าไม่ได้รังเกียจอะไรในตัวเขาเลย แต่ครอบครัวแทนล่ะ จะแสดงออกแบบนั้นด้วยมั้ย
ในที่สุดวันเสาร์ก็มาถึง...
วันนี้เป็อีกวันที่แทนต้องตื่นเช้าเพราะทั้งเขาและปลื้มต้องเผื่อเวลาสำหรับการอาบน้ำและการแต่งตัวของเราทั้งสองคน เมื่อวานหลังจากที่ฝนเริ่มซาเขาทั้งคู่ก็รีบกลับมาที่ห้องเพื่อนอนพักเอาแรง แทนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าปลื้มปลุกเขามากินข้าวเย็นตอนไหน จำได้แค่ตื่นมานั่งเคี้ยวข้าว ต่อด้วยโดนอีกคนไล่ไปอาบน้ำ ก่อนจะกลับไปนอนอีกรอบแล้วก็สะดุ้งตัวตื่นอีกครั้งด้วยเสียงนาฬิกาปลุกที่ปลื้มตั้งไว้
“หล่อยัง” ปลื้มเอ่ยขึ้นมาขณะที่พวกเขากำลังยืนแต่งตัวอยู่ด้านหน้ากระจก
“เฉยๆ” แทนตอบพร้อมกับมือที่ยังคงจัดแต่งทรงผมของตัวเองไม่เลิก
“หล่อก็บอกว่าหล่อดิ”
ฟอด
ร่างสูงอาศัยจังหวะที่ร่างบางกำลังเผลอแอบขโมยหอมแก้มคนที่ยืนอยู่ด้านหน้าไปฟอดใหญ่ก่อนจะรีบชิ่งหนีด้วยการเดินเร็วๆออกไปยืนเลือกรองเท้าเพื่อกดดันอีกคนที่ยังแต่งตัวไม่เสร็จเสียทีทั้งที่ตื่นมาอาบน้ำก่อนเขาเสียอีก ไม่นานแทนก็เดินตามปลื้มออกมา แล้วในที่สุดพวกเขาก็ได้เวลาออกเดินทางสักที
ใช้เวลาประมาณหนึ่งพวกเขาก็เดินทางมาถึงยังสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าที่เป็สถานที่ในการจัดงานการกุศลในครั้งนี้ มีรถของสำนักข่าวหลายช่องจอดอยู่น่าจะเพราะงานนี้มีคนที่มีหน้ามีตาในสังคมหลายคนเข้าร่วม พอวนหาที่จอดรถได้แทนก็เห็นว่าปลื้มพิมพ์แชทคุยอะไรบางอย่างกับปลาบ
“แม่กับปลาบใกล้ถึงแล้ว เราลงไปรอข้างล่างก็แล้วกัน”
“มึงหิวหรือยัง” แทนหันไปถามปลื้ม เมื่อเช้าเขาทำขนมปังปิ้งให้เราทั้งสองคนกินรองท้องแล้วแต่ไม่รู้ว่าปลื้มอิ่มหรือเปล่าเขาจึงพกแซนด์วิชมาเผื่อด้วย
“ยังไม่ค่อยหิว มึงอะหิวยัง กูหยิบแซนด์วิชมาเผื่อมึงด้วยนะ” ปลื้มบอกพร้อมกับเปิดกระเป๋าผ้าของตัวเองให้อีกคนดูว่าเขานั้นหยิบแซนด์วิชจากในตู้เย็นติดกระเป๋ามาด้วยจริงๆแถมยังมีน้ำเปล่าอยู่ด้านในนั้นอีกสองขวด
“กูก็หยิบมา” แทนหยิบแซนด์วิชขึ้นมาโชว์ให้ร่างสูงดูว่าเขาเองก็เตรียมพร้อมเหมือนกัน
“ใจตรงกันจังวะ” พูดไปด้วยก็ทำหน้าตาแพรวพราวไปด้วย
“...” จนร่างบางอดไม่ได้ที่จะส่ายหน้าแสดงท่าทีเหมือนว่ากำลังเบื่อหน่ายออกไป
นิดหน่อยก็ขอให้ได้หยอดจริงๆ
ร่างบางไม่ได้พูดคุยอะไรกับคนตัวสูงอีกเขาหันไปสนใจรถอีกคันที่พึ่งมาจอดในบริเวณที่พวกเขายืนอยู่ คนที่ลงมาจากรถมีรูปร่างผอมเพรียวผิวพรรณขาวสะอาดสะอ้านมองแค่ครั้งเดียวก็รับรู้ได้ทันทีว่าอีกคนนั้นต้องมีเพศรองเป็โอเมก้าอย่างแน่นอน ไหนจะหน้าตาที่สะสวยเสียจนผู้หญิงหลายคนยังต้องอายนั่นอีก ให้ตายเถอะแม้แต่แทนเองก็ยังไม่อาจละสายตาออกไปจากคนตรงหน้าได้เลย
ปลื้มไล่สายตามองไปตามทิศทางที่แทนกำลังจับจ้อง ดวงตาคมเข้มเพ่งมองใครคนนั้นโดยอัตโนมัติ เขาไม่เคยรู้จักผู้ชายคนนี้มาก่อนแต่ไม่รู้ทำไมปฏิกิริยาของร่างกายเขาถึงตอบสนองออกไปแบบนี้ พอมองไปได้สักพักสายตาของเขาก็เริ่มพร่ามัวอย่างไม่ทราบสาเหตุ เขาได้กลิ่นหอมจางๆลอยมาปะทะเข้ากับจมูกของเขาถึงจะเป็เพียงแค่กลิ่นที่เจือจางมากับอากาศแต่เขาก็สามารถรับรู้ได้ว่ากลิ่นหอมนี้คือกลิ่นหอมของอะไร และมาจากใคร
คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันทันทีเมื่อกลิ่นนั้นเริ่มชัดเจนขึ้นในประสาทรับััของเขา มือหนายื่นไปคว้าแขนของคนที่ยืนอยู่ข้างกายเอาไว้เพื่อเป็หลักยึดหลังจากที่เริ่มเสียการทรงตัว ทุกอย่างเกิดขึ้นในเวลาอันสั้น แทนรีบละความสนใจจากคนแปลกหน้ามาที่ปลื้มทันที แขนเรียวช่วยจับประคองตัวของอีกคนเอาไว้ด้วยความเป็ห่วง ไม่นานทุกอย่างก็เริ่มดีขึ้น เมื่อปลื้มหันไปมองยังทิศทางเดิมอีกครั้งก็พบว่าผู้ชายคนนั้นไม่ได้ยืนอยู่ที่เดิมแล้ว
แต่ทำไมเขาถึงต้องมองหาคนคนนั้นด้วยล่ะ
“มึงโอเคมั้ย” เสียงทุ้มใสที่ดังขึ้นเรียกสติของปลื้มให้กลับมา เขามองใบหน้าของแทนอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบรับอีกคนออกไป
“โอเค”
“หน้ามืดเพราะไม่ได้กินข้าวหรือเปล่า” ร่างบางเอ่ยถามขึ้นด้วยความเป็ห่วง ถึงแม้ว่าปลื้มจะบอกว่าโอเคแล้ว แต่แทนก็ยังไม่วางใจอยู่ดี เนื่องจากใบหน้าของอีกคนนั้นยังคงดูซีดเซียวผิดจากปกติอยู่
“อาจจะ” ปลื้มเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าอาการของเขาก่อนหน้านี้มันเกิดขึ้นจากสาเหตุใด
“งั้นมึงไปนั่งกินแซนด์วิชตรงนั้นก่อนแล้วกัน”
“Hello”
ยังไม่ทันที่พวกเขาทั้งคู่จะได้ขยับไปไหนเสียงของปลาบก็ดังขึ้นมาเสียก่อน และเมื่อหันไปมองก็พบว่าแฝดพี่ของปลื้มนั้นกำลังเดินเข้ามมาหาเขาทั้งคู่แล้ว
“แม่อะ” ขณะที่เอ่ยปากถาม ตาคมก็มองหาบุพการีไปด้วย
“อยู่หน้างาน แม่ให้มาตามมึงสองคนเนี่ย ว่าแต่มึงเป็ไรป่ะหน้าดูซีดๆนะ” ปลาบเอ่ยทักน้องชายไปเมื่อได้สังเกตสีหน้าของอีกคนใกล้ๆ
“ตอนแรกมึนหัวแปลกๆ แต่ตอนนี้โอเคละ”
“พักก่อนมั้ย เดี๋ยวกูไปบอกแม่ให้”
“ไม่เป็ไร ไปหาแม่กันเลยดีกว่า”
“จะไม่กินแซนด์วิชก่อนหรือไง” แทนแย้งขึ้นมา
“ค่อยแอบกินทีหลังก็ได้”
“แน่ใจนะ”
“แน่ใจครับ”
ในเมื่ออีกคนยืนหนักแน่นแบบนั้นแทนก็ไม่อยากที่จะเซ้าซี้ให้มากความ พวกเขาสองคนจึงเดินตามหลังปลาบเข้าไปในงาน โดยที่แทนจะคอยสังเกตอาการของปลื้มอยู่ตลอดพอเห็นว่าสีหน้าของร่างสูงเริ่มกลับมาเป็ปกติเขาถึงได้เบาใจลง
หลังจากเดินเข้ามาด้านในซึ่งเป็สถานที่จัดงานที่ถูกจัดเตรียมทุกอย่างเอาไว้อย่างดี พวกเขาก็ไม่ได้ทำอะไรมากแค่ยืนร่วมเฟรมถ่ายรูปกับคนอื่นๆ ก่อนจะเริ่มเข้าร่วมกิจกรรมที่ถูกเตรียมไว้สำหรับ่เช้า ปลื้มยืนมองเด็กน้อยที่วิ่งวุ่นกันไปทั่วห้องโถงขนาดกลางสลับกับแอบลอบมองแทนที่กำลังเล่นกีต้าร์ร้องเพลงให้เด็กๆฟังไปด้วย
มุมปากหยักหลุดยิ้มออกมา เสียงของแทนยังคงมีเสน่ห์เฉพาะตัวเหมือนวันนั้น วันที่โลกเหวี่ยงเรามาเจอกันอีกครั้งที่ลานหน้าคณะศิลปกรรมศาสตร์
“ไหวหรือเปล่า” ไม่รู้เลยว่าปลาบเดินเข้ามาตอนไหนหันไปอีกทีผู้เป็พี่ก็เข้ามาประชิดตัวเสียแล้ว
“ไหวดิ”
“หน้ามึงเหมือนกำลังคิดอะไร” ปลาบเอ่ยบอกอย่างรู้ทัน “มีอะไรก็บอกกูได้นะ ช่วยไม่ได้หรอกแต่อยากเสือก”
“ขอบคุณนะไอ้สัด”
“แล้วนี่มึงสองคนจะเปิดตัวว่าคบกันเมื่อไรวะ” ปลาบมองตามสายตาของน้องชายไปโฟกัสที่แทนเช่นเดียวกัน “กูได้ยินพวกเพื่อนแม่ถามด้วยว่าแทนเป็อะไรกับมึง”
“เมื่อแทนพร้อม”
“รอได้หรอ”
“ก็ไม่ได้รีบอะไร แล้วแม่บอกเพื่อนไปว่าไง”
“ว่าที่ลูกสะใภ้”
ไม่รู้ว่าแม่ตอบแบบนี้จริงหรือเปล่า แต่ถ้าจริงปลื้มก็ชอบใจในคำตอบของแม่เขาไม่น้อยเลยทีเดียว
ริมฝีปากของปลื้มค่อยๆหุบยิ้มลงพร้อมกับคิ้วคมที่เริ่มขมวดเข้าหากันอย่างช้าๆเมื่อมีกลิ่นหอมกลิ่นเดียวกับเมื่อเช้าโชยเข้ามาให้เขาได้กลิ่นอีกแล้ว
“ปลาบ” แฝดน้องหันไปมองหน้าของพี่ชายเหมือน้าจะสื่ออะไร
“อะไร”
“มึงได้กลิ่นอะไรป่ะ” เพื่อให้แน่ใจว่าตนไม่ได้คิดไปเองจึงหันไปถามพี่ชายที่เป็อัลฟ่าเหมือนกันเพื่อความชัวร์
“กลิ่นอะไรวะ" ปลาบทำท่าขยับจมูกฟุดฟิดไปมาเหมือนกำลังพยายามตามหากลิ่นที่ปลื้มพูดถึงแต่เขาก็ยังรู้สึกถึงกลิ่นแปลกๆอะไรนั่นอยู่ดี
“กลิ่นเหมือนทะเลเลยว่ะ มันให้ความรู้สึกสดชื่นแบบนั้นเลย”
“กลิ่นทะเลไม่น่าลอยมาถึงนี่ได้นะ จมูกมึงเพี้ยนเปล่าน้องรัก”
เมื่อเห็นว่าอีกคนทำหน้างงกลับมาก็ยิ่งทำให้ปลื้มแน่ใจว่ามีแค่เขาเท่านั้นที่ได้กลิ่นหอมนี้
“ไม่นะ กูได้กลิ่นจริงๆเริ่มชัดขึ้นแล้วด้วย”
สิ้นประโยคที่ปลื้มเอ่ยประตูห้องโถงก็ถูกเปิดออกพร้อมกับการปรากฏตัวของคนกลุ่มหนึ่ง ซึ่งหนึ่งในนั้นก็มีมารดาของเขาทั้งสองคนด้วยมีหลายคนที่ปลื้มพอจะคุ้นหน้าคุ้นตาอยู่บ้างเนื่องจากเคยพบเจอบ้างเวลาที่ไปออกงานสังคมกับผู้เป็แม่ แต่เมื่อประตูปิดลงกลิ่นหอมนั้นก็ยิ่งชัดเจนมากขึ้น สายตาของเขาเหมือนถูกใครคนหนึ่งสะกดเอาไว้
เป็คนเดียวกับที่เขาเจอที่ลานจอดรถเมื่อ่เช้า
ผู้ชายรูปร่างผอมเพรียวคนนั้นหันใบหน้ามามองที่เขาเช่นกัน ในวินาทีที่ดวงตาทั้งสองคู่สบกันมันเหมือนกับว่าเราต่างคนก็ต่างถูกบางอย่างดึงดูดเข้าหากัน จมูกของเขาไม่รับรู้กลิ่นอื่นใดอีกนอกจากกลิ่นหอมแสบจมูกของน้ำทะเล เช่นเดียวกันกับดวงตาที่ตัดภาพของทุกคนออกไปจนหมดจนเหลือเพียงแค่ผู้ชายคนนั้นในสายตา ปลื้มเหมือนตกอยู่ในภวังค์ที่แม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร
ก้อนเนื้อในอกซ้ายเริ่มสูบฉีดเืเร็วรัวขึ้นเหมือนกำลังรู้สึกตื่นเต้นกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น ฝ่ามือหนาเองก็เริ่มมีเหงื่อซึมออกมายิ่งเราทั้งคู่มองตากันนานเท่าไรความรู้สึกบางอย่างก็ยิ่งวิ่งแล่นขึ้นมามากขึ้นเท่านั้น มันเป็ความรู้สึกที่ปลื้มไม่เคยรู้สึกกับโอเมก้าคนไหนมาก่อน
เป็ความรู้สึกที่
อยากจะ…
อยากเป็เ้าของ...
“ปลื้ม” ท่อนแขนแกร่งถูกฝ่ามือหนาของปลาบจับเอาไว้ เสียงทุ้มเอ่ยเรียกชื่อปลื้มอย่างเรียบนิ่งไร้ท่าทีหยอกล้อแบบที่ชอบทำ "ไอ้ปลื้ม!" ปลาบเริ่มใช้น้ำเสียงกดต่ำและดังขึ้น หวังเรียกให้ปลื้มกลับมามีสติ แต่สายตาคมก็ไม่ยอมละออกมาจากใบหน้าของใครคนนั้นเลย
เหี้ยแล้ว...
ปลาบได้แต่สบถในใจ กลิ่นหอมของโอเมก้าเริ่มรอยมาปะทะกับจมูกของเขาสำหรับปลาบที่พึ่งจะได้กลิ่นมันยังแ่เบานักแต่สำหรับปลื้มที่เหมือนจะได้กลิ่นมาั้แ่ต้นมันคงจะยั่วยวนไม่น้อยเลยทีเดียว
“ปล่อยกู”
“ตั้งสติหน่อยดิวะ”
ทางด้านแทนที่กำลังนั่งสร้างความบันเทิงให้กับพวกเด็กๆอยู่ที่มุมห้องด้านหนึ่งต้องหยุดชะงักมือที่กำลังดีดกีตาร์ลงเพราะกลิ่นหอมที่เริ่มแผ่กระจายไปทั่วห้องในตอนนี้ มันมีสองกลิ่นที่อบอวลกันอยู่กลิ่นหนึ่งหอมยั่วยวนเหมือนกลิ่นของโอเมก้าที่กำลังจะฮีทส่วนอีกกลิ่นนั้นเป็กลิ่นที่เขาคุ้นเคยเป็อย่างดี เด็กน้อยที่มีเพศรองเป็โอเมก้าหลายคนเริ่มเบ้หน้าด้วยความอึดอัดซึ่งแม้แต่แทนเองที่เป็อัลฟ่าเหมือนกันก็ยังรู้สึกได้ถึงความกดดันที่ถูกสร้างขึ้นเพราะกลิ่นหอมของป่าสน ร่างบางวางกีต้าร์โปร่งในมือลงบนพื้น ก่อนจะพยายามลุกยืนขึ้นและเดินเข้าไปหาปลื้มกับปลาบที่ยืนอยู่
“ว้าย! ตายแล้ว”
“เป็อะไรมากมั้ยลูก”
ยังไม่ทันที่เขาจะได้ก้าวเข้าไปถึงตัวปลื้มที่บริเวณหน้าประตูก็มีเสียงดังโวยวายขึ้นมาเสียก่อน แทนเห็นร่างของใครบางคนทรุดลงไปกองกับพื้นพร้อมกับกลิ่นฟีโรโมนของโอเมก้าที่ลอยฟุ้งไปทั่วทั้งห้อง
“ไอ้ปลื้ม!”
ดวงตากลมโตหันไปมองที่ปลื้มกับปลาบอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงตวาดลั่นของแฝดคนพี่ที่ดังขึ้น และพบว่าตอนนี้ปลาบกำลังพยายามห้ามปลื้มเอาไว้ไม่ให้พุ่งเข้าใส่โอเมก้าคนนั้นอยู่ ฝ่ามือขาวถูกเ้าของมันยกขึ้นมาปิดจมูกเอาไว้เพื่อลดโอกาสในการได้กลิ่นฟีโรโมนที่ชวนให้เสียสติของโอเมก้า ขาเรียวกึ่งวิ่งกึ่งเดินไปด้านหน้าด้วยความรีบร้อน
“ปลื้ม” แทนเอ่ยเรียกชื่อของอัลฟ่าที่กำลังปล่อยกลิ่นฟีโรโมนออกมากดดันคนทั้งห้อง แต่ร่างสูงกลับไม่ปรายตามองเขาเลยเอาแต่จับจ้องไปยังร่างของใครคนหนึ่งที่ถูกคนมุงอยู่อย่างไม่วางตา ไม่นานกลิ่นฟีโรโมนของโอเมก้าคนนั้นก็เริ่มเข้มขึ้นจนอัลฟ่าที่อยู่ในบริเวณนี้รับรู้ได้โดยทันทีว่าอีกคนนั้นกำลังฮีท
“ปล่อย” เสียงทุ้มดังขึ้นพร้อมกำลังแรงกดดันที่ทำเอาปลาบเองยังต้องเบ้หน้า ปฏิกิริยาของคนตรงหน้าเริ่มทำให้ร่างบางรู้สึกใจไม่ดีขึ้นมา
ั้แ่เขาเดินมายืนอยู่ตรงนี้ปลื้มยังไม่หันมาสนใจเขาแม้แต่จะปรายตามามองก็ยังไม่มี
แทนหันไปมองเด็กน้อยที่เป็โอเมก้าบางคนสลบไปแล้วเพราะทนรับแรงกดดันไม่ไหว และถ้ายังปล่อยเอาไว้เด็กน้อยคงได้สลบกันหมดทุกคนแน่
“เฮ้ย!” ปลาบร้องออกมาด้วยความใเมื่ออยู่ดีๆแทนก็ผลักเขาออกจากปลื้ม แต่พอจะหันไปต่อว่าที่แทนทำแบบนั้นก็ต้องหยุดเอาไว้
แขนเรียวยาวโอบกอดรอบร่างสูงเอาไว้แน่น เขาพยายามใช้แรงทั้งหมดที่มีต้านแรงของปลื้มเอาไว้ กลิ่นไอฝนเริ่มถูกปล่อยออกมาสู้กับกลิ่นของป่าสน นั่นยิ่งทำให้ความกดดันเพิ่มมากขึ้นไปอีกเพราะอัลฟ่าสองคนปล่อยกลิ่นข่มกัน
ร่างสูงยังคงพยายามขัดขืนแต่แรงเริ่มผ่อนลงเมื่อได้กลิ่นของไอฝนที่อบอวลอยู่ตัวเขาแทนที่ของกลิ่นคลื่นทะเล
“กูต้องพาปลื้มออกไปจากตรงนี้” แทนหันไปบอกกับปลาบ แต่ทางออกมีโอเมก้าคนนั้นขว้างอยู่ถ้าขืนปล่อยให้ปลื้มเดินผ่านไปคงได้กระโจนเข้าใส่อีกฝ่ายเป็แน่ แต่ถ้าจะให้ปลาบเดินไปบอกให้พาโอเมก้าหลบออกไปก็เกรงว่าจะเป็เขาเองที่พุ่งตัวเข้าหาอีกฝ่าย “ทำอะไรสักอย่างสิ” แทนหันไปเร่งปลาบ
“แป๊บหนึ่งกำลังคิดอยู่เนี่ยว่าต้องทำอย่างไง” ปลาบเริ่มมองไปรอบๆตัว เขาหัวเสียไม่น้อยที่ประตูเข้าออกมีเพียงทางเดียว จึงหันกลับไปมองยังตำแหน่งที่มีคนยืนรวมกันอยู่อีกครั้ง แล้วก็พบว่าร่างของโอเมก้าคนนั้นถูกใครสักคนอุ้มออกไปแล้ว
“อึก” ร่างสูงของอัลฟ่าหนุ่มทรุดฮวบลงไปที่พื้นทำให้แทนที่กอดเขาอยู่ต้องทิ้งตัวลงนั่งตามไปด้วย
“ปลาบ”
“อะไร”
“ปลื้มรัท”
“...”
แทนกับปลาบมองหน้ากันด้วยความเงียบ โดยปกติแล้วอัลฟ่าจะรัทด้วยตัวเองตามธรรมชาติแค่เพียงปีละครั้งเท่านั้นซึ่งในปีนี้มันเกิดขึ้นไปแล้วในคืนที่ปลื้มถูกกระตุ้นด้วยกลิ่นฟีโรโมนของโอเมก้าที่ฮีท และอีกสาเหตุที่จะทำให้อัลฟ่ามีอาการรัทได้ก็คือถูกกระตุ้นด้วยฟีโรโมนของ...
คู่แห่งโชคชะตา
“มึงรู้อยู่แล้วใช่มั้ย”
“มันอาจจะไม่ใช่ก็ได้”
คนเดียวที่ตอบได้ตอนนี้ว่าใช่หรือไม่ก็คงมีแค่ตัวปลื้มเองเท่านั้น
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้