Chapter 26
แสงอรุณของวันใหม่มาเยือนอีกครั้ง แต่เหมือนว่าเช้าวันนี้จะไม่เป็ใจต่อการพักผ่อนดังเช่นทุกเช้าใน่หน้าฝนเหมือนที่ผ่านมา เปลือกตาหนาจำต้องขยับลืมขึ้นเนื่องจากความร้อนของแสงแดดที่ตกกระทบลงมาบนใบหน้าของร่างสูงนั้นร้อนเสียจนแอร์ในห้องที่เปิดไว้ในอุณหภูมิสิบแปดองศาก็ยังไม่สามารถสู้ได้
อัลฟ่าหนุ่มนอนหงายมองดูเพดานของห้องตัวเองเพื่อรวบรวมสติหลังจากที่พึ่งตื่นนอน ก่อนจะลุกขึ้นมายืนบิดี้เีกล้ามเนื้อที่เรียงตัวกันเป็ระเบียบอยู่บนหน้าท้องแกร่งบิดหมุนรูปร่างไปตามการเคลื่อนไหวของเ้าของร่าง พอรู้สึกว่าสบายตัวในระดับหนึ่งขายาวก้าวเอื่อยอาดหายไปในห้องน้ำ และกลับออกมาอีกครั้งในสภาพที่ท่อนบนเปียกชื้นมีหยดน้ำเกาะอยู่บ้างประปรายส่วนท่อนล่างก็ถูกสับเปลี่ยนจากกางเกงนอนเป็ผ้าเช็ดตัวสีขาวผืนเดียว
วันนี้ตอนบ่ายปลื้มมีนัดกับแทนไปเดินเล่นที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งแต่ที่จริงมันก็ไม่ใช่เดินเล่นหรอกเพราะอีกคนบอกว่าตั้งใจจะไปซื้อรองเท้าผ้าใบเพิ่มอีกคู่เห็นว่าตัวที่อยากได้เข้าช็อปที่ไทยแล้วด้วย แต่ดูท่าแล้วเขาคงจะต้องไปเร็วกว่าที่นัดไว้หน่อยเพราะถูกแดดปลุกให้ตื่นั้แ่นาฬิกาปลุกยังไม่ได้ทำงาน
ก่อนที่จะเดินไปแต่งตัวอัลฟ่าหนุ่มหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองขึ้นมากดวิดีโอคอลหาใครบางคน รอไม่นานปลายสายก็กดรับ ภาพที่ขึ้นโชว์บนหน้าจอทำร่างสูงห้ามรอยยิ้มของตัวเองไว้ไม่อยู่ แทนกำลังนอนหลับตาหน้าซบไปกับหมอนจนแก้มกองเป็ก้อน ถ้าอยู่ใกล้ๆจะแกล้งกัดแรงๆสักทีโคตรน่ามันเขี้ยว
“ตื่นได้แล้ว” โทรศัพท์ราคาแพงถูกวางพิงไว้บนชั้นใกล้กับกระจก โดยอยู่ในตำแหน่งที่อีกคนสามารถมองเห็นท่อนบนของชายหนุ่มได้ทั้งหมด
(โทรมาทำเหี้ยไรแต่เช้า) ปลายสายตอบกลับมาด้วยเสียงงัวเงียและเปลือกตาบางยังคงปิดสนิทเช่นเดิม
“เก้าโมงกว่าบ้านกูไม่เช้าแล้วนะ” ตอแหลไปงั้นแหละถ้าไม่โดนแดดปลุกเขาเองก็คงจะยังไม่ตื่นเช่นกัน
(บ้านกูยังเช้าอยู่)
“เถียงเก่งว่ะ” ปากก็พูดไป มือไม้ก็ขยับจับนั่นจับนี่มาทาลงบนผิวหน้าของตัวเองไปด้วย
(ง่วงอะ)
ใบหน้าสวยเอียงซบหายลงไปกับหมอนใบนุ่มมากขึ้นเมื่อไม่สามารถต้านทานความง่วงที่ถาโถมเข้ามาในยามเช้าแบบนี้ได้ การลืมตาตื่นเป็อะไรที่ลำบากยากเย็นมากจริงๆ
“ลืมตาไปอาบน้ำ เดี๋ยวก็หายง่วงแล้ว”
ผ้าเช็ดตัวสีขาวถูกมือหนาปลดออกจนมันร่วงลงไปกองอยู่บนพื้น เสื้อยืดสีขาวแบรนด์โปรดอย่างแบรนด์Pradaถูกหยิบออกมาสวมทับร่างกายท่อนบนตามด้วยชั้นในทรงTrunksตัวสีเทาจากCalvin Klein มือหนาหยิบกางเกงยีนตัวใหม่ของแบรนด์Martine Roseที่พึ่งได้มาซึ่งเป็หนึ่งในของฝากจากพี่ชายฝาแฝดเนื่องในโอกาสที่กลับมาประเทศไทยในรอบสองปี เขาใส่กางเกงลงมาเป็เอวต่ำจนเห็นขอบของกางเกงชั้นในโผล่ออกมาแต่ยังดีที่ชายเสื้อยืดยาวพอที่จะปิดมันเอาไว้ เข็มขัดหนังแบรนด์เดียวกับเสื้อถูกนำมาคล้องรัดเอาไว้เพื่อไม่ให้ตอนที่เดินหรือขยับตัวเอวแล้วกางเกงจะลดต่ำลงไปมากกว่าเดิม มองดูเผินๆการแต่งตัวของปลื้มในวันนี้ก็เหมือนจะมีแค่เสื้อยืดสีขาวกับกางเกงยีนธรรมดาแต่ที่จะไม่ธรรมดาก็ตรงถ้าบวกราคาทุกชิ้นรวมกันคงทำเอาหลายคนหน้าซีด
(พูดง่าย)
“ลืมตาก่อนเร็ว”
(ไม่กูจะนอน)
“ดูให้หน่อยว่ากูหล่อพอจะเป็คนขับรถให้มึงได้ยัง” ถอยหลังออกไปยืนให้ไกลมากขึ้นเพื่อให้อีกคนได้เห็นเขาทั้งตัวแต่ร่างบางก็ยังคงหลับตาอยู่ “แทนนนนนนนนน”
ลากเสียงยาวแม่งเลยดูสิจะทนได้มั้ย
(กูจะฆ่ามึง) เปลือกตาบางลืมขึ้นพร้อมกับสายตาอาฆาตแค้นที่ถูกส่งมา
“หล่อยัง” แต่มีหรอที่คนแบบปลื้มจะสนใจ
(เออ มันก็คงหล่อไปกว่านี้ไม่ได้แล้วแหละ) ไม่จริงหรอกแทนรู้ดีว่าการเกิดมาเป็ปลื้มมันขี้โกงเพราะมันหล่อขึ้นทุกวัน อย่างตอนนี้แค่เสื้อยืดกับลุคธรรมดาๆยังดูไม่ธรรมดาเลยพอมาอยู่บนตัวมัน
ร่างกายไม่หยุดการเจริญเติบโตความหล่อของแม่งก็เช่นกัน
“จริงป่ะ” ปลื้มเดินกลับไปใกล้กระจกมากขึ้นมือหนาหยิบสร้อยข้อมือขึ้นมาสองเส้นลังเลว่าควรจะใส่เส้นไหนดีจึงให้อีกคนช่วยตัดสินใจแทน “ซ้ายหรือขวา”
แทนเพ่งสายตาที่เต็มไปด้วยความพร่ามัวของตัวเองมองสร้อยข้อมือสีเส้นสองอันที่ไม่รู้ว่ามันต่างกันอย่างไรอยู่ครู่หนึ่ง
(ซ้าย) โบราณเขาว่าขวาร้ายซ้ายดีเชื่อหน่อยก็คงไม่เป็อะไร
“ซ้ายมึงหรือซ้ายกู”
(...) ปลื้มกูขอร้อง กูปวดหัวมากนะ
“ตอบครับ”
(ซ้ายมึง)
“เลือก Chrome Hearts ว่ะ ของแพงซะด้วย” ปลื้มใส่กำไลข้อมือเส้นที่อีกคนเลือกลงบนข้อมือด้านซ้ายของเขา
(เท่าไร)
“อะไร” คิ้วหนาเลิกขึ้นข้างหนึ่ง เขาไม่เข้าใจว่าอีกคนกำลังพูดถึงเื่อะไร
(ราคา) แทนพลิกตัวมานอนหงาย ก่อนจะยืดแขนออกไปให้กล้องไม่อยู่ใกล้ใบหน้าของเขามากเกินไปนัก
“สามหมื่นกว่ามั้งถ้ากูจำไม่ผิด” ปลื้มตอบเหมือนไม่คิดอะไร เขาหยิบแว่นกันแดดกรอบขาวของPradaมาคล้องไว้ที่คอเสื้อแต่มันยังดูไม่ค่อยเข้าเท่าไร เขาเลยหยิบกระเป๋าสีน้ำตาลของแบรนด์เดียวกับเสื้อและแว่นมาสะพายไว้บนบ่า แล้วจึงเอาแว่นคล้องไว้ที่สายกระเป๋าอีกที
แบบนี้ค่อยดูดีหน่อย
(คนขับรถใส่กำไลแพงกว่าเสื้อผ้าทั้งตัวที่กูใส่อีก)
“มันเป็ความชอบ”
(ก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่อย่าเผลอนะ)
“ทำไม”
(กูจะขโมย) คำพูดของแทนทำให้ปลื้มหลุดหัวเราะออกมา ในที่สุดเขาก็แต่งตัวเสร็จสักที
ปลื้มเป็คนที่ค่อนข้างจะพิถีพิถันกับการแต่งตัวเป็อย่างมาก ข้าวของที่เขาใช้ไม่ว่าจะเป็พวกเสื้อผ้า เครื่องประดับ กระเป๋า รองเท้า แอคเซสเซอรี่ต่างๆล้วนเป็ของที่มีแบรนด์ทั้งนั้น ไม่ใช่ว่าไม่มีแบรนด์หรือราคาถูกกว่านี้แล้วจะใส่ไม่ได้เขาใส่ได้เพียงแค่นี่มันคือความชอบส่วนตัวของเขาและการซื้อของพวกนี้ก็ไม่ได้ทำให้เขาหรือคนรอบตัวเขาต้องเดือดร้อน
หลายคนชอบคิดแทนเขาว่าถ้ามีเงินเยอะขนาดนี้เอาไปทำอะไรที่มีประโยชน์กว่านี้จะดีมั้ย ทำไมต้องมาหมดเงินกับการซื้อข้าวของที่ราคาสูง เขาก็มักจะตั้งคำถามกลับไปเสมอว่าแล้วการซื้อความสุขความสบายใจให้กับตัวเองนั้นไม่สร้างประโยชน์อย่างไร ทำไมเราต้องเอาเงินของเราไปทำในสิ่งที่คนอื่นบอกว่าดีกว่าการสร้างความสุขให้ตัวเองด้วยล่ะ
“ไม่ต้องขโมยหรอกมึงอยากได้อันไหนก็แค่มาหยิบเอา”
(สายเปย์ไม่ไหว) มุมปากบางยกยิ้มจางๆพร้อมกับมือเรียวที่ถูกยกขึ้นมาเขี่ยขี้ตาออกไปจากหัวตา แทนอ้าปากหาวเนื่องจากความง่วงงุนยังคงอยู่
“ไปอาบน้ำเลยเดี๋ยวกูไปรับแล้วออกไปหาอะไรกินกัน”
(นัดบ่ายไม่มีอยู่จริง)
“พอดีผมมันคนตื่นเช้า”
(แค่วันนี้แหละ)
“ใส่ร้ายว่ะ”
(กูเอาความจริงมาพูดทั้งนั้นเถอะ) ร่างบางดันตัวเองให้ลุกขึ้นนั่งเขาคิดว่าพออีกฝ่ายวางสายแล้วจะได้ไปอาบน้ำเลย
“ไปอาบน้ำครับ”
(รู้แล้ว งั้นแค่นี้นะ)
“ไม่ให้กูเฝ้าอาบน้ำหรอ เผื่อมึงขี้โกงแอบหลับต่อทำไง”
(เลิกทำตัวหื่นกามเถอะนะ ขอร้องเลย)
“ฮาฮ่าฮา ล้อเล่นแต่ถ้าได้จริงก็เอาจริงนะ” ปลื้มบอกยิ้มๆ “เจอกัน”
(อือ เจอกันครับ) พูดจบก็หาวใส่คนในจอไปอีกหนึ่งที จึงได้ฤกษ์ที่จะลุกขึ้นจากเตียงนอนอย่างจริงจัง
“มึงตอนพูดสุภาพนี่โคตรน่ารักเลยว่ะ”
(หลงกูไม่ไหวแล้ว) ไม่ได้หลงตัวเองเลยจริงๆ สาบานได้
“สงสัยโดนมึงทำของใส่”
(ใส่ร้ายกูอีก แค่นี้แหละ)
“โอเค”
ติ๊ด
พอกดวางสายปลื้มก็ตรวจความเรียบร้อยของตัวเองที่หน้ากระจกอีกนิดหน่อย ใช้ปลายนิ้วเขี่ยผมหน้าม้าให้ดูเป็ธรรมชาติมากขึ้น แต่เหมือนยังไม่ค่อยพอใจกับความหล่อของตัวเองเท่าไร จึงหยิบจิลมาใส่เพิ่มที่หูอีกหนึ่งข้างปิดท้ายด้วยการพรมน้ำหอมขวดโปรดลงบนร่างกายและก่อนที่มันจะดูเยอะมากไปกว่านี้ร่างสูงก็ตัดสินใจเดินออกไปจากห้อง เลือกหยิบกุญแจรถคันโปรดและรองเท้าแตะ Birkenstock ที่พึ่งได้มาจากพี่ชายฝาแฝดอีกเช่นกันออกมา ในที่สุดอัลฟ่าหนุ่มเ้าของกลิ่นสนก็ได้ฤกษ์ได้ยามออกจากห้องพักเสียที
“สวัสดีพ่อหนุ่มPrada” แทนจงใจแกล้งออกเสียงแบรนด์ให้เป็สำเนียงที่อินเตอร์มากที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้เพื่อแซะอีกคน “ทั้งตัวมึงเท่าไรเนี่ยถามจริง”
แทนหันตัวไปปิดประตูบ้าน กว่าปลื้มจะมาถึงบ้านของแทน ร่างบางก็แต่งตัวเสร็จพอดีในตอนแรกก็ไม่ได้คิดว่าอีกคนจะมาถึงช้าขนาดนี้แต่คงเพราะเป็่เช้ารถเลยติด
“แสนสี่ไม่น่าเกินนี้” ปลื้มตอบหน้าตายขณะที่ยืนรอร่างบางจัดการกับประตูรั้วบ้านของตนเอง
“ขออนุญาตไม่เดินด้วย เหม็นสาบคนรวย”
“ว่าแต่กู กระเป๋ามึงเนี่ยAlexander McQueenมาแต่ไกลเลยนะ โลโก้แทบทิ่มตากูบอด”
ปลื้มเอ่ยแซวกลับ วันนี้แทนไม่ได้แต่งตัวอะไรมากมายอีกคนใส่เสื้อยืดสีขาวเหมือนกับเขาสวมทับด้วยเสื้อแจ็คเก็ตยีนส์สีเข้มพับปลายแขนขึ้นไปเล็กน้อย ท่อนล่างก็เป็กางเกงยีนสีครีมและรองเท้าผ้าใบNikeสีขาวคู่โปรด แต่ที่ทำให้ลุคของแทนดูเต็มมากขึ้นก็คงจะเป็หมวกที่เ้าตัวใส่เอาไว้บนหัวสีเดียวกับกระเป๋าที่สะพายอยู่
“ใบนี้กูเก็บตั้งซื้อเถอะไม่ได้ชี้นิ้วแล้วได้มาเลยแบบมึง” แทนเถียง
ฐานะครอบครัวของแทนถือว่าเป็ชนชั้นกลางมีกินไม่ได้เดือดร้อน ซื้อของมีราคาใช้ได้แต่ก็ไม่ใช่ว่าซื้อได้พร่ำเพรื่อ ผิดกันกับปลื้มที่ฐานะครอบครัวรับรู้กันโดยทั่วว่าร่ำรวยก็นะเป็ถึงครอบครัวของเอกอัครราชทูตประจำประเทศฝรั่งเศสฝั่งแม่ก็มีข่าวลือว่าเป็เชื้อเ้าเชื้อหม่อมจะเอาอะไรมาไม่รวยล่ะ
“มาเป็เมียกูดิชี้นิ้วแล้วได้เลยแน่กูรับรอง”
“ฝัน”
“จะไม่ยอมคบกับกูจริงดิ”
“มึงรีบหรอ แต่กูอยากดูไปก่อน”
ก็แค่ข้ออ้างเท่านั้นความจริงที่เล่นตัวไม่ยอมคบเพราะคิดว่าอยู่กันแบบนี้ก็ดีเพื่อวันไหนปลื้มมันเจอคนคนนั้นของมันขึ้นมาเวลาที่แยกกันจะได้ไม่ต้องมีใครต้องมาพูดคำว่าเลิกเพื่อยุติความสัมพันธ์ระหว่างเรา
“ไม่ใช่ว่ากังวลอะไรอยู่ใช่ป่ะ” ปลื้มเลือกที่จะถามออกไปตามความรู้สึกเพราะเขาััได้ว่าั้แ่ที่แทนไปคุยกับเรนมาวันนั้นเ้าตัวก็เหมือนจะคิดมากเื่อะไรบางอย่างอยู่ตลอด “วันนั้นเรนพูดอะไรกับมึงกันแน่”
“ไม่ได้พูดอะไร จะไปได้ยัง”
ร่างบางเอ่ยเปลี่ยนเื่เขาหันไปจับสายคาดเบลท์เหมือนไม่อยากพูดถึงเื่นี้อีกปลื้มจึงจำใจต้องยอมล่าถอย หลังจากที่ได้รู้จักกับแทนมาปลื้มก็เริ่มที่จะรู้ว่านิสัยของแทนคือเป็คนที่ไม่ค่อยพูด อีกคนชอบเก็บเื่ต่างๆไว้กับตัวเองมากกว่า คงต้องรอให้อยากพูดมันออกมาเองเขาถึงจะรู้ได้ว่าเื่ที่แทนกำลังคิดอยู่มันคือเื่อะไร
ใช้เวลาไม่นานพวกเขาทั้งสองคนก็มาถึงที่หมาย สิ่งแรกที่ซื้อไม่ใช่รองเท้าที่แทนอยากได้หรืออาหารเช้าแต่อย่างใด มันคือชานมไข่มุกที่ซื้อกันมาแบบงงๆ ถามว่าปกติเขาทั้งคู่เป็คนที่ชอบกินอะไรแบบนี้มั้ยคำตอบก็คือตรงกันเลยว่าไม่ แล้วตอนนี้ก็ไม่เข้าใจด้วยว่าซื้อมาทำไมถ้าจะดูดแค่คนล่ะครั้งแล้วก็ปล่อยให้น้ำแข็งละลายเล่นแบบนี้
“มึงจะกินอีกมั้ย ถ้าไม่กูจะทิ้งแล้วนะ” ปลื้มโบกแก้วชานมไข่มุกในมือไปมา
“ทิ้งทำไมเสียดาย” แก้วหนึ่งตั้งเกือบร้อย ดูดไปได้สองทีมึงจะทิ้งแล้ว บ้าป่ะ
“ก็มันไม่อร่อย ถ้ามึงเสียดายมึงก็กิน” แก้วชานมไข่มุกถูกยื่นมาด้านหน้าของแทน ร่างบางก็ก้มหน้าลงไปดูดมันทั้งที่ปลื้มยังถืออยู่แต่อีกคนก็ไม่ได้ว่าอะไร
“ค่อยดีขึ้นมาหน่อย” ตอนแรกที่ซื้อมามันหวานเสียจนแทบจะตัดขาทิ้งได้แต่พอเวลาผ่านไปสักพักน้ำแข็งที่ละลายก็พอจะช่วยเจือจางความหวานลงไปได้บ้าง
เดินไปอีกไม่นานพวกเขาก็ตัดสินใจเดินเข้าไปในร้านอาหารญี่ปุ่นสั่งราเม็งคนถ้วยตั้งหน้าตั้งตากินด้วยความหิวก่อนจะมุ่งหน้าต่อไปยังร้านรองเท้าแบรนด์โปรดของแทน พอย่างกายเข้าไปในร้านดวงตากลมโตก็วิบวับขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด ขาเรียวก้าวเดินฉับฉับตรงไปยังชั้นรองเท้าจนลืมนึกถึงคนที่มาด้วยกัน ปลื้มยืนมองรองเท้าหลายคู่เบื้องหน้าเพื่อหาสักคู่ที่เขาอาจจะถูกใจแต่มันก็ยังไม่โดนใจเขาอยู่ดี จึงเดินไปนั่งรออีกคนเงียบๆ
“คุณลูกค้าสนใจคู่ไหนสามารถสอบถามได้นะคะ” พนักงานหญิงคนหนึ่งเดินเข้ามาทักทายแทนด้วยใบหน้าที่เปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม
“คู่นั้นครับ” ปลายนิ้วเรียวชี้ไปยังรองเท้าคู่ที่หมายตาเอาไว้ั้แ่แรก ตอนเห็นในรูปว่าชอบแล้วพอมาเจอของจริงกับตาแทนสามารถใช้คำว่าตกหลุมรักกับมันได้เลย
“คู่นี่พึ่งเข้ามาใหม่เลยนะคะ” หญิงสาวหยิบรองเท้าคู่ที่ลูกค้า้าจะดูลงมาจากชั้นที่จัดโชว์เอาไว้ แทนรับมันมาถือไว้เขาดูไซซ์ของมันก่อนจะพบว่าเป็ขนาดเดียวกับเท้าของเขาพอดี
“ลองได้ใช่มั้ยครับ”
“ได้ค่ะ ตามสบายเลย” เธอเดินถอยไปด้านหลังนิดหน่อยเพื่อให้ลูกค้าสามารถลองสินค้าได้อย่างสะดวก แทนเดินตรงไปยังเก้าอี้ที่ปลื้มนั่งรออยู่ หย่อนกายลงนั่งด้านข้างเพื่อทดลองใส่รองเท้าคู่ที่อยากได้ว่ามันจะเข้ากับเขาหรือไม่ แต่ต่อให้ไม่เข้ากับชุดที่ใส่ในวันนี้ก็ไม่เป็ไรไว้ค่อยไปแต่งตัวให้แมทกับรองเท้าวันหลังเอาก็ได้
“คู่นี้หรอที่อยากได้อะ” ปลื้มเงยหน้าขึ้นจากโทรศัพท์มือถือในมือไปมองคที่นั่งอยู่ข้างกาย
“ใช่ เป็ไงสวยป่ะ” แทนขยับเท้าข้างที่ใส่รองเท้าเสร็จแล้วให้ปลื้มดู
“ก็สวยดี”
แทนลุกขึ้นยืน เขามองเงาสะท้อนของเท้าตัวเองในกระจกเงาด้วยสายตาที่มีความสุข ก่อนจะเดินกลับไปนั่งที่เดิมถอดรองเท้าผ้าราคาแพงออกแล้วส่งมันคืนให้กับพนักงาน
“เอาไซซ์นี้ สีนี้เลยครับ”
“ได้ค่ะ รอสักครู่นะคะ” พนักงานสาวตอบรับด้วยรอยยิ้ม เธอประทับใจมากกับลูกค้าที่ซื้อง่ายไม่จู้จี้จุกจิกจนทำให้ต้องปวดหัว
“มึงจะไปซื้ออะไรป่ะ” แทนหันไปถามปลื้ม
“ว่าจะไปซื้อของสดมาติดตู้เย็นที่คอนโดฯไว้หน่อย”
“คุณลูกค้าค่ะ เดี๋ยวเชิญชำระเงินทางด้านนี้นะคะ” พนักงานเดินกลับมาหาแทนอีกครั้งพร้อมกับกล่องรองเท้าคู่ใหม่ เธอเดินนำอัลฟ่าหนุ่มทั้งสองคนไปยังบริเวณแคชเชียร์ของร้าน ที่มีพนักงานอีกคนซึ่งทำหน้าที่ในการจัดการเื่การชำระเงินยืนอยู่ “ลูกค้าตรวจสอบสินค้าก่อนนะคะ” หญิงสาวเปิดกล่องออกและหยิบสินค้าออกมาให้แทนตรวจเช็กความเรียบร้อยก่อนจ่ายเงิน เมื่อแทนตรวจเช็กจนแน่ใจแล้วว่าคู่นี้ไม่มีปัญหาอะไรเขาจึงส่งมันคืนให้กับพนักงานเธอจับสินค้าใส่ลงในกล่องเช่นเดิม ก่อนจะยื่นให้กับพนักงานอีกคนเพื่อคิดเงิน
“ลูกค้าสะดวกชำระเป็แบบไหนดีครับ”
“สะ...”
“บัตรเครดิตครับ”
ยังไม่ทันที่แทนจะพูดจบบัตรทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าก็ถูกยื่นออกไปด้านหน้าของเขาเสียก่อน พนักงานรับมันไปจากมือของปลื้ม แทนหันไปมองคนที่จ่ายเงินตัดหน้าเขาทันที
“มึงทำเหี้ยไรเนี่ย”
“ก็ซื้อรองเท้าให้มึงไง”
“เอาเลขบัญชีมาด้วยเดี๋ยวกูโอนคืนให้” มันไม่ใช่เื่เลยที่ปลื้มจะต้องมาเปลืองเงินกับการซื้อของราคาเกือบสามหมื่นให้เขา
“จะคืนทำไม บอกว่าซื้อให้ก็คือซื้อให้ คิดอะไรเยอะแยะ”
“มันแพง กูเกรงใจ” ถ้าเป็ของหลักร้อยหลักพันแทนคงไม่คิดอะไรมากเพราะเดี๋ยวเขาซื้อให้อีกฝ่ายคืนก็ได้ แต่นี่มันของหลักหมื่นเกินจากที่แทนตั้งไว้ไม่น้อยเลย
“เกรงใจทำไม แค่นี้เอง ไม่ได้แพงอะไรมากมายสักหน่อย” เทียบกับทั้งตัวที่ปลื้มใส่มาวันนี้ราคารองเท้าของแทนจิ๊บจ๊อยมากสำหรับเขา
“ค่าข้าวเมื่อกี้มึงก็จ่ายจะไม่ให้กูเกรงใจได้ไง” ั้แ่ก้าวเท้าเข้ามาเหยียบในห้างสรรพสินค้าแห่งนี้แทนยังไม่ได้ควักเงินออกมาจากกระเป๋าของตัวเองแม้แต่บาทเดียว แล้วจะไม่ให้รู้สึกอะไรเลยได้อย่างไง “ถ้ามึงจะซื้อรองเท้าให้กูมึงก็ให้กูออกค่าข้าว” ถึงแม้ว่าราคามันจะต่างกันมากจนแทบเทียบกันไม่ได้เลยก็เถอะ
“อันนั้นกูตั้งใจเลี้ยง จะให้มึงมาจ่ายได้ไง”
“อันนี้กูก็ตั้งใจจะซื้อมึงจะมาจ่ายได้ไง”
“ดื้อว่ะ”
“มึงนั่นแหละดื้อ”
“รบกวนลูกค้าเซ็นชื่อให้หน่อยนะครับ”
“ได้ครับ” ปลื้มเลิกต่อปากต่อคำกับแทนแล้วเอื้อมมือไปเซ็นชื่อลงบนใบเสร็จก่อนจะรับบัตรเครดิตคืนกลับมาพร้อมกับถุงกระดาษที่มีกล่องรองเท้าของร่างบางอยู่ด้านใน
“ขอบคุณนะครับ” ปลื้มยิ้มจางๆให้กับพนักงานที่เอ่ยขอบคุณพวกเขา ก่อนจะใช้มือที่ว่างจับมือของแทนเอาไว้แล้วเดินออกไปจากร้านด้วยกัน
“บอกเลขบัญชีมาด้วย” แทนยังคงไม่ยอมแพ้ง่ายๆ
“เดี๋ยวเราไปดูของสดกันดีกว่า กูว่าจะซื้อพวกขนมติดห้องไว้ด้วย”
“ไม่ต้องมาเปลี่ยนเื่เลย”
“เดี๋ยวก่อนกลับแวะไปที่บ้านกูก่อนนะ” ปลื้มแกล้งทำเป็หูทวนลมไม่ได้สนใจในสิ่งที่แทนพูดออกมาเลย
“ไปทำไมบ้านมึง”
เหมือนว่าประเด็นใหม่ที่ปลื้มพึ่งเอ่ยออกมาจะดึงความสนใจทั้งหมดของแทนไปได้อย่างง่ายดายจนลืมเื่รองเท้าก่อนหน้านี้ไปเสียสนิท
“ปลาบมันฝากซื้อของ แวะไปแป๊ปเดียว”
“พ่อกับแม่มึงอยู่บ้านหรือเปล่า” แทนเริ่มกังวลเขายังไม่พร้อมที่จะเจอหน้าครอบครัวของปลื้มในตอนนี้
“พ่อกับแม่กูไม่อยู่บ้านแล้วจะให้พวกท่านไปอยู่ไหน”
“งั้นไปส่งกูที่บ้านก่อน”
“จะวนไปวนมาทำไม แวะไปที่บ้านกลับคอนโดฯกูแล้วค่อยไปส่งมึงง่ายกว่า”
“กูยังไม่พร้อมจะเจอหน้าพ่อกับแม่มึง” แทนเอ่ยไปตามตรง
ถ้าเกิดว่าท่านทั้งสองสั่งให้เขาเลิกยุ่งกับปลื้มล่ะ เขายังไม่พร้อม ขอเก็บเกี่ยวความสุขอีกสักนิดก่อนยังไม่พร้อมสำหรับการจากลาจริงๆ
“กลัวหรอ” ปลื้มหยุดเดินและมองใบหน้าของแทนที่กำลังคิดหนัก “ไม่ต้องกลัวหรอกพวกท่านใจดีจะตาย”
“ใจดีแค่กับมึงหรือเปล่า” กับกูเขาคงไม่ใจดีด้วยหรอก
“กับมึงก็ใจดี เชื่อกูสิ”
“งั้นบอกว่ากูเป็เพื่อนมึงไปก่อนแล้วกัน” ถึงอย่างไรตอนนี้สถานะระหว่างเขาทั้งสองคนมันก็ยังไม่ได้เลื่อนขั้นอย่างเป็ทางการอยู่แล้ว
“การเป็คนพิเศษของกูมันน่าอึดอัดมากหรอ มึงถึงได้ดูบ่ายเบี่ยงตลอด ขอเป็แฟนก็ไม่เป็ พาไปเจอที่บ้านก็ให้บอกว่าเป็แค่เพื่อน มึงรังเกียจกูมากขนาดนั้นเลยหรอแทน”
“ไม่ใช่อย่างนั้น”
“แล้วมันเป็ยังไง”
“กูแค่...แค่กลัวว่าพวกท่านจะรับไม่ได้ที่กูเป็แบบนี้” ร่างบางเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่แ่เบาลงแสดงออกอย่างชัดเจนว่าความมั่นใจของเขามันมีน้อยแค่ไหนในตอนนี้
“แบบไหน”
“อัลฟ่า” พอคิดถึงเื่นี้ทีไรคำพูดของเรนที่เคยบอกกับเขาไว้เกี่ยวกับเื่ครอบครัวของปลื้มก็จะวนกลับเข้ามาในหัวของเขาทุกครั้ง ทั้งที่รู้ว่าเรนอาจจะพูดเพื่อปั่นหัวของตัวเองแต่ก็ยังอดคิดไม่ได้ว่าสิ่งที่อีกฝ่ายพูดนั้นเป็เื่จริง
พวกท่านจะรับได้หรือไงที่ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนคนที่วาดหวังเอาไว้ให้คู่กับโอเมก้าที่สูงศักดิ์มารักกับอัลฟ่าชนชั้นกลางแบบเขา ฐานะทางบ้านก็ไม่คู่ควรยิ่งเื่ความเหมาะสมของเพศรองคงไม่ต้องพูดถึงเลย
“แม่กูน่ะเป็ถึงหนึ่งในคณะกรรมการวินิจฉัยการเลือกปฏิบัติไม่เป็ธรรมระหว่างเพศ ท่านไม่คิดมากหรอกว่าคนที่กูรักจะเป็เพศไหน” ดวงตาคมสบเข้ากับดวงตากลมที่สั่นไหวเหมือน้าเรียกความมั่นใจของแทนให้กลับคืนมา “เชื่อกู พ่อกับแม่กูจะไม่ว่าอะไร และท่านจะรักมึงเหมือนที่กูรัก” ปลื้มเชื่อมั่นในครอบครัวของเขาและเขาเองก็อยากให้แทนเชื่อแบบนั้นเช่นกัน
สายตาแน่วแน่ที่ปลื้มส่งมาทำให้ความกังวลในใจของแทนลดน้อยลงแต่ยังคงไม่หายไป
เอาวะ เกิดมาเป็คนนะเว้ยไอ้แทน ไม่ลองไม่รู้
“อือ แต่ถ้าพวกท่านไม่ชอบกูล่ะ”
“เดี๋ยวกูรับผิดชอบด้วยการเก็บเสื้อผ้าหนีมาให้มึงเลี้ยงเอง”
“เหี้ยมาก”
พวกเขาทั้งสองคนใช้เวลาอีกประมาณชั่วโมงกว่าในการเลือกซื้อของกินของใช้ที่จำเป็ ก่อนจะมุ่งหน้าเดินทางไปยังบ้านหลังใหญ่ของครอบครัวกิตติไพศาริณ แทนประสานมือไว้ด้วยกันจนเหงื่อออก เขาเริ่มคิดมากว่าเขาจะเข้าหาครอบครัวของปลื้มอย่างไร พวกท่านจะประทับใจในตัวเขามั้ย ถึงทุกครั้งที่มองไปยังอัลฟ่าร่างสูงข้างกายเขาจะพอปลอบตัวเองได้บ้างว่าไม่เป็ไรไม่มีอะไรน่ากลัวทุกอย่างจะผ่านไปได้ด้วยดี แต่ในใจลึกๆเขาก็ยังสลัดความคิดในแง่ลบของตัวเองออกไปไม่ได้อยู่ดี
“ถึงแล้ว”
พวงมาลัยรถถูกหักให้เลี้ยวขวาเพื่อเข้าไปในเขตรั้วบ้านหลังใหญ่ที่ถูกไกลออกมาแทบชานเมือง เหตุผลที่บ้านปลื้มไม่ได้อยู่ในตัวเมืองนั่นก็เพราะพ่อของเขาบอกว่าพื้นที่ในเมืองมันสร้างบ้านหลังใหญ่ไม่ได้ ท่านอยากได้ลานหน้าบ้านกับสนามหญ้าหลังบ้านที่กว้างขวางจึงเลือกที่จะสร้างบ้านไว้บนพื้นที่บริเวณนี้
“นี่บ้านมึงจริงหรอ” ใหญ่โตกว่าที่คิดไว้เสียอีก แทนเคยคิดนะว่าเด็กมหา’ลัยที่ขับรถคันละสิบล้านได้มันต้องรวยขนาดไหนกันวะ พอเห็นบ้านของปลื้มแล้วเขาก็ได้คำตอบในทันทีเลยว่ารวยขนาดนี้แหละ “พ่อมึงแอบทำอย่างอื่นนอกจากเป็ทูตด้วยป่ะ”
“ก็มีเล่นหุ้นอะไรของเขาอะ แต่ฝั่งแม่กูอะเป็ลูกคนเดียวแล้วต้นตระกูลก็เป็ตระกูลผู้ดีเก่าเลยรับทรัพย์มาเต็มๆ” ที่รวยได้ไม่ใช่เพราะหน้าที่การงานของหัวหน้าครอบครัวเพียงอย่างเดียวแต่เพราะพื้นฐานของต้นตระกูลเขานั้นร่ำรวยอยู่แล้วต่างหาก
“กูดูจนจริงๆเมื่อเทียบกับมึง”
“กูก็จน คนที่รวยน่ะพ่อแม่กู ป่ะเข้าบ้านกัน”
ปลื้มเป็คนเดินนำแทนเข้าไปในบ้าน มือของเขาข้างหนึ่งถือถุงกระดาษที่ด้านในมีของที่พี่ชายฝาแฝดไลน์มาบอกว่าฝากซื้อ
ยิ่งเข้าใกล้ตัวบ้านมากเท่าไรแทนก็ยิ่งรู้สึกเหมือนตัวเขาเองเล็กลงมากขึ้นเท่านั้น
“สวัสดีครับ” ปลื้มยกมือไหว้ผู้ใหญ่สองคนที่นั่งคุยกันอยู่ในห้องรับแขก แทนจึงรีบยกมือขึ้นไหว้ตามทันทีเพื่อไม่ให้เป็การเสียมารยาท เขาไม่รู้หรอกว่าท่านทั้งสองคนคือใครแต่ถ้าให้เดาก็น่าจะเป็พ่อกับแม่ของปลื้มนั่นแหละ
“พาใครมาด้วยล่ะ” ผู้ชายท่าทางมีอายุหน่อยมองมาทางเขาทำเอาแทนรู้สึกเกร็งจนทำตัวไม่ถูก
“แทนใช่มั้ยลูก”
“คะ...ครับ”
“นี่แทนครับ ส่วนมึงนี่พ่อกับแม่กูเอง” ร่างสูงแนะนำให้ทั้งสองฝ่ายได้รู้จักกัน
“ตัวจริงหล่อกว่าในรูปอีกนะเนี่ย มาใกล้ๆแม่สิลูกขอดูความหล่อใกล้ๆหน่อย” คุณหญิงของบ้านกวักมือเรียกให้แทนไปนั่งข้างกันกับเธอ
ร่างบางหันไปมองหน้าปลื้มเล็กน้อย พอเห็นอีกคนพยักหน้าให้เขาจึงเดินเข้าไปทิ้งตัวนั่งลงตามคำเชิญ
“ขออนุญาตนะครับ”
“ตามสบายเลยลูก ให้ตายเถอะลูกชายแม่นี่ตาถึงจริงๆ” เธอหันไปเอ่ยชมลูกชายคนเล็กที่ยืนยิ้มรับอย่างภาคภูมิใจ
“คุณน้าก็สวยมากเลยนะครับ” ผิวพรรณดูไม่ต่างอะไรกับสาววัยกลางคนเลย
“ปากหวานจริงเรา”
“คนนี้เมียพ่อ” แทนหันใบหน้าไปมองยังเ้าของเสียงทุ้มที่เอ่ยขึ้น “ห้ามจีบ”
“คุณก็ อย่าไปสนใจคนแก่ขี้หึงเลยนะลูก” หันไปขมวดคิ้วใส่สามี ก่อนจะกลับมาสนใจแทนต่อ “แต่เรียกน้าดูห่างเหินไป เรียกแม่แบบที่ปลื้มเรียกดีกว่านะจ๊ะ”
“อะไรกัน นี่บ้านเราจะมีสมาชิกเพิ่มแล้วหรอ” ปลาบที่พึ่งเดินลงมาจากชั้นบนของตัวบ้านพูดขึ้นเสียงดัง
“เปล่าเท่าเดิมนั่นแหละ แต่แม่จะไล่มึงออกจากบ้านแล้วเอาแทนมาอยู่แทนมึง”
“แม่! ดูไอ้ปลื้มดิ มันใสร้ายแม่อะ เลวจริงๆ”
“กูขว้างทิ้งเลยนะ” ร่างสูงบอกพร้อมกับทำท่าจะขว้างของที่ถืออยู่ทิ้งลงบนพื้นจริงๆ
“นั่นของพี่มึงนะ”
“เกิดก่อนสองนาทีทำมาเป็นับ”
“กูน่าจะเอารกพันคอมึงให้ตายั้แ่อยู่ในท้องแม่จริงๆ” ปลาบเดินไปแย่งถุงจากในมือปลื้มมาถือไว้ก่อนจะเปิดเพื่อเช็กดูว่าของด้านในยังครบถ้วนสมบูรณ์ดีหรือไม่ ถ้าชำรุดไปจะได้ไล่ให้ปลื้มไปซื้อมาใหม่แถมให้มันออกเงินให้ด้วย จะเรียกค่าทำขวัญเป็เลโก้อีกตัวเอาให้แม่งจนไปเลย
“แทนไม่ต้องไปสนใจคนแปลกๆสองคนนั้นนะลูก แล้วนี่ทานอะไรมาหรือยังจ้ะ”
“ทานมาแล้วครับ”
“แล้วเย็นนี้จะอยู่ทานข้าวกับแม่มั้ย กินข้าวกันแค่สามคนเบื่อขี้หน้าแล้ว”
“อ้าวแม่”
“อ้าวคุณ”
ความเป็กันเองของทุกคนในบ้านเริ่มทำให้แทนรู้สึกผ่อนคลายความกังวลและความคิดมากลงจนปลื้มที่คอยแอบมองอยู่ตลอดเริ่มเบาใจขึ้นมา ก่อนหน้านี้แทนดูจะเกร็งไม่น้อยคงเพราะว่านี่เป็ครั้งแรกที่เขาพาแทนเข้าบ้าน อีกคนอาจจะจินตนาการไปไกลว่าบ้านเขาไม่มีทางยอมรับความสัมพันธ์ระหว่างเราสองคน แต่ที่ไหนได้เขาชิงบอกเื่ของตัวเองกับแทนให้คนในบ้านรับรู้ั้แ่วันแรกที่กลับมาดีกันแล้ว
ตอนแรกพ่อของเขาเองก็เหมือนจะไม่ยอมรับสักเท่าไรเพราะกลัวว่าเขาจะไม่มีทายาทไว้ให้ท่านสืบสกุล แต่พอแม่บอกว่ายอมรับท่านก็ยอมโอนอ่อนตามไปในที่สุด พร้อมกับยื่นคำขาดด้วยว่าเขาต้องมีทายาทที่เป็อัลฟ่าเืบริสุทธิ์ให้ได้ จะได้เอาไว้ไปตบหน้าคนในสังคมที่มันชอบตั้งแง่กับการรักกันระหว่างอัลฟ่ากับอัลฟ่าให้หน้าหงายไปตามๆกัน
“แทนชอบอะไรบอกแม่ได้นะ แม่จะทำให้สุดฝีมือเลย”
“อะไรก็ได้ครับ ผมทานได้หมดเลย”
“ไม่สิ คนเราต้องมีอาหารที่ชอบอย่างน้อยหนึ่งอย่างสิจ๊ะ”
“ผมชอบแกงเขียวหวานครับ”
“งั้นเย็นนี้อยู่ทานแกงเขียวหวานฝีมือแม่นะ” แทนหันไปมองหน้าของปลื้มอีกรอบ พอเห็นว่าปลื้มพยักหน้าให้ เขาก็พยักหน้าตอบรับคำชักชวนของผู้ใหญ่ตรงหน้าไปเช่นกัน
“ได้ครับ”
“จริงสิ ปลื้มชวนแทนไปหรือยังลูก” เธอหันไปมองหน้าลูกชายคนเล็กของเธอ
“ชวนอะไรแม่”
“แสดงว่ายังไม่ได้ชวน วันเสาร์นี้แทนว่างมั้ยลูกไปช่วยงานอาสาที่บ้านเด็กกำพร้ากับแม่มั้ย เป็งานการกุศลปลาบกับปลื้มก็ไปนะจ๊ะ”
“ว่างอยู่ครับ” แทนคิดว่าการได้ออกไปทำตัวมีประโยชน์หรือแสดงออกในด้านที่ดีให้แม่ของปลื้มได้เห็นอาจทำให้ท่านเอ็นดูในตัวของแทนมากขึ้น
“งั้นไปด้วยกันนะลูก”
“ได้ครับ”
มีโอกาสพิชิตใจแม่ปลื้มให้อยู่หมัดเข้ามาขนาดนี้แล้วไม่คว้าไว้ก็คงจะโง่เต็มที