ท้องฟ้ายามรุ่งสางเหนือหมู่บ้านซั่งจิ่งค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็สีทองเรื่อ แนวไม้ไผ่ริมคันนาพลิ้วไหวเบาๆ ตามแรงลมเย็น ละอองหมอกยามเช้าเคลือบยอดหญ้าเหมือนถูกโรยด้วยน้ำค้างสีเงิน
บนแปลงผักเล็กๆ หลังบ้านดิน หลินเซี่ยนยืนกอดอกในเสื้อแขนยาวเก่าๆ ดวงตาสดใสของเด็กหญิงเก้าขวบฉายแววแน่วแน่ พลางมองแปลงตะไคร้ หอมแดง และสมุนไพรพื้นบ้านที่ปลูกเรียงกันเป็ระเบียบ
“หนึ่งพันหยวน...ต้องหาให้ได้ก่อนหมดปิดเทอมนี้!”
เธอคิดในใจเสียงดังชัดเจน คำว่า “หนึ่งพันหยวน” กลายเป็เป้าหมายยิ่งใหญ่เหมือนูเาที่ต้องปีนขึ้นไปให้ถึง ค่าเสื้อนักเรียนใหม่สองชุด ค่าอาหารกลางวัน สมุด หนังสือ มีดทำครัวใหม่ให้แม่ หม้อต้มชาสำหรับไปขายที่ตลาด อุปกรณ์สำหรับทำถ้วยไม้ไผ่เพิ่มอีกสิบใบ และที่สำคัญเงินเก็บยามฉุกเฉิน... ทุกอย่างล้วนต้องใช้เงิน
"ต่อไปนี้ฉันจะไม่ยอมให้แม่ต้องอับอายใคร ไม่ยอมให้เสี่ยวซานต้องทนหิวอดมื้อกินมื้ออีก!"
เมื่อกลับเข้าไปในบ้าน เสียงตะหลิวกระทบกระทะเหล็กใบเก่าจากครัวดินหลังบ้านดังแ่ๆ หานซิ่วเหมยกำลังเตรียมข้าวต้มเผือกอย่างขะมักเขม้น กลิ่นขิงอ่อนๆ ลอยมาเตะจมูก
“เซี่ยนเอ๋อร์ ตื่นแล้วหรือลูก”หานซิ่วเหมยเงยหน้าขึ้นยิ้มอย่างอ่อนโยน
“แม่คะ วันนี้ฉันมีแผนค่ะ แผนใหญ่ด้วย!”เด็กหญิงว่าเสียงขึงขัง
อาเฟยเดินออกมาจากห้องฝั่งตะวันออก เส้นผมเปียกหมาดๆจากการล้างหน้า เขาสวมเสื้อผ้าตัวเก่าของน้าชายที่ซักจนสะอาด
“ให้ฉันเดานะ...เธอจะลองสินค้าใหม่อีกแล้วใช่ไหม?”เขายิ้มน้อยๆ ดวงตาเริ่มมีชีวิตชีวาขึ้นเรื่อยๆ
“ใช่ค่ะ! ยาหม่องสมุนไพร แล้วก็ชาน้ำผึ้งป่า! พี่ช่วยเขียนป้ายให้ฉันได้ไหมคะ? เอาแบบที่สะกดง่าย คนแก่ก็อ่านได้”
อาเฟยหันมามองด้วยแววตาสงสัย
“ยาหม่องคืออะไรเหรอ?”
“มันเหมือนยาทาแก้ปวดเมื่อยไงพี่ใหญ่ พวกคนในตลาด ตากแดด แบกของ เดินไกล ถ้ามีของแบบนี้ รับรองขายง่ายแน่!”เธอตอบเสียงมั่นใจ
หานชิ่งเจี๋ยที่ได้ยินจากแปลงผักข้างบ้านก็หัวเราะเบาๆ
“ยาหม่อง? ดีเลย บ้านเรานี่แหละมีของทำยาหม่องครบทุกอย่าง!”
“น้ารู้วิธีทำด้วยเหรอคะ? เยี่ยมเลย!”หลินเซี่ยนลุกขึ้นตาวาว
หานชิ่งเจี๋ย พยักหน้าช้าๆ“ถ้ายาหม่องสูตรเหมือนในเมืองน้าไม่รู้หรอก น้ารู้แต่สูตรโบราณที่บ้านเราสืบทอดกันมา น้ำมันสะระแหน่น้ารู้วิธีสะกัด ส่วนไพลกับขมิ้น ก็มีขึ้นข้างโอ่งน้ำฝน”
ว่าแล้วไม่รอช้า หลินเซี่ยนรีบกางผ้าขาวเก่าบนพื้นไม้ ลากกล่องไม้ที่ใช้เก็บสมุนไพรออกมา หยิบขวดน้ำมันสะระแหน่ขุ่นๆ เก่าคร่ำ แอบเปิดฝาดมกลิ่นแล้วรีบปิด
“แสบตาเหมือนเดิมเลย...” เธอย่นจมูก แล้วเริ่มลิสต์รายการที่้า การทำยาหม่องสำหรับเธอไม่ใช่เื่ยาก เพราะชาติที่แล้วเคยช่วยงานในร้านขายสมุนไพร เธอจำส่วนผสมได้ มีไพลบด, ขมิ้นชัน, การบูร, น้ำมันมะพร้าว, ขี้ผึ้ง, พิมเสน แต่อัตราส่วนจำได้ไม่แม่นยำนัก แต่เธอไม่สนใจหรอก ตราบใดที่ของมีครบเธอก็แค่ทอลองทำดู เริ่มจากสกัดเมนทอลจากน้ำมันสาระแหน่ก่อน เธอไม่้ายาหม่องน้ำใสๆแบบโบราณ แต่้ายาหม่องที่เป็เนื้อครีมใสเหมือนเมื่อชาติที่แล้ว
พอตกเย็นวันนั้น หานชิ่งเจี๋ยก็ช่วยนำไพลและขมิ้นมาตำในครกดิน ใส่ลงในน้ำมันมะพร้าวเคี่ยวบนเตาดิน กลิ่นหอมสดของไพลผสมขมิ้นลอยอบอวลในบ้าน
“กลิ่นแบบนี้แหละ ชาวบ้านต้องชอบแน่!” หลินเซี่ยนพูดขณะใช้ทัพพีไม้กวนเบาๆ สรรพคุณของ "ไพล" มีฤทธิ์ลดปวดและอักเสบได้ดีนัก...หลังน้ำมันสมุนไพรเย็นตัว เธอก็นำมาผสมกับขี้ผึ้ง
“พรุ่งนี้ตอนเช้า ถ้ายาหม่องเซตตัวดี เราจะตักใส่กระปุกไผ่เล็กๆ ที่พี่ใหญ่ทำ แล้วติดป้ายแบบนี้...”
เธอหยิบเศษกระดาษเขียนด้วยถ่านไม้ตัวบรรจง
"ยาหม่องตำรับหมู่บ้านซั่งจิ่ง แก้ปวดเมื่อย คลายกล้ามเนื้อ
หอมเย็นสดชื่น"ราคา 1 หยวนถ้วน
อาเฟยยิ้ม พลางรับกระปุกไผ่ที่หลินเซี่ยนยื่นให้ เขาเปิดฝาแล้วลองแตะยาหม่องแต้มเบาๆ ที่ต้นคอ
“อือ...เย็นจริง”เขาพูดเบาๆ แววตาอ่อนโยน
“นี่เธอเรียนมาจากไหนกันแน่นะ เด็กคนนี้...”
หลินเซี่ยนยิ้ม ไม่ตอบคำถามนั้น... เพราะมันไม่มีคำตอบง่ายๆ
่สายของวัน ตลาดตำบลซ่างซีคึกคักกว่าทุกเสาร์ที่ผ่านมาเสียงแม่ค้าะโขายผัก เสียงเด็กเล็กวิ่งเล่น เสียงเกวียนล้อไม้กระทบพื้นดิน... ทุกเสียงกลมกลืนกันในบรรยากาศยามเช้าของตลาดชนบท
ใต้ร่มไม้ใกล้ปากทางเข้าตลาด แผงเล็กๆ ของหลินเซี่ยนถูกจัดอย่างเป็ระเบียบ ผ้าปูพื้นขาวคลุมพื้นดินกลบฝุ่นแดงได้พอควร
“ชาหอมหมื่นลี้/ยาหม่องตำรับบ้านนา!”
ป้ายไม้ไผ่เล็กๆ เขียนด้วยถ่านดำตัวโตสะดุดตา
หญิงชราร่างท้วมคนหนึ่งเดินเข้ามา มือหนึ่งถือไม้เท้า อีกมือถือพัดคอยพัดลมเบาๆให้ตนเอง
“แม่หนู นี่กลิ่นอะไรหอมเย็นดีจัง?”หญิงชราทำจมูกฟุดฟิด
“ลองทาขมับดูนะคะคุณย่า เย็นแต่ไม่แสบ กลิ่นสะระแหน่กับไพลค่ะ ใช้คลายปวดหัวหรือกล้ามเนื้อได้เลย”
“เธอทำเองรึ?”
“ใช่ค่ะ!หนูใช้สูตรโบราณของที่บ้าน รับรองใช้ดีมากค่ะ!”
หญิงชราหัวเราะเบาๆ “เอาเถอะ ขอลองสักกระปุก”
ลูกค้าเริ่มทยอยแวะมา สลับกับเด็กๆ ที่มาซื้อชาเย็นแก้วไม้ไผ่
“หนึ่งหยวนขวดใหญ่ครับ! หอมหวานเย็นชื่นใจ!”
เสี่ยวซานะโเรียกลูกค้าเสียงแหบเป็ระยะ ท่ามกลางอากาศร้อนจัด กระติกไผ่สองใบหมดเกลี้ยงในเวลาไม่ถึงสองชั่วโมง
อาเฟยนั่งคอยเตรียมสินค้าอยู่ด้านหลัง ไม่พูดมากนัก แต่เมื่อหลินเซี่ยนหันไป เขาก็จะยิ้มตอบเหมือนกำลังเฝ้าดู “เ้าของกิจการ” ตัวน้อยของเขาก้าวเดินอย่างมั่นคง
เมื่อกลับถึงบ้านในตอนบ่าย หลินเซี่ยนเปิดสมุดบันทึก รายรับของแต่ละสัปดาห์ปรากฏชัด
สัปดาห์แรก: 49 หยวน
สัปดาห์ที่สอง: 95 หยวน
สัปดาห์ที่สาม: ?
รวมแล้ว 144 หยวน แต่เป้าหมายคือ 1,000 หยวน!
คืนนั้นแสงตะเกียงในบ้านดินยังไม่ดับ หลินเซี่ยนกางสมุดโน้ตเก่า เขียนสูตรอะไรบางอย่างลงไป เสียงลมหายใจของทุกคนเงียบสงบ เหลือเพียงใบไผ่นอกหน้าต่างพลิ้วลู่เบาๆตามลม
“ต้องทำอะไรที่แม่บ้านต้องใช้ทุกวัน...ที่ไม่ต้องใช้ต้นทุนเยอะ…”
บ่ายแก่ของวันหนึ่งในเดือนกรกฎาคม แดดในเซินเจิ้นร้อนระอุ ไซต์งานก่อสร้างบนถนนเป่ยฮวาสะท้อนแสงจ้าจนแสบตา บริเวณด้านหลังแคมป์คนงานซึ่งสร้างด้วยไม้ไผ่และสังกะสีเรียบง่าย เสียงตอกตะปูและเครื่องปั่นปูนยังดังกระหึ่มไม่ขาดสาย เหนือหลังคาสังกะสีเก่าๆ แผ่นฟ้าคล้ายถูกบีบอัดจนแน่นไปด้วยไอร้อน
หลินเจี้ยนกั๋วเพิ่งเดินกลับมาจากไซต์งาน เขาเหงื่อโชก เสื้อกล้ามเก่าแนบกับแผ่นหลัง มือยังถือขวดน้ำชาสมุนไพรที่แจกฟรีประจำวัน เขากำลังจะนั่งพักบนเก้าอี้เตี้ยๆ หน้าห้องพักคนงาน แต่เสียงะโจากหน้าค่ายก่อสร้างก็ดังขึ้น
“จดหมายครับ! มีจดหมายจากต่างจังหวัด!”
ชายวัยรุ่นจากฝ่ายธุรการถือซองกระดาษสีน้ำตาล ยื่นให้คนงานคนหนึ่งที่กำลังเช็ดหน้า
“ของคนชื่อลุงหลิน...ใช่มั้ย? เขียนมาจากหมู่บ้านอะไรซั่ง...ซั่งอะไรเนี่ย?”
หลินเจี้ยนกั๋วหันมารับซองอย่างเงียบๆ ทันทีที่เห็นลายมือจากหน้าซอง เขาก็ชะงัก มันคือมือเขียนของเซี่ยนเอ๋อร์...ลูกสาวเขาเอง เขานั่งลงอย่างช้าๆ แกะซองออก แม้มือกร้านจะหยาบหนา แต่กลับสั่นเล็กน้อยระหว่างดึงกระดาษจดหมายเก่าๆ ออกมา
เขาอ่านทุกตัวอักษรอย่างเงียบงัน ทุกคำที่ลูกเขียนนั้นเหมือนมีน้ำหนักพันตันทับลงกลางอก
“แม่ หนู และเสี่ยวซาน...ถูกย่าขับไล่ออกจากบ้าน...”
“ตอนนี้พวกเราอยู่ที่บ้านเก่าของแม่...”
“พูดให้แม่กับพ่อหย่ากันต่อหน้าทุกคน...”
เมื่ออ่านข้อความจบ หลินเจี้ยนกั๋ววางกระดาษลงบนตัก ถอนหายใจออกมายาวอย่างเงียบงัน แววตาที่มองออกไปยังพื้นดินด้านหน้าแข็งนิ่งเหมือนหิน แต่ในนั้นมีอะไรบางอย่างแตกออก
ชายวัยสามสิบปลายๆ ผู้แบกคานเหล็กหนักๆ ได้ทุกวัน กลับต้องเงยหน้าขึ้นเพื่อกลั้นหยดน้ำตาไม่ให้ไหลต่อหน้าใคร
“แม่...ทำไมถึงไล่ลูกเมียผม แล้วยังเอ่ยคำว่า ‘หย่า’ ออกมาอีก...”
เขาพึมพำในลำคอ น้ำเสียงต่ำจนคนงานข้างๆ ไม่มีใครได้ยิน
จากนั้นเขาหยัดกายขึ้น เดินเข้าไปยังห้องพักที่มุงด้วยแผ่นไม้เก่าๆ ตรงไปยังกระเป๋าผ้าใบใหญ่ที่ม้วนเก็บไว้ใต้เตียงไม้กระดาน
พอหัวหน้าไซต์งานกลับเข้ามา หลินเจี้ยนกั๋วก็เดินไปยืนหน้าห้อง
“หัวหน้า ผมขอลาหยุดงานหนึ่งอาทิตย์ ผมจะกลับหมู่บ้าน...มีเื่ด่วน”
หัวหน้าเงยหน้าขึ้นมองเขานิดหนึ่ง ก่อนจะพยักหน้า “เื่ครอบครัวสินะ? ได้ๆ เสร็จเื่ต้องรีบกลับมาทันนะ คนงานกำลังขาด”
“ครับ...ขอบคุณมาก”
จากเมืองใหญ่อย่างเซินเจิ้น เขาต้องนั่งรถไฟขบวนกลางคืนกว่า 18 ชั่วโมง กว่าจะถึงสถานีปลายทางในมณฑลหูหนาน จากนั้นต่อรถบัสชาวบ้านอีกหลายชั่วโมง ฝ่าทางลูกรังฝุ่นตลบและูเาเตี้ยๆ กว่าจะถึงบ้านหลังเก่าที่ตั้งอยู่ริมแนวไผ่ของตำบลซั่งจิ่ง...บ้านของภรรยาและลูกๆของเขา