กิลด์ต้นไม้ทงเทียนได้ส่งหัวขโมยออกมาเพื่อทำการตรวจจับและค้นหา หัวขโมยเองก็เป็มืออาชีพ ไม่ทำอะไรไร้สาระหลังจากที่ได้รับการเสริมพลังป้องกันด้วยเกราะเวทแล้ว หัวขโมยก็ออกวิ่งในทันทีซึ่งมีจุดประสงค์ที่ชัดเจน นั่นก็คือการตรวจจับในรัศมีสามร้อยเมตรข้างหน้าซึ่งก่อนหน้าระยะสามร้อยเมตรนั้นทุกคนต่างก็รู้หมดแล้วจึงไม่จำเป็ต้องเสียเวลาอีก
ในบรรดาทั้งหมดทุกอาชีพนั้นเกรงว่าหัวขโมยน่าจะถูกจัดอยู่ในลำดับแรกในด้านความเร็วและอีกอย่างการที่วิ่งช้าลงก็อาจเกิดอันตรายทำให้ถูกฆ่าได้สำหรับคนที่ต้องวิ่งเพื่อเอาชีวิตรอดนั้นน่าจะมีปาฏิหาริย์อาจเกิดขึ้นได้อยู่บ่อยๆ แน่นอนว่าคงไม่นับรวมทหารม้าด้วย
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าหัวขโมยจะพยายามทำอย่างสุดความสามารถแต่ดูเหมือนว่าความเร็วจะลดลงเกือบครึ่งหนึ่งจากเวลาปกติดูท่าว่าแรงกดดันของหุบเขาจอมพลจะค่อนข้างมากจนทำให้ความเร็วของหัวขโมยลดลงได้
เมื่อเข้าใกล้ระยะทางสามร้อยเมตรทุกคนก็เริ่มกลับมาจดจ่ออีกครั้ง
ท้ายที่สุดแล้วก็ดูเหมือนว่าความเร็วจะได้รับผลกระทบเช่นกันถึงแม้ว่าจะมีเกราะป้องกันเหลืออยู่ที่ร่างของหัวขโมยดูเหมือนว่าที่ระยะทางสามร้อยเมตรนั้นจะมีขอบเขตการป้องกันที่มองไม่เห็นอยู่เมื่อหัวขโมยเข้าใกล้มากขึ้น แต่ก็ไม่สามารถข้ามผ่านไปได้ถูกแรงกดดันที่ไหลท่วมท้นออกมาไม่ต่างไปจากพลังของเทือกเขาไท่ซานหลั่งไหลออกมา
แคร๊กก...
เหมือนจะเป็เสียงของเกราะที่ถูกทำลายหัวขโมยก็มีปฏิกิริยาโต้ตอบฉับไว ก่อนจะล้วงเข้าไปในถุงสมบัติและหยิบสิ่งของบางอย่างออกมากางอยู่ตรงหน้าเมื่อทุกคนเพ่งมองก็พบว่ามันเป็ร่มคันหนึ่ง
ร่มกันแดดนี้เป็อาวุธที่แปลกประหลาดชิ้นหนึ่งรูปร่างก็คล้ายกับร่มทั่วไป แต่มันซ่อนเหล็กแหลมทะลวงิญญาไว้สิบแปดเล่มเมื่อถูกปล่อยออกมาเป็การยากที่ผู้คนจะสามารถป้องกันเอาไว้ได้แต่การใช้งานที่สำคัญมากที่สุดก็คือ การใช้สำหรับป้องกันโดยสามารถป้องกันครอบคลุมพื้นที่ได้ถึง 80% ซึ่งถือได้ว่ามีค่ามากที่จะใช้สำหรับป้องกันผิวของร่มกันแดดก็เคลือบเปลวไฟสีขาวเอาไว้ด้วย ไม่คาดคิดเลยว่าจะเป็ถึงอุปกรณ์ระดับทองคำขาว
ร่มกันแดดนี้ค่อนข้างหาได้ยากและยิ่งเป็อุปกรณ์ระดับทองคำขาวแล้วก็ยิ่งหายากเข้าไปใหญ่เมื่อเทียบกับอุปกรณ์ระดับเดียวกันแล้วยังมีมูลค่ามากกว่าถึงสามเท่าแต่ก็ถือว่าคุ้มค่าเงินอยู่ ในฐานะที่กิลด์ต้นไม้ทงเทียนเองก็อยู่ในกลุ่มผู้นำแน่นอนว่าย่อมต้องมีข้อมูลเชิงลึก จึงไม่น่าแปลกใจที่จะมีทรัพย์สมบัติอยู่มากมาย
ดูเหมือนร่มกันแดดจะช่วยป้องกันเอาไว้ได้ แรงกดดันที่ยิ่งใหญ่มหาศาลจนไม่มีอะไรเทียบถูกป้องกันเอาไว้ได้ทำให้หัวขโมยค่อยรู้สึกโล่งอก ร่มกันแดดนี้ก็มีชื่อเสียงอยู่ในด้านการป้องกันซึ่งไม่ทำให้เขาผิดหวังจริงๆ ทำให้สามารถข้ามผ่านวิกฤติมาได้
ที่ระยะสามร้อยเมตร
เมื่อก้าวเข้าไป...
แสงสีเทาพวยพุ่งขึ้นฟ้าพร้อมกับเสียงกรีดร้องของหัวขโมยที่ดูเหมือนจะตายไปแล้ว และดรอปร่มกันแดดเอาไว้ซึ่งดูเหมือนว่าจะไม่ได้สนใจความตายของเ้าของแม้แต่น้อย มันยังคงเปล่งรัศมีออกมาอยู่เลย
ดูเหมือนนี่จะเป็อีกครั้งที่ต่างคนต่างมองหน้ากันไปมาจักรพรรดิหยกได้ทีก็ส่งเสียงเยาะในความอับโชคของผู้อื่น
ฟางเซียวเสี้ยวกระแอมขึ้น ที่เขาเคยคุยโวเอาไว้ก่อนหน้านี้ทำให้สีหน้าของเขาดูไม่ดีเท่าไรนัก หลังจากที่ได้พูดคุยกับหัวขโมยแล้วสีหน้าก็แปลกไปก่อนจะพูดขึ้นว่า "ลูกทีมของเราก็ไม่แน่ใจว่าเกิดการโจมตีจากอะไรแต่เขามั่นใจได้อย่างหนึ่งว่าการโจมตีนั้นมาจากทุกทิศทางถ้ามีช่องโหว่เมื่อใดก็จะถูกโจมตีทันที"
สุดท้ายเขาก็ได้รับข้อมูลที่เป็ประโยชน์เพียงน้อยนิดแต่มันก็ไม่มากพอ ฉิวเฉ่ากังจึงเอ่ยปากขึ้นว่า "เหรินเจี้ยน นายเพิ่งได้ชุดเกราะิญญามาไม่ใช่หรือ?มันน่าจะไม่มีปัญหาในการปกป้องทั้งร่างกายนะ"
"ข่าวของฉิวเฉ่ากังนั้นทั้งแม่นยำและรวดเร็วมากผมเพิ่งจะได้ชุดเกราะิญญามาแค่สามวัน ยังไม่ได้ทันได้บอกใครเลย ถึงแม้ว่ามันจะเป็อุปกรณ์ที่ดีแต่ก็ค่อนข้างสิ้นเปลืองทรัพยากรเป็จำนวนไม่น้อย จึงทำให้ผมค่อนข้างลังเลแต่ในเมื่อฉิวเฉ่ากังเอ่ยปากขึ้นมาแล้ว วังเทพแห่งตะวันก็จะให้ทุกท่านได้ชมถ้าแม้ว่าอุปกรณ์ิญญานั้นไม่สามารถป้องกันการโจมตีจากหุบเขาจอมพลได้ก็จะถือว่าผมนั้นไม่เหมาะกับของสิ่งนี้ และกิลด์วังเทพแห่งตะวันก็จะขอถอนตัวจากภารกิจครั้งนี้"กวงเย้าเหรินเจี้ยนเอ่ยขึ้นอย่างถ่อมตัวพร้อมรอยยิ้ม ซึ่งล้วนเป็คำพูดที่ดูสุภาพและแต่ละประโยคที่สื่อออกมาให้ผู้คนทั่วไปฟังนั้นก็เต็มไปด้วยความมั่นใจ
"ขอแสดงความยินดีในความสำเร็จล่วงหน้า"ฉิวเฉ่ากังเอ่ยขึ้นพร้อมกับรอยยิ้ม
เมื่อกวงเย้าเหรินเจี้ยนโบกมือขึ้น ‘เกราะิญญาเมฆคล้อย’ ก็ปรากฏให้เห็นต่อสายตาของทุกคนดูไปก็คล้ายกับทองแต่ก็ไม่ใช่ทอง มองดูคล้ายหยกแต่ก็ไม่ใช่หยกมันดูนุ่มนวลคล้ายแพรไหม แต่ผิวมันวาวคล้ายกับหินโลหะเมื่อมองดูชุดเกราะิญญาเมฆคล้อยราวกับถูกปกคลุมไปด้วยเส้นสายใยหลากหลายเส้นเมื่อมองจากระยะไกลแล้วก็ดูราวกับก้อนเมฆที่กำลังเคลื่อนไหวสวยงามตระการตามากและงดงามเป็อย่างมาก มองดูเหมือนจะมีน้ำหนักมากแต่ในความเป็จริงนั้นบางมากราวกับปีกแมลงปอถึงจะสวมใส่เอาไว้ก็ไม่กระทบกับการเคลื่อนไหว แต่จะเพิ่มพลังขึ้นอย่างไม่จำกัดเป็อุปกรณ์ิญญาที่ดีทีเดียว
อุปกรณ์ิญญานั้นไม่ได้เป็อาวุธในความหมายทั่วๆไป เมื่อเทียบกับอาวุธธรรมดาและอุปกรณ์แล้วย่อมมีความแตกต่างกันในเื่ของคุณภาพและสิ่งที่แตกต่างกันมากที่สุด นั่นก็คือพลังของมัน ยกตัวอย่างเช่นหนึ่งคือปืนไรเฟิล อีกหนึ่งก็คือปืนยิงจรวด ความแตกต่างในพลังทำลายย่อมต่างกันราวฟ้ากับเหว
แม้จะอยู่ห่างออกไปราวห้าเมตร แต่ฉินโจ้วก็ยังคงรับรู้ได้ถึงคลื่นพลังที่ผันผวนที่ถูกส่งออกมาจากเกราะิญญาเมฆคล้อยถึงแม้ว่าจะดูเหมือนไม่มีอะไร แต่ก็ทำให้หลายคนรู้สึกได้ถึงอาการใจสั่นไม่มีใครกล้าประมาทอุปกรณ์ชิ้นนี้ เพราะนี่คือศักดิ์ศรีของอุปกรณ์ิญญา
วังเทพแห่งตะวันส่งผู้เชี่ยวชาญหนุ่มคนหนึ่งที่ไม่มีชื่อเสียงออกมาอย่างน้อยคนที่อยู่ตรงหน้าก็พูดได้ว่า ไม่มีใครในกลุ่มกล้าดูถูก เมื่อคิดว่าบุคคลผู้นี้มีโอกาสที่จะได้สวมเกราะิญญาเมฆคล้อยกวงเหย้าเหรินเจี้ยนก็เป็คนฉลาด ผู้เล่นธรรมดาคงไม่เข้าตาเขาอยู่แล้ว
"นี่เป็ผู้เชี่ยวชาญคนใหม่ของผมเองเพิ่งเข้ามาช่วยงาน''ฮวาฮวาเสี้ยวเฉ่า'' " กวงเย้าเหรินเจี้ยนแนะนำเขาสู่สาธารณะพร้อมทั้งรอยยิ้มด้วยท่าทางที่ผ่อนคลายและไม่มีความตึงเครียดแม้แต่น้อย ซึ่งเป็สไตล์ของเขา
"ผม... ฮวาฮวาเสี้ยวเฉ่า ยินดีที่ได้พบกับทุกท่าน"ฮวาฮวาเสี้ยวเฉ่ากำหมัดประสานมือแสดงความเคารพ เชิดหน้ามองฟ้า ท่าทางยโสยิ่งนัก
ความรู้สึกของหลายคนในเวลานั้นเหมือนบังคับให้ยอมศิโรราบเมื่อต้องเผชิญหน้ากับกวงเย้าเหรินเจี้ยน ไม่มีใครแสดงท่าที้าเป็ศัตรูกับเขาหรือพูดกับเขาแม้แต่น้อยความมีอัธยาศัยดีในเวลานี้ดูเหมือนจะไม่มีประโยชน์ฉิวเฉ่ากังเองก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา สถานะของเขานั้นก็ค่อนข้างสูงจึงไม่ได้เหลือบมองฮวาฮวาเสี้ยวเฉ่าแม้เพียงหางตา
ผู้คนต่างขานรับเพียงเล็กน้อยหลังจากที่คุ้นเคยกันแล้ว ฮวาฮวาเสี้ยวเฉ่าก็เริ่มภารกิจทันที
มีแสงส่องสว่างกระจายออกมาจากเกราะิญญาเมฆคล้อยแม้ว่าดูไม่รุนแรง แต่ก็ให้ความรู้สึกทรงพลังอย่างบอกไม่ถูก เมื่อเข้าสู่หุบเขาจอมพลพลังความร้อนก็ราวกับถูกเปิดให้แยกออก ฮวาฮวาเสี้ยวเฉ่าก็เริ่มเดินด้วยวิ่งด้วยความเร็วสูงสุดเขาดูปราดเปรียวและดุดันดั่งพยัคฆ์ดูเหมือนว่าความเร็วในการเคลื่อนที่เวลานี้จะสูงกว่าหัวขโมยเกือบสองเท่า ซึ่งไม่คาดคิดเลยว่าเกราะิญญาเมฆคล้อยนั้นจะไม่ได้รับผลกระทบแม้แต่น้อย
เกราะิญญาเมฆคล้อยช่างน่ามหัศจรรย์เสียจริง ทุกคนต่างทึ่งกวงเย้าเหรินเจี้ยนก็ไม่ได้เอ่ยอะไรขึ้นมามีแต่เพียงรอยยิ้มปรากฏขึ้นในดวงตาเท่านั้น
ใช้เวลาเพียงไม่นานฮวาฮวาเสี้ยวเฉ่าในชุดเกราะิญญาเมฆคล้อยก็มาถึงระยะทางที่สามร้อยเมตรดูราวกับว่าจะััได้ถึงอันตรายเกราะิญญาเมฆคล้อยก็เริ่มปลดปล่อยรังสีเรืองรองที่แข็งแกร่งออกมาเป็จำนวนมากมีความหนาราวสามชุ่น
กวงเย้าเหรินเจี้ยนบังคับตัวเองเอาไว้เพื่อที่จะไม่ยิ้มดวงตาแสดงให้เห็นเพียงความเคร่งขรึม
หนึ่งก้าว...
เมื่อเกราะิญญาเมฆคล้อยได้ถูกกระตุ้นฉับพลันก็ปลดปล่อยประกายแสงเรืองรองที่ร้อนแรงไม่ต่างจากดวงอาทิตย์ออกมาพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าจากนั้นร่างของฮวาฮวาเสี่ยวเฉ่าก็เริ่มสั่นกระตุกอย่างรุนแรงแต่ก็ยังสามารถก้าวเท้าเดินหน้าต่อไปได้อย่างมั่นคง
สำเร็จ...!
ทันใดนั้นเองทุกคนต่างก็ได้ยินเสียงคำรามดังกึกก้องขึ้นไม่ต่างจากเสียงฟ้าผ่าซึ่งเป็การปะทะกันระหว่างพลังที่รุนแรงสองชนิดถึงแม้ว่าจะอยู่ห่างออกไปถึงสามร้อยเมตรแต่ทุกคนต่างก็รู้สึกได้อย่างชัดเจนราวกับเกิดขึ้นกับตนเอง ต่างก็ใอกสั่นขวัญหนี
ความแห้งแล้งนี้น่ากลัวมากทีเดียว ฉินโจ้วและชุดขาวลอยล่องต่างมองหน้ากันพวกเขาเองประเมินความแห้งแล้งไว้ในระดับที่สูงมาก แต่ทว่าดูเหมือนเขาก็ยังประเมินมันต่ำไปอยู่ดี
หนึ่งก้าว... สองก้าว... สามก้าว...
ในที่สุดก็ประสบความสำเร็จในการข้ามผ่านแนวป้องกันที่มองไม่เห็นและสามารถเข้าสู่ระยะสามร้อยเมตรได้อย่างต่อเนื่อง จนถึงบัดนี้เกราะิญญาเมฆคล้อยก็ส่องแสงสว่างออกมาเป็ครั้งคราวเวลาที่โดนพลังที่มองไม่เห็นโจมตีเข้าใส่แต่ก็ดูเหมือนว่าจะไม่รุนแรงเท่ากับครั้งแรกจากนั้นก็มีเสียงของฮวาฮวาเสี้ยวเฉ่าที่ได้รับความเ็ปอย่างรุนแรงดังขึ้นจากระยะไกล
"มันเป็การโจมตีด้วยพิษ... และเปลวเพลิง...ผมเองก็ไม่ค่อยแน่ใจนัก... แต่ดูเหมือนว่าจะเป็การโจมตีแบบใหม่...ตอนนี้มันเลวร้ายมาก... พายุ... ไม่สามารถที่จะ..."เสียงพูดสิ้นสุดลงเพียงแค่นี้ทิ้งไว้เพียงเสียงแหบพร่าที่ดังขึ้นอย่างวุ่นวายสับสน และการปะทะกันอย่างรุนแรง
พวกเขาต่างก็จ้องมองซึ่งกันและกันในดวงตายังคงรู้สึกสับสน มีทั้งเปลวไฟและพิษ แต่ก็ไม่ทำให้เกิดความประหลาดใจเท่าไรนักตราบใดที่มีคนที่พอรู้เื่เกี่ยวกับฮั่นป๋าก็คงจะพอคาดเดากันได้ถึงจะมีการพัฒนาเป็พลังการโจมตีชนิดใหม่นั้นก็ยังเป็เื่ที่พอเข้าใจได้แต่ว่าเื่ของพายุนี่มันคืออะไรกันแน่? นี่ก็ไม่ใช่ทะเลทรายหรือมหาสมุทรจึงไม่น่าจะมีโอกาสที่จะก่อให้เกิดพายุขึ้นมาได้ แล้วพายุมันมาจากไหนกัน? เสียงของฮวาฮวาเสี้ยวเฉ่าเองก็ดูเร่งร้อนและกลับดูตื่นตระหนกแต่เมื่อคิดอย่างถี่ถ้วนแล้ว ก็ไม่น่าจะเป็เื่เหลวไหล ก็คงมีแต่เื่ของพายุที่ยากจะอธิบาย
"อ่า... ไม่นะ"ฮวาฮวาเสี้ยวเฉ่าเริ่มส่งเสียงร้องออกมาทุกคนต่างจ้องมองดูและเห็นเหมือนแสงของเกราะิญญาเมฆคล้อยเริ่มกะพริบถี่ขึ้นดูราวกับว่ามันจะทนได้อีกไม่นานแล้ว
"รีบถอยกลับก่อน"กวงเหย้าเหรินเจี้ยนะโขึ้นด้วยเสียงอันดัง เสียงกระจายออกไปเป็ระยะทางไกลดูเหมือนว่าจะไม่สามารถป้องกันไฟพิษที่อยู่ภายในหุบเขานี้ได้หูของฮวาฮวาเสี้ยวเฉ่าได้ยินเสียงอย่างชัดเจน เสียงของเขาส่งมาได้ไกลถึงนี่แสดงว่าพื้นฐานพลังภายในต้องแข็งแกร่งลึกล้ำ ทำให้หัวหน้ากิลด์์และกลุ่มผู้นำกลุ่มอื่นๆแสดงออกให้เห็นถึงความหวาดกลัว
แต่ทว่ากวงเย้าเหรินเจี้ยนนั้นไม่ได้ใส่ใจมากถึงเพียงนั้นเขาแค่สนใจในเกราะิญญาเมฆคล้อยเท่านั้น เพราะเนื่องจากมันเป็อุปกรณ์ิญญา ต่อให้คนถูกฆ่าตายแต่อาวุธก็ไม่ได้สูญหายไปไหนหลังจากคิดทบทวนอยู่ครู่หนึ่ง จึงเอ่ยกับอี่เทียนหงว่า "อาหงคงต้องให้นายช่วยแล้ว"
อี่เทียนหงพยักหน้ารับคำ โดยไม่มีเสียงพูดออกมาแม้แต่น้อยถึงแม้จะไม่เห็นว่าเขานั้นเคลื่อนไหวอย่างไร แต่ก็ได้ยินเพียงเสียง ''แคร้ง...'' ซึ่งเป็เสียงของดาบที่ถูกดึงออกจากฝัก
ในขณะที่ดาบกำลังหมุนวนอยู่ที่เหนือหัวก่อนจะเปลี่ยนเป็ลูกไฟและยิงออกไป ปลายทางคือหุบเขาจอมพลด้วยการใช้ดาบในการเปิดเส้นทาง อี่เทียนหงที่วิ่งตามอยู่ด้านหลังนั้นดูเหมือนแรงกดดันที่หนักหน่วงดั่งขุนเขาจนแทบจะทำให้หูของเขาเกือบทะลุซึ่งในระหว่างทางนั้นถ้ามีสิ่งที่ขวางอยู่จะถูกเงาดาบที่รุนแรงตัดแบ่งออกเป็สองส่วนทันทีด้วยวิธีการใช้ดาบแบบนี้ ทุกคนต่างเพิ่งจะเคยได้พบเห็นเป็ครั้งแรกทำให้รู้สึกเหมือนได้เปิดมุมมองใหม่ขึ้น
ความเร็วของอี่เทียนหงนั้นค่อนข้างสูงมากเลยทีเดียวเพียงชั่วพริบตาเดียวเขาก็วิ่งมาได้ระยะทางมากกว่าหนึ่งร้อยเมตรแล้ว
ดูเหมือนว่าความตื่นเต้นในสายตาของดาบวงพระจันทร์จะหายไปเสียแล้วก่อนจะหัวเราะร่าและเคลื่อนไหวทันที ประกายดาบสีแดงกะพริบวาบก่อนที่ทั่วทั้งร่างกายจะกลายเป็ลูกไฟขนาดใหญ่พวยพุ่งเข้าไปสู่ด้านในของหุบเขาจอมพลด้วยพลังที่น่าประหลาดใจ ภายในแสงสีแดงนั้นมีดาบขนาดใหญ่กำลังหมุนวนอยู่ตลอดเวลาทุกการหมุนหนึ่งรอบ แรงกดดันก็จะถูกฉีกกระชากออกไปดาบโค้งยังคงหมุนวนอย่างต่อเนื่องซึ่งทำให้แรงกดดันที่มีถูกฉีกกระชากออกไปตลอดเวลาเช่นเดียวกันดังนั้นจึงสามารถสร้างทางเดินที่ปลอดภัยขึ้นมาได้ถึงแม้ว่าดาบวงพระจันทร์จะออกตัวช้าอยู่ก้าวหนึ่งแต่ก็มาถึงระยะทางสามร้อยเมตรพร้อมกับอี่เทียนหงอยู่ดี
เท่าที่สังเกตดูเหมือนว่าความแข็งแกร่งของดาบวงพระจันทร์จะสูงกว่าอี่เทียนหงอยู่หนึ่งขั้น
ในขณะที่ฉินโจ้วกำลังชั่งใจว่าจะเข้าไปดีหรือไม่นั้นชายวัยกลางคนที่ถือหอกยาวก็เดินเข้ามาอย่างไม่ให้สุ้มให้เสียงก่อนที่ทุกคนจะเห็นหอกเล่มหนึ่งพุ่งหายเข้าไปราวกับลูกธนูความเร็วที่ขว้างออกไปนั้นรวดเร็วเป็อย่างมากระยะทางเกือบห้าร้อยเมตรนั้นผ่านไปในชั่วพริบตาเดียว ก่อนจะพุ่งหายเข้าไปในส่วนลึกของหุบเขาจอมพลจนหายลับตาไป
การกระทำที่กล้าหาญเช่นนี้ทำให้ทุกคนต่างก็ส่งเสียงร้อง "โอ้โห..." ออกมาพร้อมกัน
"เวรเอ๊ย..."ชายวัยกลางคนผู้ใช้หอกก็วิ่งผ่านร่างของดาบวงพระจันทร์ไปทันทีที่เห็นเงาดำพุ่งข้ามผ่านร่างไป ดาบวงพระจันทร์ถึงกับใจนเหงื่อเย็นไหลท่วม
ฉินโจ้วก็เลิกคิดเกี่ยวกับเื่นี้อีกต่อไป และเริ่มเคลื่อนไหวโดยใช้ทักษะวิชาตัวเบาไล่ตามไปในทันทีหลังจากที่ชุดขาวลอยล่องลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ไม่ไล่ตามไป
"ผมเองก็ไม่ได้คิดไว้ว่าเขาจะเป็ผู้เชี่ยวชาญเหมือนกัน"ฟางเซียวเสี้ยวจ้องมองไปยังตำแหน่งที่ชายวัยกลางคนที่สะพายหอกหายลับไป ดวงตาของฉิวเฉ่ากังเผยให้เห็นความแปลกใจอยู่ในแววตา เขาจำได้ แต่ก็ดูเหมือนว่าจะมองผิดไป
"เหมือนว่าผมจะเคยพบกับคนคนนี้มาก่อนเขาเป็สมาชิกคนหนึ่งของกลุ่มสายฟ้า" กวงเย้าเหรินเจี้ยนมองตามหลังคนผู้นั้นที่กำลังจะหายลับไปในขณะที่กำลังใช้ความคิด
ดูเหมือนว่าอี่เทียนหงจะช้าไปหนึ่งก้าว ถึงจะรีบแล้วก็ตามทีแต่ฮวาฮวาเสี้ยวเฉ่าก็สูญเสียพลังชีวิตขีดสุดท้ายไปก่อนจะตายลง หลังจากนั้นอี่เทียนหงก็เอื้อมมือไปหยิบเกราะิญญาเมฆคล้อยมาเก็บไว้ในถุงสมบัติดาบวงพระจันทร์ที่ซ่อนตัวอยู่ถึงกับร้องออกมาอย่างน่าเศร้าดูเหมือนของจะตกไปอยู่ในมือของผู้เชี่ยวชาญอี่เทียนหงเสียแล้ว ดูท่าคงจะไม่สามารถแย่งกลับมาได้แล้วคงทำได้แค่เลิกคิดมาก ก่อนจะหาเป้าหมายใหม่ โดยตามร่างของชายวัยกลางคนที่ใช้หอกไป
อี่เทียนหงลังเลอยู่ชั่วครู่แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไล่ตามไป
เมื่อเข้ามาในระยะสามร้อยเมตร ฉินโจ้วจึงได้เข้าใจทันทีว่าทำไมถึงมีผู้เชี่ยวชาญมากมายต้องเอาชีวิตมาทิ้งไว้ที่นี่เพราะแรงกดดันที่ราวกับไม่มีที่สิ้นสุดไม่ต่างจากกระแสคลื่นที่พลุ่งพล่านพัดกระหน่ำเข้าใส่จากทุกทิศทุกทางที่แย่ไปกว่านั้นอากาศบริเวณนี้ไม่เพียงแต่หนักหน่วงราวกับูเากดทับ แต่อุณหภูมิยังสูงมากและยังเต็มไปด้วยพิษที่ร้ายแรงจนถึงชีวิต ถ้าััมันเข้าก็มีแต่ต้องตายเท่านั้นไม่มีทางหลบหนีความตายนี้ได้พ้นธรรมชาติที่น่ากลัวเช่นนี้เหมือนไม่ได้อยู่ในโลกมนุษย์ น่าจะอยู่ในนรกเสียมากกว่า
ดูเหมือนจะไม่มีใครสามารถจินตนาการถึงแรงกดดันนี้ได้ว่ารุนแรงมากเพียงใด
ด้วยอุณหภูมิความร้อนที่เผาไหม้ในอากาศที่ความหนาแน่นแตกต่างกันตามกฎของการอนุรักษ์พลังงาน เมื่อมีอากาศไหลเวียนเข้ามาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆเพียงชั่วเวลาไม่นาน ก็ก่อตัวขึ้นเป็พายุที่สามารถสร้างความเสียหายได้เหมือนพายุจริงๆตามธรรมชาติทุกประการ หรือจะเรียกว่าหายนะก็ได้พลังทำลายล้างของพายุนั้นทุกคนต่างก็รู้จักเป็อย่างดี และการเปลี่ยนแปลงของพายุนี้ก็สร้างความรุนแรงได้อย่างมากแม้แต่ฮวาฮวาเสี้ยวเฉ่าเองที่มีอุปกรณ์ิญญาก็ยังถูกฆ่าถึงแม้ว่าเกราะิญญาเมฆคล้อยจะน่าอัศจรรย์เพียงใด แต่ระดับเลเวลของตัวเขาเองนั้นไม่พอที่จะใช้พลังของชุดเกราะิญญาเมฆคล้อยได้อย่างเต็มที่ภายใต้พายุที่โหมกระหน่ำอย่างต่อเนื่อง จึงทำให้เขาต้องตาย แต่ชุดเกราะิญญาเมฆคล้อยนั้นยังปกติดีอยู่
ทันทีที่ถูกโจมตีเข้าใส่ฉินโจ้วรู้สึกเหมือนมีพลังที่แข็งกร้าวพุ่งปะทะเข้าใส่ราวกับจะฉีกเขาออกเป็ชิ้นๆเผาไหม้เขาให้เป็เถ้าถ่าน หรือโจมตีด้วยพิษร้ายแรงเข้าใส่จนถึงตาย เพียงแค่ไม่ถึงหนึ่งส่วนสิบวินาทีอุปกรณ์สวมใส่ของฉินโจ้วที่ต่ำกว่าระดับทองลงไปก็ถูกทำลายจนหมดทันที จนเขาเกือบจะอยู่ในสภาพเปลือยเปล่า
ดูเหมือนว่าการโจมตีด้วยพิษจะไม่สามารถทำอันตรายต่อร่างกายที่มีภูมิคุ้มกันพิษได้เลยในส่วนของไข่มุกิญญาธาตุไฟและแหวนต้นอู๋ถงก็สามารถป้องกันการโจมตีด้วยไฟได้ราวแปดส่วนร่างกายของฉินโจ้วยังได้รับาเ็อย่างมาก -200, -200, -200, -200 ทำให้พลังชีวิตเริ่มลดลง
"สุดท้ายแล้วก็ยังคงขาดแคลนอุปกรณ์ิญญาอยู่ดี"ฉินโจ้วได้แต่ถอนหายใจก่อนจะกระดกยาแดงเข้าไป โชคยังดีที่มีของอยู่มากมายในแหวนมิติและยังมีผ้าคลุมระดับทองอีกด้วย ถึงแม้ว่าใส่แล้วมันจะไม่ค่อยเข้ากันเท่าไรนัก แต่อย่างน้อยก็ยังป้องกันร่างกายไม่ให้เปลือยเปล่าได้
ในระหว่างที่กำลังเดินอยู่นั้นฉินโจ้วก็เงยหน้าขึ้นทันทีก่อนที่สีหน้าของเขาจะเปลี่ยนไปมีคลื่นพลังรุนแรงหนักหน่วงพุ่งออกมาจากหุบเขาจอมพล เพียงชั่วเวลาไม่นานท้องฟ้าก็พลันเปลี่ยนสี ไม่มีแม้แสงสว่างส่องให้เห็นทั้งจากดวงตะวันหรือจันทรา
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้