ไทเฮาตบโต๊ะอย่างแรงจนแหวนปานจื่อ[1]บนมือเกิดเสียงร้าว สีหน้าของนางเดือดดาลพลางตวาดลั่น “ไปจับเ้าตัวนั่นมาเดี๋ยวนี้ ค้นเรือนฝั่งนั้นให้ทั่ว!”
แม่นมซูกล่าวอย่างระวัง “ไทเฮา องค์หญิงใหญ่…”
“องค์หญิงใหญ่แล้วอย่างไร องค์หญิงใหญ่เลี้ยงคนให้มาสำส่อนที่ตำหนักหลังได้หรือ!” ไทเฮากล่าวด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง “รีบไปพาตัวเ้าคนต่ำช้าโสมมนั่นมาที่นี่เดี๋ยวนี้!”
ขันทีด้านข้างรีบรับคำสั่งแล้ววิ่งพรวดพราดออกไป ขณะมองเงาร่างขันทีหายไป เหยียนอู๋อวี้สงสัยเื่นี้ด้วยความหนักใจ ในวันที่เจิ้งเจี๋ยอวี๋ถูกตรวจสอบ บางคนมีปฏิกิริยาแปลกนัก นางไม่มีทางเปิดเผยง่ายๆ หากไม่มีหลักฐาน ทว่าไทเฮาทรงกริ้วเป็จริงเป็จัง
องค์ไทเฮาย่อมเดือดดาลเป็ธรรมดาอยู่แล้ว ปีนั้นองค์หญิงใหญ่มีคุณงามความดีในการช่วยเหลือฮ่องเต้ และมีชื่อเสียงโด่งดังในราชสำนักมากทีเดียว นางแตกต่างจากไทเฮา ความปรารถนาเร่าร้อนในใจนางปกปิดไว้ไม่อยู่
ตามกฎแล้ว หลังจากองค์หญิงใหญ่มีพระชันษาครบสิบแปดปีบริบูรณ์จะต้องย้ายไปอยู่จวนองค์หญิงใหญ่ ทว่าหลังจากฮ่องเต้ขึ้นครองราชย์ องค์หญิงใหญ่ได้ซ่อมแซมที่ประทับในวังของตนเองจนกลายเป็เรือนเล็กขององค์หญิง บางครั้งพระองค์ทรงกลับเข้าวังมาพักอาศัยเป็ระยะ
ซ่งอี้เฉินขึ้นชื่อเื่กตัญญูกตเวที กอปรกับองค์หญิงใหญ่มีอำนาจในราชสำนัก แน่นอนว่าเขาย่อมไม่กล้าขับไล่นางออกจากวัง โชคดีที่นอกจากทำตัวอวดดีแล้วองค์หญิงใหญ่ก็ไม่ได้ทำเื่อันใดที่เกินเลย ดูผิวเผินคล้ายสองพี่น้องอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข
ทว่าไทเฮาต่างออกไป องค์หญิงใหญ่มิได้เกิดจากไทเฮา ภายนอกนางทนต่อท่าทีโอหังเช่นนี้อยู่ตลอด ยามนี้มีข้ออ้างแล้ว นางจะปล่อยไปง่ายๆ ได้อย่างไร!
โทสะของไทเฮาไม่มีทางปกปิดไว้ได้ ทุกคนอกสั่นขวัญแขวนยิ่งกว่าเดิม ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจออกมาแรงๆ เพราะกลัวว่าจะทำเสียงดังจนกลายเป็ที่ระบายอารมณ์ของไทเฮา
เหยียนอู๋อวี้คล้อยตามดุจกระแสน้ำไหล ไม่ส่งเสียงอันใด นางเงี่ยหูฟังเต๋อเฟยกับฮวารั่วซีกล่าวปลอบใจไทเฮาเพราะไม่อยากให้ไทเฮาหันมาด่าทอตนเองแทน “อายเจียมอบตำหนักหลังให้พวกเ้าดูแล พวกเ้าทำจนกลายเป็เช่นนี้ จะให้อายเจียวางใจได้อย่างไร ต้องให้อายเจียลงมือจัดการเอง!”
ทั้งสองคนเมื่อได้ยินจึงรีบคุกเข่าแนบหน้าผากจรดพื้นพร้อมอธิบายทุกอย่างไปด้วยทันที ทุกคนเห็นพวกนางคุกเข่า ไหนเลยจะยังกล้ายืนเฉยอยู่
ไม่รู้ผ่านไปนานเพียงใด ในที่สุดองครักษ์ก็พาตัวซวี่หรงมา
“ปล่อยมือ เ้าพวกตัวสกปรก ข้าเป็คนขององค์หญิงใหญ่ ผู้ใดก็ไม่มีสิทธิ์จับข้า!” ซวี่หรงถูกองครักษ์ผลักเข้าไปในเรือน เขายังมีท่าทีอวดดี เมื่อเห็นสถานการณ์เบื้องหน้า นึกไม่ถึงว่าเขาจะไม่หวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย หนำซ้ำยังกล่าวพลางแย้มยิ้ม “สนมทุกท่าน นี่มันเกิดอันใดขึ้น!”
หลังจากกล่าวประโยคนี้จบเขาจึงเห็นสีหน้าถมึงทึงของไทเฮา เมื่อเห็นเช่นนี้เขาจึงก้าวไปข้างหน้า พร้อมเปิดปากเอ่ย “ทูตแคว้นหูหลัว ซวี่หรงถวายบังคมไทเฮา”
แม้แคว้นหูหลัวจะมอบบุรุษรูปงามให้ ทว่าก็ไม่ได้โจ่งแจ้งเช่นนี้อย่างแน่นอน เพียงแค่ให้สถานะทูตพวกเขาไว้บังหน้า และเนื่องจากมีสถานะนี้ พวกเขาจึงมีความรู้สึกเหนือกว่าผู้อื่น ซึ่งการมีความรู้สึกเหนือกว่านี่เองที่ทำให้เหล่าองค์หญิงทั้งหลายมีใจถวิลหา
เขายังเอ่ยไม่ทันจบพลันมีคนนำถุงปักดิ้นออกมา เต๋อเฟยกล่าวอย่างสุภาพ “ทูตซวี่หรง สิ่งนี้ใช่ของติดตัวเ้าหรือไม่?”
ซวี่หรงกวาดสายตามองถุงปักดิ้นใบนั้น ภายในดวงตาฉายแววแปลกประหลาด ก่อนจะกล่าวด้วยสีหน้าสงบนิ่ง “ข้าน้อยไม่เคยเห็นของชิ้นนี้มาก่อน คงไม่ใช่บอกว่าเป็ของข้าเพียงเพราะปักชื่อข้าไว้้าเท่านั้นกระมัง”
“ทูตซวี่หรงไม่เคยเห็นมาก่อนจริงหรือ?” เต๋อเฟยจี้ถามอย่างไม่รีบร้อน ทว่ากลับใช้คำพูดยืนยันอีกครั้งแทน
“ไม่เคยเห็นก็คือไม่เคยเห็น” ซวี่หรงเอ่ยอย่างหมดความอดทน “หากวันนี้พาข้ามาเพียงเพื่อยืนยันของสิ่งนี้ เช่นนั้นพวกท่านก็ทำเื่ให้ยุ่งยากเกินไปแล้ว ส่งคนเข้าไปถามในเรือนเล็กขององค์หญิงใหญ่เสียก็สิ้นเื่!”
“เพียงแต่ข้าจำได้ว่าทูตซวี่หรงเคยได้รับผ้าลายดอกประเภทนี้หนึ่งพับจากองค์หญิงใหญ่ ขอข้าดูสักหน่อยได้หรือไม่?”
ซวี่หรงตื่นตะลึงเล็กน้อยและกล่าวตอบทันที “ผ้าที่องค์หญิงใหญ่มอบให้ข้าย่อมเป็ของข้า ส่วนข้าคิดจะเอามาทำอันใด เกรงว่าไม่เหมาะที่เต๋อเฟยจะถาม”
“เหตุใดข้าจะถามไม่ได้?”
ซวี่หรงตอบกลับอย่างสมเหตุสมผล “องค์หญิงใหญ่เคยกำชับว่าหากนางไม่อยู่ ผู้ใดถามคำถามก็ไม่ต้องตอบ”
ั้แ่เขาเข้ามา ทุกประโยคล้วนหนีไม่พ้นองค์หญิงใหญ่ เห็นได้ชัดว่าเป็การใช้อำนาจองค์หญิงใหญ่มาข่มพวกเขา เมื่อเต๋อเฟยเห็นสีหน้าถมึงทึงของไทเฮาจึงทำได้เพียงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงดุดัน “หากจำผ้าปักดิ้นใบนี้ไม่ได้ เช่นนั้นก็น่าจะจำจี้หยกนี้ได้กระมัง!”
ซวี่หรงเหลือบมองปราดหนึ่ง ในที่สุดใบหน้าพลันเผยท่าทีแปลกประหลาดออกมา “อยู่ที่ท่านได้อย่างไร!”
“จี้หยกชิ้นนี้ดูไม่ธรรมดา เป็สัญลักษณ์ประจำตัวของทูตหลายๆ ท่าน ้ามีสัญลักษณ์และนามเฉพาะของทูต แม้ข้าไม่รู้จักชื่อ้า แต่ข้าจำลวดลายของทูตซวี่หรงได้ว่าน่าจะเป็รูปอินทรีกระมัง!”
จี้หยกชิ้นนั้นเรืองแสงท่ามกลางแสงแดดราวกับอินทรีหยกสยายปีกเสมือนจริงมากตัวหนึ่ง
“ไม่กี่วันก่อนข้าไม่ทันระวังทำมันหาย หาเท่าไรก็หาไม่เจอ ที่แท้อยู่ที่นี่นี่เอง!” เขาปกปิดความลนลานในใจตนเองทันทีพลางเอ่ยปากอธิบาย
“ระยะห่างระหว่างเรือนเล็กขององค์หญิงใหญ่กับที่นี่ต้องผ่านสวนวังหลวง ปกติท่านมักอ้างว่าไม่ออกนอกเรือนเล็กขององค์หญิงใหญ่ แล้วมันจะหายมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร!”
“อาจมีคนขโมยมันไป!” ซวี่หรงเปลี่ยนคำพูดทันที “ต้องมีคนขโมยไปแล้วทิ้งไว้ที่นี่อย่างแน่นอน!”
“ของชิ้นนี้อยู่ในถุงปักดิ้น เป็ของที่เจิ้งเจี๋ยอวี๋พกติดตัว ท่านทูตหมายความว่าเจิ้งเจี๋ยอวี๋เข้าไปขโมยในเรือนเล็กขององค์หญิงใหญ่อย่างนั้นหรือ?”
ซวี่หรงกินปูนร้อนท้อง “ก็อาจเป็ไปได้!”
เต๋อเฟยเห็นท่าทีของเขาอ่อนลงจึงกล่าวเสียงดังทันที “จี้หยกถูกขโมยหรือถูกส่งมา เ้าอย่าคิดเล่นลิ้น ในเมื่อมอบของล้ำค่าเช่นนี้ให้นาง เช่นนั้นที่พักของเ้าคงต้องมีของล้ำค่าของนางด้วยแน่นอน เพียงตรวจค้นก็รู้เื่แล้ว”
ซวี่หรงได้ยินพลันรีบกระเด้งตัวขึ้นมาพูด “พวกท่านไม่มีสิทธิ์เข้าไปในเรือนเล็กขององค์หญิงใหญ่โดยไม่ได้รับอนุญาตจากองค์หญิงใหญ่...…”
“เราไปค้นมาเรียบร้อยแล้ว” เต๋อเฟยกล่าวเสียงเ็า “เชื่อว่าหากองค์หญิงใหญ่รู้เื่การลักลอบเป็ชู้ของเ้า คงไม่มีทางปล่อยผ่านเ้าเป็แน่! ข้าเพียงแค่ทำความสะอาดบ้านแทนนางก็เท่านั้น!”
ซวี่หรงดิ้นรนอย่างไม่เต็มใจ “ข้าเป็ทูตของแคว้นหูหลัว หากพวกท่านอยากลงมือกับข้าต้องผ่านการยินยอมจากแคว้นหูหลัวเสียก่อน!”
“หากแคว้นหูหลัวไม่เห็นด้วย อายเจียก็จะทำให้เขาเห็นด้วยเอง” ไทเฮามองด้วยสายตาเ็าอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดนางก็เปิดปากเอ่ย
ขณะนี้มีองครักษ์ด้านนอกเอ่ยปากขอเข้าพบเสียงดัง จากนั้นพวกเขาพลันยกถาดเดินเข้ามา ขันทีด้านข้างรีบพูดทันที “ทูลไทเฮา พบของสองสิ่งนี้ในที่พักเขา บ่าวจึงส่งมาก่อนพ่ะย่ะค่ะ!”
แม่นมซูก้าวออกไปรับถาดมาทันที ้ามีปิ่นทองวางอยู่หนึ่งอัน เมื่อดูอย่างละเอียดพบว่าที่ตัวปิ่นมีคำว่า ‘อี้เสวียน’ ซึ่งเป็นามเดิมของเจิ้งเจี๋ยอวี๋
เต๋อเฟยยกปิ่นปักผมขึ้นมากล่าวเสียงเ็า “ทูตซวี่หรง ท่านจะบอกว่าท่านหยิบมันมา หรือท่านขโมยมันมาเล่า!”
ซวี่หรงแข้งขาอ่อนแรงซวนเซทับองครักษ์ที่อยู่ด้านข้าง
ชายชู้ถูกจับได้แล้ว ทุกคนจึงลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก ไม่คาดคิดว่าจะได้ยินฮวารั่วซีอุทานแ่เบา “มุกนี้...…”
สร้อยข้อมือถักที่อยู่บนถาดสะดุดตาเป็อย่างยิ่ง ไข่มุกสองเม็ด้ากำลังส่องแสงระยิบระยับใต้แสงอาทิตย์
แววตาของไทเฮาพลันเฉียบคมขึ้นทันที ก่อนจะหันศีรษะไปมองฮวารั่วซี เมื่อเห็นสร้อยบนคอนาง สีหน้าจึงผ่อนคลายลงเล็กน้อย จากนั้นจึงมองไปทางเหยียนอู๋อวี้
เหล่านางสนมไหนเลยจะมองไม่ออก ทั้งสองฝั่งต่างมองนางด้วยสายตามีความสุขในความทุกข์ของผู้อื่น
เหยียนอู๋อวี้หัวใจบีบรัด ทว่ายังคงเดินเข้าไปคำนับคล้ายไม่มีอันใดเกิดขึ้น ไทเฮากวาดสายตามองนางที่อยู่บนพื้นพลางกล่าวอย่างเ็า “เหยียนเป่าหลิน อายเจียจำได้ว่าฝ่าาเคยมอบไข่มุกให้เ้าสามเม็ด”
“ทูลไทเฮา ใช่เพคะ”
“ไข่มุกล้ำค่าสามเม็ดนั้น ตอนนี้อยู่ที่ใด?”
เชิงอรรถ
[1] แหวนปานจื่อ หมายถึง แหวนหยกที่สวมบนนิ้วหัวแม่มือโดยเฉพาะ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้